บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 455 เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เป็นของเขา
จูนจิ่วกับชิงหยู่เดินออกไปไกลพอสมควรแล้ว เหลิ่งยวนค่อยตามมา พอตามทันคำพูดแรกที่เขาพูดก็คือ “แม่นางจูน เจ้าอย่าเชื่อเจ้าคางคกนั้นเด็ดขาด เขาหลอกลวงเจ้า ข้าเพิ่งจะหลอกเขา บอกว่าข้าเป็นองครักษ์ที่แม่เจ้าให้มาคอยปกป้องดูแล แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเจ้ามีสัญญาแต่งงาน สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเลย เป็นเท็จ ต้องเป็นเรื่องไม่จริงแน่”
“เรื่องไม่จริง แต่ทำไมเขาต้องหลอกลวงศิษย์น้องด้วย”ชิงหยู่ขมวดคิ้วถาม
เหลิ่งยวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “ต้องเป็นเพราะหวังอยากจะได้ความงามของแม่นางจูน ชายหนุ่มที่เจ้าชู้เช่นนี้ แม่นางจูนต้องอยู่ห่างจากเขาให้มากๆ”
มุมปากของจูนจิ่วโค้งขึ้น นางมองไปทางเหลิ่งยวน “ข้าไม่ได้เชื่อเขา แต่ว่าเหลิ่งยวนเจ้าไม่ต้องกลับไปหรือ”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหลิ่งยวนได้แต่ปกป้องคุ้มครองอยู่อย่างลับๆ อีกทั้งเวลาที่โม่อู๋เยว่อยู่ จะไม่ได้พบเห็นเข้าด้วยซ้ำไป ไม่ใช่แอบอู้ แต่ด้วยความชาญฉลาดจึงไม่อยู่เป็นก้างขวางคอใคร
ได้ยินคำพูดนี้ เหลิ่งยวนรีบยืนตัวตรงทันที เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “แม่นางจูนวางใจได้ ปกติข้าจะไม่บดบังสายตาของเจ้าอย่างเด็ดขาด แต่ขอเพียงเจ้าคางคกนั่นยังอยู่ ข้าต้องปรากฏตัวขึ้นขวางเขาเอาไว้ ”
“ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย”ชิงหยู่ถามขึ้นอย่างอยากรู้
เหลิ่งยวนหลุดปากตอบออกไปอย่างรวดเร็วว่า “แม่นางจูนนั้นต้องแต่งงานกับเจ้านายของข้า จะให้ถูกคางคกตัวนั้นคาบไปกลางทางได้อย่างไร”
ชิงหยู่:……
จูนจิ่ว:……
พอได้สติว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เหลิ่งยวนก็ไหวตัวหายวับไร้เงาไปอย่างรวดเร็ว
ชิงหยู่ได้สติกลับมา มองจูนจิ่วด้วยสีหน้าซับซ้อน อยากจะพูดบางอย่างแต่ก็หยุดเอาไว้ เป็นจูนจิ่วที่ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ศิษย์พี่ท่านมีอะไรก็พูดออกมาตรงๆเถอะ”
“ศิษย์น้อง เจ้าวางแผนจะแต่งงานกับโม่อู๋เยว่แล้วหรือ”ครั้งนี้ไม่เรียกว่าผู้อาวุโสโม่ เรียกชื่อไปตรงๆเลย ศิษย์น้องวางแผนจะแต่งงานแล้ว เช่นนั้นคุณสมบัติย่อมไม่เหมือนเดิม
“ตอนนี้ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้”จูนจิ่วยิ้ม
ชิงหยู่พยักหน้าติดๆกันพูดว่าอ้อ จากนั้นฝีเท้าก็หยุดลงยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ เขาเบิกตากว้าง ตอนนี้ยังไม่มีความคิดนี้ นี่ไม่เท่ากับว่าในอนาคตอาจจะมีความคิดนี้ก็ได้ ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังจะแต่งงานกับโม่อู๋เยว่อยู่ดี
อ้าปากยังอยากจะถามจูนจิ่วต่อ แต่สุดท้ายพอเงยหน้าขึ้นก็เห็นจูนจิ่วเดินไปไกลจนไม่เห็นเงาแล้ว
จูนจิ่วเดินเร็วมาก เพราะต้องรีบกลับไปขวางปีศาจบางตนเอาไว้ก่อน เปิดประตูออก ปีศาจบางตนนั่งอยู่บนตั่งสาวงาม เปลือกตาหลุบลงไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จูนจิ่วมองแล้วก็รู้สึกว่า ร่างของโม่อู๋เยว่มีไอแห่งความดุร้ายสายหนึ่งรายล้อมอยู่ เป็นความน่ากลัวอย่างโหดเหี้ยมเพียงหนึ่งแรงโกรธปะทุก็สามารถทำให้บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ
นางกระแอมหนึ่งเสียง “ข้ากลับมาแล้ว”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์”โม่อู๋เยว่เงยหน้าขึ้นมองมายังนาง ชั่วพริบตานั้นความดุร้ายได้กลายเป็นความแค้นเคือง มองจนทำให้จูนจิ่วรู้สึกผิด
โม่อู๋เยว่พูดว่า“น้อยมากที่ข้าจะเข้าไปยุ่งเรื่องของเจ้า เพราะคิดว่าเจ้าต้องการอิสระ ไม่ว่าจะดีร้ายอย่างไรก็ยังมีข้าคอยแบกรับ ไม่กลัว แต่ว่าว่าที่สามีคนนี้ ข้าควรแยกร่างเขาเป็นชิ้นๆ หรือว่าจับวิญญาณเขามาทำเป็นหุ่นเชิดดี หรือว่าจะถลกหนังดึงเส้นเอ็น เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เจ้าเลือกสักอย่าง”
“อะแฮ่ม เป็นว่าที่สามีตัวจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้”จูนจิ่วไอขึ้นอีกหนึ่งเสียง
เสี่ยวอู่เดินตามเข้ามา แต่มันปีนอยู่บนหลังคาเงี่ยหูฟังจนได้ยินทั้งหมดแล้ว เสี่ยวอู่กำลังส่งสัญญาณเสียงด้วยความยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น“เจ้านาย โม่อู๋เยว่หึงแล้วฮ่าๆๆ”
โม่อู๋เยว่:……เขาได้ยิน
นั่งตัวตรง โม่อู๋เยว่หรี่ตาลงเล็กน้อยแววตาเย็นชา “ไม่จริงก็สมควรตาย”
มีเจตนาร้ายต่อเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ สมควรฆ่า
วินาทีที่มองเห็นตู๋กูชิงเปิดปากพูดว่าเขาเป็นว่าที่สามีตอนที่อยู่ในตำหนักข้าง ความรุนแรงโหดเหี้ยมในแววตาของโม่อู๋เยว่ได้กลืนกินสีดำของนัยน์ตาไปจนสิ้นในชั่วพริบตา เปลี่ยนกลับไปเป็นสีทองอันเย็นยะเยือก ความปรารถนาในการครอบครองอย่างเอาแต่ใจของเผ่ามังกร ไม่อนุญาตให้ใครมาตั้งความหวังกับของของเขา แม้แต่ดอกไม้ดอกเดียวก็ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคู่วิญญาณเลย
ชั่วพริบตาเดียวโม่อู๋เยว่สามารถนึกถึงวิธีการต่างๆนับหมื่นชนิดที่จะทำให้ตู๋กูชิงตาย แต่พอหลุบตาลง ชั่วขณะนั้นที่เห็นสีหน้าเย็นชาของจูนจิ่วที่ไม่ได้หวั่นไหวต่อสิ่งใด โม่อู๋เยว่ก็สงบลง
รอจนกระทั่งตู๋กูชิงจงใจบอกถึงสถานะที่แท้จริงของตัวเองออกมา เพื่ออยากจะดึงดูดเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ แต่เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็แค่ตอบรับอย่างเย็นชาไปหนึ่งเสียง โม่อู๋เยว่อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เป็นของเขา ใครก็ยั่วยวนไม่ได้
ฉะนั้น โม่อู๋เยว่จึงได้ไว้ชีวิตของตู๋กูชิง กลับมารอจูนจิ่ว
แต่การปล่อยครั้งนี้ ก็แค่ชั่วคราว
โม่อู๋เยว่ยกมุมปากขึ้น ทำให้เขาดูเกียจคร้านหยอกเย้าขึ้นมาทันที เขายิ้มชั่วร้ายมองไปทางจูนจิ่วและพูดขึ้นว่า “รอให้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ตรวจสอบจนได้คำตอบที่ชัดเจนในความสงสัยและคำถามในใจแล้ว ค่อยฆ่าเขา วิธีการตายที่พูดไปทั้งสามอย่างหากไม่พอละก็ ข้ายังมีอีกเป็นหมื่นวิธีการให้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เลือก”
“ได้”จูนจิ่วตอบรับ นางมีเรื่องยุ่งยากใจมากมายจริงๆ ที่อยากจะรู้มากที่สุดก็คือขอแทนคำมั่นสัญญาในมือของตู๋กูชิง ว่ามีที่มาอย่างไรกันแน่
……
ตอนนี้สำนักศึกษาเทียนซูยังอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย แต่ไม่ว่าจะวุ่นวายแค่ไหน อาศัยแค่สถานะที่ตู๋กูชิงเป็นเจ้าตำหนักแห่งตำหนักไท่หวง ไม่มีใครกล้าไม่เคารพเขา
ภายนอกของตู๋กูชิงนั้นดูอบอุ่น เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนพวกเขาจึงได้เลือกที่อยู่เดิมของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูเป็นที่พำนัก ที่จริงแล้ว ที่เขาเข้ามาพักที่นี่ก็เพื่อมาตรวจสอบบางสิ่ง
นั่งอยู่บนเก้าอี้ คนที่สวมชุดลายปักสีเงินลากตัวหงยิงเดินเข้ามา หงยิงดูแล้วเหมือนจะผ่านการลงโทษมา ดูหมดสภาพและอ่อนแรง หมอบอยู่กับพื้นดิ้นรนลุกขึ้นอย่างยากลำบากกว่าจะฝืนใจคุกเข่าลงทำความเคารพได้ “หงยิงคำนับเจ้าตำหนักตู๋กู”
ผ่านการถูกลงโทษ หงยิงได้รับรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของตู๋กูชิง นางทั้งตื่นเต้นทั้งหวาดกลัว เพราะว่าผู้ชายตรงหน้านางคนนี้ฆ่าอาจารย์ของนาง
ลับหลังผู้คน ใบหน้าของตู๋กูชิงเหลือเพียงความเย็นชาไร้อารมณ์ เขาเอ่ยขึ้นว่า “พูดเถอะ”
“ซิงโล่เฉินหายตัวไปสามวัน และไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่าเขา แต่ต้องเกี่ยวข้องกับจูนจิ่วแน่ ข้ากับอาจารย์ต่างก็ทำงานให้เจ้าตำหนักอย่างสุดชีวิตตลอดมา แต่พวกข้าไร้ความสามารถ ไม่สามารถจับตัวจูนจิ่วเพื่อเอาของล้ำค่ามาได้ ยังมีคนพวกนั้น ล้วนเป็นคนของจูนจิ่ว พวกเขาวางแผนจะทำลายสำนักศึกษาเทียนซูมานานแล้ว”
หงยิงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เปลี่ยนเป็นคนเชื่อฟังขึ้นมาก รู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด ไม่เยิ่นเย้ออืดอาดแน่นอน ยิ่งง่ายยิ่งตรงไปตรงมาก็ยิ่งดี
พูดจบแล้ว หงยิงกัดฟันอย่างหวาดกลัวพูดต่ออย่างระมัดระวังว่า “เจ้าตำหนัก ขอเจ้าตำหนักให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง ข้าจะไม่ทำผิดเหมือนเช่นที่อาจารย์และซิงโล่เฉินทำเด็ดขาด”
“หืม?”ตู๋กูชิงเหลือบสายตาลงมามองหงยิงจากข้างบน เปิดปากเอ่ยขึ้นว่า“เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูเป็นนักจิตใหญ่ชั้นหก ซิงโล่เฉินเป็นนักจิตใหญ่ชั้นสาม ส่วนเจ้า มีความสามารถอะไรที่จะให้ข้าเก็บเจ้าเอาไว้ ”
“ข้าสามารถปรนนิบัติรับใช้เจ้าตำหนักได้”
หงยิงเจ็บปวดจนตัวสั่นระริกไปหมด แต่ก็ยังคงกัดฟันลุกขึ้น นางเงยหน้าขึ้นเผยรอยยิ้มให้กับตู๋กูชิง
เพราะลักษณะนิสัยของตู๋กูชิง แต่ไหนแต่ไรมาคนของเขาทำการลงโทษจะไม่ทำลายโฉมหน้า เกรงว่าจะเวลามองแล้วจะไม่เจริญตา ฉะนั้นใบหน้าของหงยิงยังคงงดงามดึงดูดคนอยู่ นางยื่นมือไปยังที่คาดเอวของตู๋กูชิง ปัง
เท้าหนึ่งเตะจนหงยิงล้มลง เจ็บปวดจนต้องขดตัวเป็นก้อนกลมๆ ตู๋กูชิงหึในลำคอด้วยความดูถูก “ของเล่นชั้นต่ำ เจ้าไม่คู่ควรที่จะแตะต้องข้า”
“เจ้าตำหนักโปรดให้อภัยด้วย หงยิงไม่มีความสามารถอะไรเลย ขอเจ้าตำหนักไว้ชีวิตด้วย ”หงยิงเจ็บจนเกือบจะเป็นลมไปแล้ว กัดฟันพูดสองประโยคนี้ออกไปอย่างสุดชีวิต นางไม่อยากตาย ไม่อยากกลายเป็นศพที่เย็นชืดเหมือนกับซิงโล่เฉินและเจ้าสำนักศึกษาเทียนซู
ตู๋กูชิงหรี่ตาลง “เจ้ารู้เรื่องจูนจิ่วหรือไม่”
หงยิงรีบพยักหน้ารับทันที เห็นดังนั้นตู๋กูชิงก็ยิ้มขึ้นมา “ดี เช่นนั้นก็จะเก็บเจ้าเอาไว้ เจ้ารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับจูนจิ่วบ้าง ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีล้วนต้องเล่าให้ข้าฟังทั้งหมด ยิ่งละเอียดก็ยิ่งดี”
หงยิงยังคงหดตัวอยู่อย่างเจ็บปวด นิ้วมือจิกไปที่ฝ่ามืออย่างรุนแรง จูนจิ่วอีกแล้ว