บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 458 นี่เป็นของแทนคำมั่นสัญญาของข้า
“รอข้ามาตลอด”ค่อยๆหายใจ ฝ่ามือของจูนจิ่วยันไว้ที่หน้าอกของโม่อู๋เยว่ทำให้เกิดระยะห่างช่วงหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมามองโม่อู๋เยว่ ริมฝีปากยิ้มบางๆ “ถ้าหากท่านรอแล้วไม่พบข้าเลยเล่า”
โม่อู๋เยว่ “เช่นนั้นก็รอต่อไป เผ่าพันธุ์ของข้าจะรักแค่คู่วิญญาณของตนเองเท่านั้น ถ้าหากไม่มี ก็ต้องโดดเดี่ยวชั่วชีวิตเท่านั้นเอง”
เท่านั้นเอง
ม่านตาของจูนจิ่วขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย สายตามีแววตกตะลึงกับชื่นชอบวาบผ่าน เผ่าที่รักเดียวใจเดียวเช่นนี้ ใครบ้างจะกล้าปฏิเสธความรู้สึกของเขา รอยยิ้มที่มุมปากลึกขึ้นอีกหลายส่วน จูนจิ่วพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เห็นทีท่านต้องขอบคุณข้า ที่ไม่ทำให้ท่านต้องโดดเดี่ยวตลอดชีวิต”
“ข้าจะใช้ทั้งชีวิตเพื่อขอบคุณเจ้า ”โม่อู๋เยว่ยิ้ม ยิ้มอย่างชั่วร้ายเอาแต่ใจต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ใช้ทั้งชีวิตมาอยู่เคียงข้าง เขาใช้ทั้งชีวิตเพื่อขอบคุณ นี่เป็นเรื่องของกันและกัน เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พูดเช่นนี้ แสดงว่านางเริ่มจะจมดิ่งเข้าสู่ความเจ็บปวดแล้วใช่หรือไม่
แววตาสีทองมีแรงดึงดูดมากเกินไป ก่อนที่แม้แต่วิญญาณของตนเองก็จะถูกดูดเข้าไป จูนจิ่วละสายตาออก นางถอยหลังไปหนึ่งก้าว เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติว่า “คำพูดของป้าฟางข้าสามารถเชื่อได้สามส่วน แต่คำพูดของตู๋กูชิงเชื่อไม่ได้ทั้งหมด”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์อยากฟังเขาพูดเรื่องจริง จับตัวเขาแล้วสืบวิญญาณก็พอ”น้ำเสียงของโม่อู๋เยว่เย็นชาโหดเหี้ยมขึ้นมาทันที
จูนจิ่วส่ายหน้าปฏิเสธ
นี่เป็นทางลัดก็จริง เป็นวิธีที่ทั้งเร็วทั้งง่ายต่อการสอบสวน แต่เรื่องราวไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
เบื้องหลังของตู๋กูชิงคือตำหนักไท่หวง เขามีฐานะสูงส่งเป็นถึงหนึ่งในเจ้าตำหนัก ขยับเพียงหนึ่งแต่เคลื่อนไหวไปทั้งหมด บางทีโม่อู๋เยว่สามารถที่จะไม่มองตำหนักไท่หวง่ให้อยู่ในสายตา แต่นางทำเช่นนั้นไม่ได้ นางมีคนในครอบครัวมีเพื่อน ที่ต้องปกป้อง
พวกเขากำลังเติบโตและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตำหนักไท่หวงแล้วพวกเขายังแข็งแกร่งไม่พอ
จูนจิ่วเอ่ยขึ้นว่า “แม่ข้าเคยไปที่ตำหนักไท่หวง ไปที่นั่นข้าจะตรวจสอบได้ชัดเจนมากขึ้น ยังมี ข้าต้องรู้สถานะที่แท้จริงของแม่ข้าให้ได้ แล้วก็ครอบครัวที่อยู่เบื้องหลังนาง”
ป้าฟางบอกว่า พวกเขาต้องการฆ่านาง เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นศัตรู
……
ต่อมา ตู๋กูชิงก็ไม่มาปรากฏตัวตรงหน้าจูนจิ่วอีก แต่ข่าวคราวของเขา กลับส่งมาถึงหูจูนจิ่วทุกวันมิได้ขาด
เรื่องใหญ่ๆก็เช่นตู๋กูชิงช่วยเหลือพวกเฟิ่งเซียวจนสามารถควบคุมสำนักศึกษาเทียนซูไว้ได้ทั้งหมด อีกทั้งยังได้รับอนุญาตจากตำหนักไท่หวง ให้สำนักศึกษาเทียนซูเป็นของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ไม่ต้องเป็นห่วงกังวลใดๆอีก เรื่องเล็กก็เช่น ตู๋กูชิงช่วยเหลือเรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็มีชื่อของเขาส่งผ่านมาเข้าหูจูนจิ่ว
ข่าวคราวเหล่านี้ จูนจิ่วจดจำไว้ทุกเรื่องราว นางไม่ได้ไปสนใจตู๋กูชิง เพราะนางรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วตู๋กูชิงต้องทนไม่ไหวและมาหานางอีกครั้ง
สิ่งที่นางต้องทำ คือทำให้สำนักศึกษาเทียนซูมั่นคง เฟิ่งเซียวกลายเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักศึกษาเทียนซู เหอซ่านเป็นรองเจ้าสำนักศึกษา โจวเตี๋ยและหยูนเฉียวต่างก็ได้เป็นผู้อาวุโส สถานที่แห่งนี้ จะกลายเป็นจุดยกระดับจุดที่สองของเย่ส้ากับเทียนอู่จง
จูนจิ่วกำหนดว่า ขอเพียงพลังบรรลุถึงนักจิตชั้นห้าแล้ว ก็สามารถเข้าสู่สำนักศึกษาเทียนซูเพื่อฝึกฝนต่อไป
จุดเริ่มต้นที่สูงขึ้น ย่อมมีทรัพยากรที่ดีขึ้นกว่าเดิม จูนจิ่วสามารถมองเห็นอนาคต ที่เย่ส้ากับเทียนอู่จงจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง จนถึงวันหนึ่ง ที่มันจะสามารถหลุดพ้นจากสำนักศึกษาทั้งสาม มีพลังแข็งแกร่งพอที่จะสามารถเป็นคู่แข่งกับตำหนักไท่หวงได้ จากนั้นก็แข็งแกร่งยิ่งกว่า……
เรื่องราวทั้งหมดสงบลงแล้ว เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูกับเจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวมาแสดงความยินดี
จูนจิ่วไม่ได้ไปร่วมงานแสดงความยินดีด้วย นางซ่อนตัวเพื่อกลั่นยาอยู่เบื้องหลัง เพื่อเตรียมการไว้สำหรับอนาคต
หลังจากงานฉลองผ่านพ้นไป ตู๋กูชิงมาพบกับจูนจิ่วอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เป็นการมากล่าวลา จูนจิ่วได้ยินคำพูดของชิงหยู่ก็รู้สึกประหลาดใจเลิกคิ้วถามขึ้นว่า “กล่าวลา?”
“คนที่มีจิตใจคิดไม่ซื่อจะจากไปแล้วไม่ดีหรือ”เสี่ยวอู่กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ เลียไปที่กรงเล็บและมองจูนจิ่ว
จูนจิ่วหรี่สายตาเย็นชาลง เอ่ยขึ้นว่า “เขายังไม่ได้บรรลุจุดประสงค์ เขาไม่มีทางจากไปแน่ กล่าวลาตอนนี้ คงไม่ง่ายขนาดนั้น ศิษย์พี่ท่านให้เขาเข้ามาเถอะ”จูนจิ่วพูดกับชิงหยู่ พลางเก็บยาของนาง
จากนั้นชิงหยู่ก็เข้ามาพร้อมกับตู๋กูชิงอีกครั้ง
พบหน้ากัน คำแรกที่ตู๋กูชิงพูดก็คือ “จูนจิ่ว ตำหนักไท่หวงส่งข่าวมา ข้าต้องกลับไป เจ้ายินดีจะกลับไปตำหนักไท่หวงพร้อมข้าหรือไม่”
ชิงหยู่เบิกตากว้าง ครืด กรงเล็บของเสี่ยวอู๋ข่วนไปบนโต๊ะจนเกิดรอยหนึ่งเส้น
ไม่ง่ายจริงๆด้วย ตู๋กูชิงรออยู่ที่นี่ ก็เพื่อจะแย่งชิงตัวจูนจิ่วไป ฝันกลางวัน
ไม่รอจูนจิ่วตอบกลับ ตู๋กูชิงพูดต่ออีกว่า “จูนจิ่ว เจ้าอยากจะพบกับแม่ของเจ้าหรือไม่”
ตอนที่ตู๋กูชิงพูดคำนี้ออกมา สองตาจ้องมองที่ใบหน้าของจูนจิ่วเพื่อจับสีหน้าของนาง เขาเห็นจูนจิ่วนิ่งอึ้งไปเบาๆ แล้วก็ขมวดคิ้วอย่างรวดเร็วราวกับกำลังใช้ความคิด มุมปากของตู๋กูชิงโค้งขึ้น เขาใช้ไม้นี้ถูกต้องแล้ว
มีใครสามารถปฏิเสธการไปพบแม่ของตนเองได้บ้าง
ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอกันสักครั้ง เช่นนั้นยิ่งดี จะได้ไม่รู้สึกไม่คุ้นเคย มีแต่จะเพิ่มแรงจับใจคน ทำให้ไม่สามารถละทิ้งความคิดนี้ได้ จูนจิ่วต้องตอบตกลงแน่ๆ
“ศิษย์น้อง”ชิงหยู่มองไปทางจูนจิ่ว สีหน้าร้อนใจอยู่หลายส่วน
จูนจิ่วจะตอบตกลงหรือไม่
สองคนหนึ่งแมวต่างก็มองไปที่นาง จูนจิ่วยิ้มเย็นชาและพูดว่า “แม่ข้าไม่ได้อยู่ที่ตำหนักไท่หวง ท่านจะทำอย่างไรให้ข้าได้พบกับนาง”
“ป้าฟางบอกกับเจ้าใช่หรือไม่ ”ตู๋กูชิงไม่ตกใจเลยสักนิดที่จูนจิ่วรู้ ป้าฟางมาพบกับจูนจิ่ว เขารู้ตั้งนานแล้ว
ตู๋กูชิงพูดว่า “แม่เจ้าไม่อยู่ที่ตำหนักไท่หวงก็จริง ยิ่งไม่ได้อยู่ในชั้นต่ำสามชั้น แต่มีเพียงตำหนักไท่หวงของข้าเท่านั้นที่จะผ่านไปยังชั้นกลางชั้นสามได้ และข้าก็มีวิธีที่จะทำให้เจ้าได้พบกับแม่ของเจ้า ม่านตง จูนจิ่ว เจ้าอยากจะพบนางหรือไม่ ”
คลื่นอารมณ์บนใบหน้าของจูนจิ่วค่อยๆชัดเจนขึ้น เหมือนนางจะดิ้นรนต่อสู้อยู่บ้าง
กัดริมฝีปากแดงระเรื่ออยู่เบาๆ เอ่ยอย่างลังเลว่า “แต่ตอนนี้ข้ายังไม่จากสำนักศึกษาเทียนซูไม่ได้ ข้ายังมีเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จ ”
“ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้าอยากไป ข้าจะเตรียมคนไว้รอรับเจ้าไปที่ตำหนักไท่หวงตลอดเวลา”ตู๋กูชิงพูดพลางก้าวเท้าเข้าไปหาจูนจิ่ว ยังยื่นมือออกไปด้วย “จูนจิ่ว เจ้ารู้ว่าข้าไม่ยินดีที่เจ้าไม่สบายใจ หญิงสาวที่งดงามต้องยิ้มให้มากๆจึงจะสวยงาม มอบปัญหาทั้งหมดให้ข้าจัดการไม่ดีหรือ”
ตู๋กูชิงยื่นมือออกไปคิดอยากจะจับใบหน้าของจูนจิ่ว แต่เพิ่งจะไปถึงครึ่งทางก็ถูกเสี่ยวอู่ตอบแทนด้วยกรงเล็บ หากไม่ใช่เพราะตู๋กูชิงดึงมือกลับได้ว่องไว กรงเล็บนี้คงต้องทิ้งร่องรอยสามแถวไว้บนหลังมือของเขาแน่ ข้างหลังยังมีชิงหยู่ที่จ้องเขาเขม็งราวกับเสือที่ดุร้าย
ตู๋กูชิงก็ไม่ได้รู้สึกเก้อเขินอะไร เขายังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน พูดว่า “นี่คือของแทนคำมั่นสัญญาของข้า ขอเพียงเจ้าต้องการข้า เป่านกหวีดอันนี้ คนของข้าก็จะมาช่วยเจ้า ถ้าเจ้าคิดอยากจะไปตำหนักไท่หวง ก็สามารถเป่านกหวีดนี้เพื่อบอกให้พวกเขารับรู้ได้เช่นกัน ”
“ได้ ท่านวางนกหวีดไว้ที่โต๊ะก็พอแล้ว”จูนจิ่วชี้นิ้วอย่างเย็นชา ให้ตู๋กูชิงวางนกหวีดลง
ปฏิเสธที่จะมีการสัมผัสใดๆก็ตามกับเขาอย่างห่างเหินเย็นชา ตู๋กูชิงนั้นจากไปด้วยรอยยิ้ม แต่พอหมุนตัวออกจากประตูสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ก้มหน้าเหลือบไปมองข้างหลัง ตู๋กูชิงฮึเสียงเย็น ทำเป็นสูงส่งไปได้
เขาไม่เชื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่จูนจิ่วต้องการขอความช่วยเหลือจากเขาแล้ว ยังจะมีท่าทีเช่นนี้อีก
หลังจากตู๋กูชิงออกไปแล้ว จูนจิ่วก็เก็บอารมณ์บนใบหน้า นางเรียบเฉยเย็นชา ไร้อารมณ์เป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้ จูนจิ่วพูดกับชิงหยู่ว่า “ศิษย์พี่ ข้าจะบรรลุนักจิตชั้นเก้าแล้ว สำนักศึกษาเทียนซูต้องรบกวนขอแรงพวกท่านดูแลแล้ว”
“ได้”
“หลังจากตู๋กูชิงไปแล้ว ระวังอย่าให้คนอื่นแทรกแซงเข้ามาในสำนักศึกษาเทียนซู”จูนจิ่วพูดตามที่คิดไว้ ชิงหยู่ได้ยินก็เข้าใจ ตู๋กูชิงคงจะส่งคนให้คอยเฝ้าสังเกตการณ์เอาไว้