บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 460 พวกเขายังมีชีวิตอยู่
ปลายฤดูหนาวต้นฤดูปลายไม้ผลิ อากาศยังคงหนาวเหน็บ ท้องฟ้ามีหิมะขาวโปรยปราย บางครั้งก็มีฝนตกปะปนไปกับหิมะเป็นช่วงๆ เป็นความหนาวจับใจแทรกซึมเข้ากระดูก
จูนจิ่วไม่เพียงแต่เก็บตัวฝึกฝนเสร็จแล้ว ยังกลั่นยาได้จำนวนมากเท่ากับภูเขาลูกเล็กๆลูกหนึ่ง ยิ่งจูนจิ่วได้ใช้เตาฟ้าดินเพรียวปราด ก็ยิ่งรู้สึกทำได้อย่างคล่องมือดังใจคิด และยังรับรู้ได้ลึกๆว่าเตาฟ้าดินเพรียวปราดนั้นมีปัญญาด้วยตัวมันเอง ยังรู้สึกได้ด้วยว่ามันช่วยนางในการกลั่นยา
เอาใบรายการยาออกมาตรวจนับ จูนจิ่วยิ้มหันไปมองเสี่ยวอู่“พอหรือยัง”
“พอแล้ว”เสี่ยวอู่นั่งอยู่บนยอดสูงสุดของกองภูเขากล่องยา หางของมันตบไปที่กล่องยาอย่างปราดเปรียว สะบัดหนวดร้องเหมียวๆพูดว่า “ยาล้วนมากพอแล้ว เจ้านายจะกลั่นอีกหรือไม่”
“ไม่แล้ว เก็บตัวมาสองเดือน สมควรออกไปแล้ว”จูนจิ่วพูด นางบรรลุนักจิตชั้นเก้าได้อย่างง่ายดายมาก เพียงแต่ตอนที่บรรลุนักจิตใหญ่นั้น สูญเสียพลังไปไม่น้อย โชคดีที่มีโม่อู๋เยว่อยู่ด้วยและคอยชี้แนะ ก็นับว่าบรรลุได้อย่างราบรื่น
จูนจิ่วย้อนคิดไปถึงสถานการณ์ในตอนนั้น รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งทวีความโค้งขึ้น
ตอนนั้นนางเพิ่งจะเก็บตัวฝึกฝนได้เพียงครึ่งเดือน ร่างกายเต็มไปด้วยพลังทิพย์ อีกทั้งยังมีพลังทิพย์ฟ้าดินที่ถูกดึงดูดมาเพื่อย่อยพลังอยู่ไม่ขาด ตีเหล็กตอนร้อน จูนจิ่วกินยาทิพย์ใหญ่เข้าไป
พอยาทิพย์ใหญ่เข้าสู่ร่างกาย ทั้งร่างก็เกิดความร้อนดุจเตาไฟ
ตั้งแต่ยาทิพย์ใหญ่เข้าปากไป พลังก็ถูกส่งจากภายในปากไปยังเส้นลมปราณ ทุกที่ที่แล่นผ่านเหมือนมีไฟร้อนแรงแผดเผา บุกเบิกทะลวงเส้นปราณด้วยพลังที่พุ่งขึ้นถึงขีดสุด เมื่อพลังไปถึงภายในจุดตันเถียน จูนจิ่วรู้สึกได้เพียงแค่ว่าพลังในตันเถียนได้ถูกหลอมละลายไปหมดแล้ว
เสี่ยวอู่รวมจิตเป็นหนึ่งกับจูนจิ่ว เมื่อรับรู้แล้วก็รีบลืมตาตื่นทันที มันร้อนใจกำลังจะพุ่งเข้าไปหาจูนจิ่ว หลังคอของมันก็มีมือหนึ่งยื่นออกมาคว้าเอาไปกดไว้กับอ้อมอก
เสี่ยวอู๋ขู่ฟ่อพองขน “โม่อู๋เยว่เจ้าทำอะไร ปล่อยข้านะ”
“ไปอยู่เงียบๆอีกฝั่ง เจ้าเข้าใกล้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์มากไปก็มีแต่จะดึงดูดพลังของนาง ”โม่อู๋เยว่พูด
เสี่ยวอู่“อย่างนี้ไม่ดีหรือ เจ้านายจะได้สบายๆหน่อย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สายตาของโม่อู๋เยว่ก็ละจากร่างของจูนจิ่ว เขาก้มลงมามองเสี่ยวอู่ หรี่ตายิ้มชั่วร้าย “พวกเผ่าเสือขาวน่าจะเข้าใจดี การฝึกฝนไม่มีทางลัดให้เดินได้ และไม่มีคำว่าสบายๆด้วย”
เสี่ยวอู่นิ่งเงียบไม่พูดจา
เหตุผลเหล่านี้มันล้วนเข้าใจ แต่มันเพียงแค่อยากจะช่วยให้จูนจิ่วสบายขึ้นนิดหน่อย ไม่ต้องเหนื่อยมาก ลำบากมาก
เสี่ยวอู่เงยหน้าขึ้นมองไปทางจูนจิ่ว ปล่อยร่างให้อ่อนยวบและหมอบลง
ชาติก่อนเจ้านายไม่ได้มีเพื่อนอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงญาติใกล้ชิด ตัวคนเดียวตลอดมา โดดเดี่ยวเดียวดาย ปกติที่พอจะเชื่อใจและพูดคุยได้ก็มีแต่มัน แต่มันในตอนนั้นไม่มีร่างจริงเป็นตัวเป็นตน ให้เจ้านายได้กอดหรือหอม
ชาตินี้ มันหาร่างกายที่เหมาะสมที่สุดให้กับเจ้านายได้ มันเองก็มีร่างจริงเป็นของตัวเอง เจ้านายยังมีเพื่อนและคนสนิท แต่ว่า เจ้านายก็ยังคงลำบากเช่นนี้ เสี่ยวอู่คิดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมากะทันหัน ไม่ชอบใจ
“แต่ว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องใช้ทางลัด นางมีข้าก็พอแล้ว”โม่อู๋เยว่พูดขึ้นอย่างกะทันหัน
พอเสี่ยวอู่ได้ยินความไม่ชอบใจ และความเศร้าใจอะไรนั่นก็ปลิวหายเป็นปลิดทิ้งทันที ขู่ฟ่อกางกรงเล็บ ดวงตาแมวจ้องเขม็งไปยังโม่อู๋เยว่อย่างโมโห เจ้านายเก็บตัวฝึกฝนยังจะมาหยอกล้ออีก โม่อู๋เยว่ยังมีเกียรติอยู่หรือไม่
ถัดมา มันเห็นเพียงโม่อู๋เยว่ยกมือขึ้นไปหมุนรอบตัวจูนจิ่วสร้างค่ายกลไปรอบๆ ทันใดนั้น พลังฟ้าดินก็เกิดการเปลี่ยนแปลง พลังทิพย์ที่พุ่งเข้ามามีความบริสุทธิ์เข้มข้นมากขึ้น ค่อยๆรวบรวมพลังทั้งหมดจนเกิดเป็นเหมือนกับทะเลสาบพลังทิพย์ขึ้นในห้อง จูนจิ่วนั่งอยู่ตรงกลาง สีหน้าที่แดงก่ำเห็นได้ชัดว่าอุณหภูมิลดลงไปเยอะมากแล้ว
เสี่ยวอู่ก็รู้สึกสบายตัวมาก มันมองโม่อู๋เยว่อย่างประหลาดใจ “นี่คืออะไร”
“ดวงทิพย์ คนที่อยู่ในชั้นราชาเทพจะสามารถสร้างดวงทิพย์ได้ ฝึกฝนหนึ่งวันชนะการฝึกฝนของนักจิตใหญ่หนึ่งปี ถ้าเจ้าฟื้นฟูมรดกแห่งความทรงจำชั้นที่หนึ่งได้ ก็สามารถทำเช่นนี้ได้ ”โม่อู๋เยว่ขยี้หัวของเสี่ยวอู่ ยิ้มชั่วร้าย
น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยการข่มขู่และข่มขวัญ “ถ้าหากเจ้ายังเสียเวลาอยู่เช่นนี้ ทิ้งความน่าเกรงขามของเผ่าเสือขาวของเจ้าไป ข้าเกรงว่าคงจะต้องหาเสือขาวตัวใหม่กับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จริงๆ ”
“เหมียว”เสี่ยวอู่พองขน
เขาไม่มีเวลามาทะเลาะกับโม่อู๋เยว่ รีบพุ่งตัวเข้าไปนั่งอยู่ข้างล่างของจูนจิ่ว เลียนแบบจูนจิ่วในการนั่งตัวตรง ฝึกฝนอย่างจริงจังขึ้นมา แต่ในสายตาของโม่อู๋เยว่นั้น มีเพียงสองคำเท่านั้น “โง่มาก”
เกรงว่าถ้าบรรพบุรุษของเสือขาวอยู่ที่นี่ เห็นเสี่ยวอู๋เป็นเช่นนี้คงจะโมโหจนขึ้นสวรรค์แล้วกระมัง
เป็นเสือขาวตัวหนึ่ง มีที่ไหนกันที่เลียนแบบการฝึกฝนเหมือนกับคน แต่เมื่อเห็นว่าเสี่ยวอู่ก็ไม่ได้ฝึกฝนจนมีข้อเสียอะไร โม่อู๋เยว่ก็ไม่ได้ขัดมัน ยิ้มแล้วหันไปมองทางจูนจิ่วอีกครั้ง มองอย่างตั้งอกตั้งใจ งดงามราวกับปีศาจจำแลง ความงามดุจหญิงที่เป็นบ่อเกิดแห่งความหายนะ บวกกับเหมียวขาวดุจหิมะตัวหนึ่ง รอบกายรายล้อมด้วยไอหมอกของทะเลสาบดวงทิพย์ งดงามราวกับภาพวาดในแดนเซียน
จูนจิ่วสามารถมองทุกสิ่งผ่านเสี่ยวอู๋ได้ ฉะนั้นนางรู้
ผลักประตูที่ปิดไว้เพื่อเก็บตัวเดินออกไป จูนจิ่วเงยหน้าขึ้นสิ่งแรกที่มองเห็นก็ยังคงเป็นโม่อู๋เยว่ โม่อู๋เยว่หันกลับมามอง จะบอกว่าเขานั้นเป็นปีศาจที่งดงามล่มเมืองก็ยังน้อยไป จูนจิ่วลมหายใจสะดุด ไม่ช้าก็กลับสู่ความสงบแล้วเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ข้าคิดจะไปที่ตำหนักไท่หวง”
“ให้เหลิ่งยวนรับหน้าที่เป็นองครักษ์ ปกป้องเจ้าอย่างเปิดเผย”
จูนจิ่วพยักหน้า แล้วถามว่า “แล้วท่านเล่า”
โม่อู๋เยว่เดินมาทางจูนจิ่ว เขากุมมือจูนจิ่วมาวางเอาไว้บริเวณไหล่ของตนเอง หลุบตาลงมองจูนจิ่วอย่างลึกซึ้ง น้ำเสียงของโม่อู๋เยว่ทุ้มต่ำ “ข้าจะไปจัดการโซ่ผูกมังกร”
โซ่ผูกมังกร ได้ยินชื่อนี้ก็สามารถเดาได้ว่าอันตรายมากแค่ไหน จูนจิ่วเคยเห็นเองกับตา ท่าทีที่โม่อู๋เยว่ถูกโซ่ผูกมังกรผูกเอาไว้
ตอนนั้นเขามีเพียงความปรารถนา ความเอาแต่ใจ ความบ้าคลั่ง และความปรารถนาที่จะครอบครอง ตอนที่เขาโอบกอดนางได้ ……ครั้งนั้นเหมือนนางจะไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้า รอยยิ้มของจูนจิ่วแข็งค้าง สายตามีแววเหม่อลอย แล้วก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของเสี่ยวอู่ที่ดังขึ้นลอยๆว่า “ทะลึ่งจริงๆ”
“อะแฮ่ม”ไอแห้งๆหนักๆหนึ่งเสียง จูนจิ่วมองเสี่ยวอู่อย่างแจ้งเตือนหนึ่งที แล้วก็หันไปพูดกับโม่อู๋เยว่ว่า “ได้ ขออวยพรให้ทำสำเร็จ”
“ข้าต้องสำเร็จแน่”โม่อู๋เยว่จรดริมฝีปากไปบนระหว่างคิ้วของจูนจิ่ว ราวกับให้คำมั่นสัญญา
จูนจิ่วไม่ได้ถามว่าทำไมโม่อู๋เยว่จึงตัดสินใจที่จะไปจัดการกับโซ่ผูกมังกรอย่างกะทันหัน โม่อู๋เยว่ก็ไม่ได้อธิบาย ระหว่างพวกเขา ไม่ต้องพูดก็เข้าใจกัน เงาร่างของโม่อู๋เยว่หายวับไปต่อหน้าอย่างไร้สุ้มเสียง ขณะเดียวกันด้านหลังก็มีเสียงสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน
เสี่ยวอู่“เจ้านายไม่ถามโม่อู๋เยว่หรือว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”
เหลิ่งยวน“แม่นางจูนไม่ถามเจ้านายหรือว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”
กระตุกมุมปาก จูนจิ่วหมุนตัวอย่างเย็นชา กอดอกมองหนึ่งแมวหนึ่งคน “พวกเจ้าว่างมากหรือ ทำไมจึงได้ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นนัก เสี่ยวอู๋ไปเป่านกหวีดส่งสัญญาณให้ตู๋กูชิง เหลิ่งยวนไปเอาข้อมูลของสำนักศึกษาเทียนซูทั้งหมดที่ข้าควรต้องดูมาให้ข้าทั้งหมด”
“ขอรับ”หนึ่งคนหนึ่งแมวขานรับ
โยนภารกิจให้หนึ่งคนหนึ่งแมวแล้ว จูนจิ่วก็ไปพบเฟิ่งเซียว เฟิ่งเซียวก็เคยพบกับม่านตงมาก่อน มีบางเรื่องที่นางต้องมาเทียบเคียงกับเฟิ่งเซียว จูนจิ่วจะไม่รบในศึกที่ไร้การเตรียมการ และก็จะไม่เดินเข้าไปในกับดักที่ตู๋กูชิงขุดหลุมล่อเอาไว้อย่างง่ายดาย
ตู๋กูชิงต้องการแย่งชิงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในมือนาง นางเองก็อยากจะได้เบาะแสบางอย่างจากตู๋กูชิงเช่นกัน เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ สำคัญมาก
เมื่อพบกับเฟิ่งเซียว จูนจิ่วเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จปู่ เกี่ยวกับพ่อแม่ข้า ยังมีเรื่องอะไรที่ข้ายังไม่รู้อีกหรือไม่ เรื่องที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ท่านพอจะทราบหรือไม่ ”
เฟิ่งเซียวตะลึง ลูบหนวดจนถึงครึ่งทางก็หยุดชะงักลง “พวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือ”