บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 462 ไม่เกี่ยวกับข้า
ในตำหนักไท่หวง
ตู๋กูชิงนั่งฝึกฝนอยู่ท่ามกลางดวงทิพย์ พลังทิพย์ฟ้าดินรวบรวมอยู่ที่นี่ ดวงตาทั้งสองข้างของตู๋กูชิงปิดสนิท ขมวดคิ้วแน่นจนเกิดเป็นรอยย่น ไม่ช้าเขาก็ลืมตาขึ้นมา ใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อยเต็มไปด้วยความไม่พอใจและอารมณ์เสีย “น่าโมโหนัก”
เขาล้มเหลวอีกแล้ว
ก้มศีรษะลงกางฝ่ามือออก เผยให้เห็นวัตถุวงกลมสีทองชิ้นหนึ่งวางอยู่กลางฝ่ามือ สีหน้าของตู๋กูชิงชั่วร้าย “เห็นทีต้องเอากุญแจเวลาที่อยู่ในมือของจูนจิ่วมาให้ได้เท่านั้น จึงจะบรรลุราชาทิพย์ได้”
พลังของเขาหยุดนิ่งไม่พัฒนามาเป็นเวลาห้าปีแล้ว ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะในมือเขามีสมบัติล้ำค่าอยู่ ทำให้พวกเจ้าตำหนักคนอื่นๆต่างหวาดกลัวเขา เกรงว่าอำนาจของเขาที่มีอยู่ในตำหนักไท่หวงคงถูกแย่งชิงกลับไปจนหมดแล้ว แววตาของตู๋กูชิงชั่วร้ายไม่พอใจ ค่อยๆกำวัตถุสีทองนั้นไว้แน่น
นี่เป็นสิ่งที่เหยียนม่านตงมอบให้เขา ชื่อของมันคือหุยสู้(หมายถึงหวนคิดถึงอดีต)
ตู๋กูชิงดีดนิ้ว มองออกไปที่ไม่ไกลนักมีดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานค่อยๆถอยกลับไปเป็นดอกไม้ตูมอีกครั้งหนึ่ง นี่ก็คือพลังของหุยสู้ แต่มีพลังสั้นๆแค่ห้าลมหายใจเท่านั้น อีกทั้งขอบเขตในการใช้งานก็จำกัด นี่ก็แค่ของเล่นเล็กน้อยที่เหยียนม่านตงมอบให้เขาอย่างไม่ตั้งใจ
กุญแจเวลาในมือของจูนจิ่ว จึงจะนับว่าล้ำค่าจริงๆ หุยสู้อยู่ต่อหน้ามัน แทบจะเทียบอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
แววตายิ่งนิ่งขรึมลงไป ตู๋กูชิงลุกขึ้นเดินออกมาจากสถานที่ฝึกฝน เขาเอ่ยขึ้นว่า “ไปรับคนมาหรือยัง”
ทันใดนั้นก็มีชายสวมชุดลายปักสีเงินปรากฏตัวขึ้น ตอบอย่างนอบน้อมว่า “เรียนเจ้าตำหนัก ผางเจียเยว่ได้นำขบวนไปรับจูนจิ่วแล้ว และที่เดินทางมากับนางด้วย มีเพียงองครักษ์เหลิ่งยวนกับแมวตัวหนึ่งเท่านั้น”
“เหลิ่งยวน”ตู๋กูชิงฮึเสียงเย็นหนึ่งเสียง
เขาจำเหลิ่งยวนได้ คนที่มีพลังสูสีพอๆกับเขา อีกทั้งยังเป็นคนที่เหยียนม่านตงเก็บไว้ให้กับจูนจิ่ว ตู๋กูชิงไม่สงสัยในสถานะที่แท้จริงของเหลิ่งยวนเลยแม้แต่น้อย เพราะด้วยฐานะอันสูงส่งของเหยียนม่านตง ส่งนักจิตใหญ่ชั้นเก้าออกมาคนหนึ่งไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร ถึงแม้จะส่งราชาทิพย์มาปกป้องจูนจิ่ว ตู๋กูชิงก็ยอมรับได้
มองจากอีกมุมหนึ่ง นี่ก็พอดีกับการแสดงให้เห็นว่าฐานะที่แท้จริงของจูนจิ่วนั้นเป็นเรื่องจริง และเป็นการยืนยันได้ว่ากุญแจเวลาอยู่บนตัวนาง
ตู๋กูชิงหรี่ตาลง มุมปากโค้งขึ้น “ถ้าจูนจิ่วมาถึงตำหนักไท่หวงแล้ว ให้รีบมารายงานข้าทันที”
“ขอรับ”
……
รถหงส์เก้าม้า ความเร็วดุจสายลม แค่กะพริบตาทิวทัศน์ภายนอกก็ถอยย้อนไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ความเร็วดุจสายลมนี้กลับไม่มีผลกระทบต่อความนิ่งสบายภายในรถเลยแม้แต่น้อย
ผางเจียเยว่คุกเข่าอยู่ที่มุมหนึ่งของรถหงส์ กำลังพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชมกับจูนจิ่วว่า“คุณหนูจูนช่างมีวาสนายิ่งนัก เจ้าตำหนักมีใจอยากจะแต่งกับท่านแค่คนเดียว และตำแหน่งของฮูหยินเจ้าตำหนักก็เก็บไว้รอท่านอยู่ตลอดมา ไม่เคยมองหญิงใดมาก่อน ไม่เคยพัวพันกับหญิงอื่นเลยแม้แต่น้อย ทำให้เจียเยว่รู้สึกอิจฉานัก”
จูนจิ่วเหลือบมองผางเจียเยว่อย่างเรียบเฉย “จริงหรือ”
“ที่เจียเยว่พูดเป็นจริงทุกคำ คุณหนูจูนคงไม่ทราบ รถหงส์เก้าม้านี้แต่ไหนแต่ไรมามีแต่เจ้าตำหนักเท่านั้นจึงจะนั่งได้ แต่เพื่อมารับท่านเจ้าตำหนักจึงสั่งให้นำรถหงส์เก้าม้าออกมา นี่ก็เพียงพอที่จะมองเห็นได้แล้วว่าเจ้าตำหนักให้ความสำคัญกับคุณหนูจูนมากแค่ไหน บางทีเมื่อกลับไปถึงตำหนักไท่หวงแล้ว ไม่นานเจียเยว่อาจจะโชคดีได้ลิ้มรสเหล้ามงคลในงานสมรสของคุณหนูจูนกับเจ้าตำหนักก็เป็นได้”ผางเจียเยว่พูดโดยมีรอยยิ้มซ่อนอยู่
นางไม่ได้ยินจูนจิ่วตอบกลับเป็นเวลานาน ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองจูนจิ่วอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง พอดีกับที่ปะทะเข้ากับรอยยิ้มที่เหมือนจะไม่ยิ้ม แววตาที่เย็นชา แม้แต่แมวที่อยู่ในอ้อมอกของจูนจิ่ว ก็มองมาที่นางอย่างเยือกเย็น
ผางเจียเยว่ตัวสั่นเพราะความหนาวอยู่ชั่วครู่ รอยยิ้มแข็งค้างอยู่บ้าง “คุณหนูจูน ทำไมหรือ”
จูนจิ่วจึงเก็บสายตากลับไป ก้มหน้า ยกมือขึ้นค่อยๆลูบขนจัดระเบียบให้กับเสี่ยวอู่ น้ำเสียงนางเรียบเฉย “เห็นทีเจ้าคงจะใกล้ชิดกับเจ้าตำหนักตู๋กูมากสินะ จึงได้รู้เรื่องต่างๆไม่น้อย แม้แต่เรื่องสัญญาแต่งงานก็รู้”
“นี่ก็แน่นอนอยู่แล้ว หลังจากเจ้าตำหนักได้พบกับคุณหนูจูน กลับมาก็จัดการเตรียมงานแต่งทันที เจียเยว่ที่เป็นผู้ดูแลรับใช้เจ้าตำหนัก ก็มีส่วนร่วมในการช่วยจัดเตรียมงานด้วย”น้ำเสียงที่ผางเจียเยว่ใช้พูดนั้นมีความเก้อเขินอยู่บ้าง นางรู้สึกประหลาดใจมาก จูนจิ่วที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ราวกับไม่มีความสนใจต่อเรื่องงานแต่งงานเลยสักนิด แล้วก็หวนนึกถึงคำพูดกำชับของตู๋กูชิงที่พูดกับนาง ผางเจียเยว่ยังคงฝืนใจ พูดต่อไปว่า “คุณหนูจูนมีอะไรที่ต้องการเสนอแนะในเรื่องงานแต่งหรือไม่”
ในตอนแรกที่เพิ่งได้รับรู้ว่า ตนเองต้องนำขบวนมารับตัวว่าที่เจ้าสาวของตู๋กูชิงนั้น ผางเจียเยว่ตกใจจนอึ้ง จากนั้น ก็ฟังคำสั่งของตู๋กูชิงที่ให้นางลองถามหยั่งเชิงเพื่อดูท่าทีของจูนจิ่ว ผางเจียเยว่ยิ่งรู้สึกมึนงงเข้าไปใหญ่
ตู๋กูชิง เจ้าตำหนักแห่งตำหนักไท่หวง รูปร่างหน้าตาหล่อเหล่า นิสัยใจคออ่อนโยนมีเมตตา เป็นชายในฝันของสาวน้อยนับไม่ถ้วน แม้แต่ในฝันยังอยากจะแต่งงานกับเขาแม้จะเป็นแค่เมียทาสก็ยินดี รวมถึงลูกสาวของเจ้าตำหนักอีกคนก็เช่นกัน สาวงามที่สุดในตำหนักไท่หวงลี่หยุนซูก็คิดเช่นนั้น
แต่ตู๋กูชิงกลับมีว่าที่ภรรยาในอนาคตซะแล้ว ยังเป็นคนที่ไม่ยินดีที่จะแต่งงานกับเขาด้วย ความประหลาดใจที่ผางเจียเยว่มีต่อจูนจิ่วมีมากเสียจนจะระเบิดออกมาแล้ว
หลังจากพบกับจูนจิ่ว ผางเจียเยว่ต้องยอมรับว่าแค่อาศัยหน้าตาภายนอก จูนจิ่วนั้นเหมาะสมกับตู๋กูชิงมาก แต่ว่าทำไม จูนจิ่วจึงไม่อยากจะแต่งงานกับตู๋กูชิง นั่นเป็นเจ้าตำหนักแห่งตำหนักไท่หวง และยังมีฐานะสูงส่งที่สุดในชั้นต่ำสามชั้น
“ไม่มี แต่ถ้าหากเจ้าต้องทำตามคำสั่งให้ได้ เช่นนั้นก็บอกกับเจ้าตำหนักตู๋กูว่า ข้าไม่สนใจเขา งานแต่งอยากจะจัดก็จัดไป ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
“เหมียว”เสี่ยวอู่ประสานเสียงขึ้น ราวกับกำลังสนับสนุนคำพูดของจูนจิ่ว
รอยยิ้มบนใบหน้าของผางเจียเยว่แข็งทื่อไป นางมองจูนจิ่วอย่างนิ่งอึ้ง จูนจิ่วรู้ว่าหล่อนกำลังหยั่งเชิงนาง ยังรู้อีกว่านี่เป็นคำสั่งของตู๋กูชิงที่ให้นางทำตาม ไม่รู้ว่าตนเองได้เปิดเผยออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เวลาต่อมาผางเจียเยว่ก็ไม่กล้าจะรบกวนจูนจิ่วอีก
เงียบมาตลอดทาง จนกระทั่งไปถึงตำหนักไท่หวง
ความเร็วของรถหงส์เก้าม้า ก็เสียเวลาไปสามวันกว่าจะถึงตำหนักไท่หวง ยืนอยู่กลางภูเขา ผางเจียเยว่เปิดหน้าต่างออกเพื่อแนะนำให้กับจูนจิ่ว“คุณหนูจูนท่านดูสิ นี่ก็คือตำหนักไท่หวง”
เหลือบตาขึ้นมองออกไป เป็นเมืองที่ใหญ่สุดลูกหูลูกตาเต็มไปด้วยความมโหฬารและสง่างามปรากฏขึ้นในสายตาของจูนจิ่ว แบ่งเป็นเหนือใต้ออกตกที่มีเขตเมืองที่ล้อมรอบอยู่ทั้งสี่ทิศ แต่ละเมืองที่เลือกมานั้นล้วนคึกคักยิ่งใหญ่กว่าเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของสิบแคว้น ตรงกลางมีตำหนักที่สร้างขึ้นโดยอิงแอบไปกับภูเขา สวยงามไม่ธรรมดา
หึ่ง
เกิดเสียงหึ่งดังขึ้นระหว่างฟ้าดินหนึ่งระลอก เผยให้เห็นแสงสีทองสายหนึ่งที่สร้างเป็นม่านกั้นขนาดใหญ่ที่อยู่บนตำหนักไท่หวง
ผางเจียเยว่พูดว่า “นี่มีค่ายกลป้องกันตำหนัก นี่เป็นค่ายกลที่ราชาทิพย์สิบคนรวมกัน ก็ยังไม่สามารถโจมตีได้ นี่เป็นที่พึ่งที่สำคัญที่สุดที่ให้ความปลอดภัยแก่ตำหนักไท่หวงมานับร้อยปี”
จูนจิ่วเลิกคิ้ว ในมือนางจับอุ้งเท้าของเสี่ยวอู่เอาไว้ พลางก็ส่งสัญญาณเสียงถามเหลิ่งยวนอย่างสบายๆว่า “เจ้าสามารถโจมตีค่ายกลป้องกันตำหนักนี่ให้แตกได้หรือไม่”
“ได้สิ”เหลิ่งยวนพูดออกไปทันควัน พอได้สติก็รีบอุดปากตัวเองไว้แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
จูนจิ่วหรี่ตาลง มุมปากโค้งขึ้นด้วยความเย้ยหยัน เห็นทีพลังของเหลิ่งยวนจะอยู่เหนือกว่าราชาทิพย์ด้วยซ้ำ และคนที่เป็นเจ้านายเหลิ่งยวนอย่างโม่อู๋เยว่ พลังคงจะเพิ่งสูงขึ้นสูงกว่าหลายเท่าตัวมาก
“คุณหนูจูน พวกเราจะเข้าสู่ตำหนักไท่หวงแล้ว”ผางเจียเยว่พูดขึ้นข้างหูจูนจิ่วด้วยเสียงอันเบาหวิว เห็นจูนจิ่วพยักหน้าเรียบๆ ผางเจียเยว่ก็กัดริมฝีปากตัวเอง
นี่มันน่าประหลาดใจจริงๆ
คนที่มาจากสำนักศึกษาทั้งสาม เห็นตำหนักไท่หวงแล้วกลับไม่รู้สึกตื่นตะลึงเลยแม้แต่น้อย ไม่อยากรู้ ไม่มีอารมณ์ตอบสนองเลยสักนิด ดูแล้วเมื่อเทียบกับนางที่อยู่ในตำหนักไท่หวงจูนจิ่วยังดูจะสงบนิ่งมากกว่านางเสียอีก ในใจของผางเจียเยว่รู้สึกประหลาดใจต่อจูนจิ่วเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็เกิดสัญลักษณ์คำถามขึ้นอีกหลายตัว
พอนางสั่งการออกไป รถหงส์เก้าม้าก็บินขึ้นทันทีทันใด ภายใต้การคุ้มครองส่งตัวของเหล่าองครักษ์และสาวใช้ บินเข้าสู่ตำหนักไท่หวง
แต่ไหนแต่ไรมาเป็นพาหนะของเจ้าตำหนักแห่งตำหนักไท่หวง พอเข้าสู่เมืองไท่หวงก็เป็นที่ดึงดูดสายตาของคนทั้งเมือง ทุกคนต่างก็วิจารณ์กัน “น่าแปลก ช่วงนี้ไม่ได้ยินว่ามีท่านเจ้าตำหนักคนไหนออกนอกเมืองนี่นา ”