บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 477 รับผิดชอบต่อข้า
จากนั้นสีแดงเลือดนั้นก็แผ่ขยายออกมานอกดวงตา แล่นไปตามใบหน้าของเหลิ่งยวนราวกับลวดลายปีศาจอย่างไรอย่างนั้น
ผ่านไปชั่วครู่โม่อู๋เยว่ก็วางมือ เหลิ่งยวนกำหมัดไว้แน่นจึงไม่ได้ล้มลงไปกับพื้น เขาคุกเข่าลงคำนับ “ขอบคุณเจ้านายที่ไว้ชีวิต”
“แม้แต่ความผิดอันโง่เขลาเช่นนี้ก็ยังทำให้เกิดขึ้นได้ ไสหัวกลับไป ข้าจะให้ยินหันมาทำหน้าที่แทนเจ้า”โม่อู๋เยว่เหลือบมองเหลิ่งยวนอย่างเย็นชา มีความคิดที่จะฆ่าเหลิ่งยวนแล้ว แต่สุดท้ายก็เก็บมือกลับไป
เหลิ่งยวนก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม เขาผิดพลาดในหน้าที่ สมควรถูกลงโทษ
กำลังจะเปิดปากเอ่ยคำว่าน้อมรับคำสั่ง ในห้องก็มีเสียงของจูนจิ่วส่งออกมา ตัดบทของเหลิ่งยวน “อู๋เยว่”
ได้ยินเสียงของจูนจิ่ว โม่อู๋เยว่ก็เก็บสีหน้าเย็นชาอำมหิตบนใบหน้าไว้อย่างดี เขายิ้มแล้วก็หมุนตัวไป หางตาจึงเพิ่งเหลือบไปเห็นลี่หยุนซูที่ยืนตัวตรงอยู่อีกฟาก นิ้วของโม่อู๋เยว่เคลื่อนไหวเบาๆ ลี่หยุนซูก็ล้มตึงลงไปกับพื้น
เดินเข้าไปในห้อง จูนจิ่วกำลังทำหน้าแข็งทื่อเคลื่อนไหวมือและเท้าอย่างยากลำบาก เลิกแขนเสื้อขึ้นจนพบกับร่องรอยแห่งความรักที่มีอยู่เต็มแขน จูนจิ่วจึงดึงแขนเสื้อลงเพื่อปิดบังอย่างเงียบๆ บริเวณอื่นๆก็ไม่ต้องดูแล้ว คงจะมีมากพอๆกัน
ไม่มีพิษกู่หลงรักแล้ว ความทรงจำของจูนจิ่วก็ฟื้นคืนมา ทุกรายละเอียดไม่ขาดหายไปเลยสักนิด
นางยินดีที่จะนึกอะไรไม่ออกเลยก็ได้ ทำพฤติกรรมเชิญชวนเพื่อเสพสมกับโม่อู๋เยว่ ปวดหัวมากนางสามารถแกล้งทำเป็นความจำเสื่อมได้หรือไม่
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ตื่นแล้ว”
“อืม ”จูนจิ่วออกกำลังมือและเท้าเรียบร้อยแล้ว นางเหลือบมองโม่อู๋เยว่แวบหนึ่งแล้วก็มองออกไปข้างนอกที่มีเหลิ่งยวนคุกเข่าอยู่ จูนจิ่วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเป็นคนให้เหลิ่งยวนไปฆ่าเมี่ยวยู่เอ๋อ ไม่เกี่ยวข้องกับเขา ข้าประเมินตู๋กูชิงกับหงยิงต่ำไป จึงได้เสียท่า ให้เหลิ่งยวนอยู่ต่อเถอะ ข้าคุ้นเคยกับเขามากกว่า ”
“ได้”โม่อู๋เยว่ไม่ลังเลเลยสักนิด รีบตอบตกลงจูนจิ่วทันที
พอเงยหน้าขึ้น จูนจิ่วก็มองออกไปนอกประตูชั่วครู่ เหลิ่งยวนกำลังมองมาที่นางอย่างซาบซึ้งใจ เหลือแค่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเท่านั้นแล้ว
มุมปากกระตุก จูนจิ่วละสายตาออกไป ความผิดของนางนางจะรับไว้เอง ไม่ให้คนอื่นต้องเดือดร้อนไปด้วย เหลิ่งยวนต้องซาบซึ้งขนาดนั้นเชียวหรือ
เหลิ่งยวน :แม่นางจูนเป็นคนดี
เหลิ่งยวนกำหมัดอย่าวแน่วแน่และซาบซึ้งใจ แอบคิดว่าต้องจับคู่แม่นางจูนกับเจ้านายให้สำเร็จ มีแม่นางจูนเป็นนายหญิง ชีวิตของพวกเขาจึงจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นคงถูกเจ้านายทรมานราวกับสุนัขตัวหนึ่งทุกวัน
โม่อู๋เยว่ก็มองเห็นสีหน้าของเหลิ่งยวนเช่นกัน เขาใช้สายตาเย็นชามองกวาดไป เหลิ่งยวนรีบถอยออกไปพร้อมกับลากตัวลี่หยุนซูออกไปด้วย
โม่อู๋เยว่เก็บสายตากลับมา มองไปทางจูนจิ่วและพูดว่า “รู้สึกอย่างไรบ้าง”
สายตาของจูนจิ่วเหลือบไปเห็นมุมปากที่ถูกขบกัดจนแตกของโม่อู๋เยว่ รู้สึกผิดในใจชั่ววูบ นางเหมือนจะร้อนแรงราวกับไฟอย่างไรอย่านั้น ร่องรอยบนเรือนร่างของนางกับโม่อู๋เยว่ ต่างคนก็น่าจะพอๆกัน
ลูบใบหน้าตนเอง จูนจิ่วไอแห้งๆเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ค่อยยังชั่ว ข้าบรรลุนักจิตใหญ่ชั้นสองแล้ว พลังจิตก็แข็งแกร่งขึ้น ในตันเถียนยังมีพลังสายหนึ่งที่แข็งแกร่งมากเพิ่มขึ้นมา ค่อยๆย่อยสลายคาดว่าคงต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนจึงจะย่อยหมด นี่มันเรื่องอะไรกัน ”
พอตื่นขึ้นมา นอกจากความจำที่น่าอายไม่สามารถพบเจอหน้าผู้คนได้
จูนจิ่วไม่เพียงแต่จะฝึกฝนจนบรรลุ พลังจิตก็แข็งแกร่งขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือ ในร่างกายยังมีก้อนพลังอันกล้าแกร่งสายหนึ่ง เมื่อใช้พลังจิตในการสำรวจแล้วได้คำตอบว่า พลังนี้แข็งแกร่งกว่าพลังที่ได้จากหินทิพย์เป็นอย่างมาก แค่ย่อยและซึมซับพลังสายนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถบรรลุนักจิตใหญ่ชั้นสามได้ หรือแม้กระทั่งนักจิตใหญ่ชั้นสี่
พลังนี้มาจากที่ไหนกัน
คางถูกโม่อู๋เยว่จับให้เงยขึ้น ใบหน้าปีศาจอยู่ใกล้ชิดกันมาก อ้าปากพูดด้วยน้ำเสียงเอือมระอาและเกียจคร้าน “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ลืมไปแล้วหรือว่าพวกเราเพิ่งจะฝึกคู่กัน”
ปัง
สมองระเบิดออก ทันใดนั้นใบหน้าก็แดงดุจลูกแอปเปิล
จูนจิ่วแกะมือของโม่อู๋เยว่ออกอย่างยากลำบาก ฝืนใจปั้นหน้าเย็นชาจ้องมองโม่อู๋เยว่ “แค่ฝึกคู่เท่านั้น ไม่ต้องใช้น้ำเสียงหยอกเย้ายั่วยวนดูดวิญญาณขนาดนี้ คนไม่รู้เขาจะคิดไปเองได้ว่าพวกทำอะไรกัน”
“หรือจะบอกว่าไม่ได้ทำ”โม่อู๋เยว่ถามกลับด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
จูนจิ่วนิ่งขรึมลงไปทันที นอกจากขั้นตอนสุดท้าย ก็ไม่ขาดเหลืออะไรแล้ว ไม่สามารถโต้แย้งโม่อู๋เยว่ได้
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ทั้งจูบทั้งกอดทั้งข่วนทั้งกัด ยังจะให้ข้าทำมากกว่านั้นอีก”โม่อู๋เยว่ล้อจูนจิ่ว แววตาสีทองเว้าวอนราวกับขอร้องให้นางกลืนมันลงไป พูดต่อไปว่า “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ทำทุกอย่างแล้ว ควรที่จะรับผิดชอบต่อข้าใช่หรือไม่”
“รับผิดชอบ”จูนจิ่วถอนหายใจเบาๆ
ไม่รับผิดชอบ แล้วนางยังเป็นคนอยู่หรือไม่
แม้ว่าจะสามารถผลักความรับผิดชอบให้เป็นความผิดของพิษกู่หลงรักที่แล่นขึ้นสมองนางได้ แต่ในความเป็นจริง การผลักไสโม่อู๋เยว่เกิดจากความปรารถนาของตัวเองตลอดมา ไร้หนทางจริงๆ ต้องทำเช่นนี้จริงหรือ
เงยหน้าขึ้นมองเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของโม่อู๋เยว่ที่ดูเบิกบานสดใสจนสามารถนำมาซึ่งหายนะใหญ่หลวงได้ จูนจิ่วหึเสียงเย็น “โม่อู๋เยว่ท่านอย่าดีใจเร็วเกินไป ก็แค่รับผิดชอบเท่านั้น จะรับผิดชอบเมื่อไหร่ ข้าจะเป็นคนตัดสินใจเอง”
“ได้ เจ้าเป็นคนตัดสินใจ แต่ถ้าหากเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หลอกข้า คิดอยากจะหนี เกรงว่าชาติหน้าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็คงหนีไม่พ้นจากเตียง”
“ท่านจะหักขาข้าหรือ”จูนจิ่วตื่นตะลึง
โม่อู๋เยว่:……
เจ้ามองข้าข้ามองเจ้า จูนจิ่วหลุดหัวเราะออกมาก่อน นางก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น นางรู้ว่าโม่อู๋เยว่จำคำพูดของนางเอาไว้
ที่ถามโม่อู๋เยว่ว่าทำได้หรือไม่ ตนเองก็รนหาที่ตายเอง
จูนจิ่วโบกมือเดินถอยหลังไป “เอาเถอะข้าเข้าใจความหมายของท่าน วางใจได้ ข้าไม่มีทางให้โอกาสท่าน และไม่กลัวว่าจะบกพร่องในทางอย่างว่า”คำพูดสุดท้าย จูนจิ่วพูดด้วยเสียงเบาหวิวแทบจะฟังไม่ชัดเจน แต่โม่อู๋เยว่ก็ยังได้ยิน เขาไม่พูดอะไร ยิ้มชั่วร้ายไม่พูดจา
ความจริงจะยืนยันต่อเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เองว่า ที่แท้เขานั้นบกพร่องจริงหรือไม่
ข้ามหัวข้อสนทนานี้ไป โม่อู๋เยว่เปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “หญิงคนนั้นเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์คิดจะจัดการอย่างไร”
ชะงักไปชั่วครู่ จูนจิ่วเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าโม่อู๋เยว่พูดถึงใคร ลี่หยุนซูหรือ จูนจิ่ว “เก็บนางเอาไว้ก่อน ตู๋กูชิงฉีกหน้ากากตัวเองออกมาแล้ว ตอนนี้ข้าอยู่ในตำหนักไท่หวงยังต้องการผู้ช่วยอีกหนึ่งคน นางเหมาะสมพอดี ใช่แล้วเสี่ยวอู่ โม่อู๋เยว่ท่านรู้หรือไม่ว่าเสี่ยวอู่อยู่ที่ไหน”
จิตใจสื่อถึงกัน จูนจิ่วรู้ว่าตอนนี้เสี่ยวอู่สบายดี ฉะนั้นจึงไม่รีบร้อน
โม่อู๋เยว่ “ห่างจากที่นี่ห้าร้อยลี้ ในสถานที่หนึ่งที่ชื่อว่าเขาสรรพสัตว์”
??
ใบหน้ามึนงง จูนจิ่วกระพริบตาปริบๆไม่อยากจะเชื่อ “เสี่ยวอู่ถูกตู๋กูชิงทำร้ายจนบาดเจ็บ ทำไมแค่ชั่วพริบตาจึงหนีไปไกลถึงเขาสรรพสัตว์ที่อยู่ห่างออกไปถึงห้าร้อยลี้ได้ ในหนังสือบันทึกเอาไว้ ที่นั่นคือที่จัดการแข่งขันสัตว์ทิพย์ของตำหนักไท่หวง สัตว์ทิพย์นับหมื่นรวมตัวกัน อันตรายอย่างยิ่ง หรือว่าตู๋กูชิงจะเป็นคนโยนเสี่ยวอู่ไปที่นั่น
พูดถึงสุดท้าย จูนจิ่วหรี่ตาลงน้ำเสียงค่อยๆแฝงแววพิฆาตและไอสังหาร
จากนั้นโม่อู๋เยว่ก็บอกนางว่า “เสี่ยวอู่ไปเอง”
“เพราะอะไร”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อเจอเสี่ยวอู่แล้วก็ลองถามมันดู ทำไมจึงต้องหนีไปซ่อนตัว”น้ำเสียงของโม่อู๋เยว่แฝงไปด้วยแววหยอกเย้าและล้อเล่น ราวกับกำลังรอดูละครฉากสนุกอย่างไรอย่างนั้น จูนจิ่วเห็นอย่างนี้ก็ยิ่งไม่เข้าใจ โม่อู๋เยว่จะอุบเอาไว้ทำไม
ยืดอกเชิดหน้าขึ้น จูนจิ่วจ้องโม่อู๋เยว่ “เจ้ารู้สาเหตุใช่หรือไม่ บอกข้ามา”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์อยากรู้หรือ”
จูนจิ่วพยักหน้า แน่นอน ยังจะถามอะไรไร้สาระอีก
โม่อู๋เยว่ยิ้มอย่างชั่วร้าย เขาโน้มตัวก้มศีรษะลง “ในเมื่อเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์สัญญาจะรับผิดชอบแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอชื่นใจสักหน่อย ค่อยบอกเจ้า”จูบหนึ่งประทับลงที่ริมฝีปากของจูนจิ่ว จากนั้นก็ขบกัดลงไปเหมือนจะเป็นการลงโทษ เช่นนี้นางกับโม่อู๋เยว่ต่างก็ถูกกัดกันคนละที ดูแล้วยิ่งเหมาะสมกันเข้าไปใหญ่
จูนจิ่วจับที่มุมปาก วิจารณ์ในใจ ชื่นใจ เห็นได้ชัดว่าเป็นการประทับตราเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของต่างหาก พวกผู้ชายเฮอะ
ยิ้มอย่างพึงพอใจ โม่อู๋เยว่พูดว่า “ฝ่ามือนั้นของตู๋กูชิง เป็นทุกขลาภกระตุ้นให้ชีพจรเสือขาวในตัวเสี่ยวอู่ตื่นขึ้น มันเปลี่ยนกลับไปเป็นแมวไม่ได้จึงไปหลบซ่อนตัว”