บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 480 ทางเลือกที่โอกาสรอดตายมีน้อยมาก
ในเมื่อเป็นห้องหนังสือ ในสมองของจูนจิ่วมีใบหน้าของชายชราผุดวาบขึ้นมา นางมองไปทางลี่หยุนซูและถามนางว่า “คนที่เจ้าจะไปพบคือใคร”
ลี่หยุนซูหันมองซ้ายมองขวา ดูจนทั่วแล้วก็ไม่มีใครเลย นางจึงหันหน้ามาพูดเสียงเบาๆว่า “ในเมื่อเจ้าก็จะได้พบเขาอยู่แล้ว บอกเจ้าไว้จะได้เตรียมตัวถูก เขาเป็นหนึ่งในเจ้าตำหนักที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดของตำหนักไท่หวง หลีติง”
“เขายังคงเก็บตัวอยู่หรือ”จูนจิ่วเลิกคิ้ว
ลี่หยุนซูจ้องจูนจิ่วและพูดว่า “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่การเก็บตัวของท่านปู่หลีนั้นไม่เหมือนกัน อีกประเดี๋ยวข้าจะไปขอร้องท่านปู่หลี ถ้าหากเขาไม่ตกลงข้าก็ไม่มีทางช่วยแล้ว เจ้าอย่าได้ข่มขู่ข้าอีกนะ ”
จูนจิ่วหลุดเสียงหัวเราะออกมา นางมาตำหนักไท่หวง และได้ยินผางเจียเยว่ที่พูดถึงลี่หยุนซูว่าเป็นหญิงงาม อารมณ์รุนแรง แต่ทำไมในสายตานาง ทำไมลี่หยุนซูจึงได้ดูงี่เง่าอย่างน่ารักขนาดนี้นะ
ยกมือขึ้นกอดอก จูนจิ่วมองลี่หยุนซูอย่างหยอกล้อ “ในเมื่ออีกสักครู่ก็จะได้พบกับเจ้าตำหนักหลีแล้ว เจ้ายังจะกลัวข้าข่มขู่อีกหรือ เจ้าคงไม่ไปฟ้องเพื่อเปิดโปงข้าหรอกกระมัง ”
ลี่หยุนซูเบิกตากว้างนิ่งอึ้งไป
ใช่แล้ว ทำไมนางจึงคิดไม่ได้นะ ลี่หยุนซูอ้าปาก มองจูนจิ่วแต่พูดไม่ออก
ดวงตานางกลอกไปมา อารมณ์ซับซ้อน นางกลัวการข่มขู่ของจูนจิ่วจริงหรือ ทั้งหมดนี้นางคิดไม่ถึงเลยว่า เป็นเพราะนางไม่อยากจะเปิดโปงจูนจิ่วอย่างแท้จริง ถ้าหากมีความคิดเช่นนี้ นางก็คงไปหาพ่อของตนเองเพื่อฟ้องร้อง จับตัวจูนจิ่ว แต่นางไม่มี ไม่เพียงแต่จะไม่มีความคิดเช่นนั้นยังเลือกที่จะช่วยจูนจิ่วด้วย
คิดถึงตรงนี้ ลี่หยุนซูก็นิ่งอึ้งไปอีก นี่นางกำลังทรยศต่อตำหนักไท่หวงใช่หรือไม่
“กำลังคิดอะไรอยู่ สีหน้าของเจ้าเหมือนฟ้าจะถล่มอยู่แล้ว แม้ฟ้าจะถล่มก็มีคนที่สูงกว่าค้ำเอาไว้ ทับไม่ถูกตัวเจ้าหรอก ไปเถอะ พวกเราเข้าไปพบเจ้าตำหนักหลีกัน ”จูนจิ่วยิ้ม เดินผ่านลี่หยุนซูเดินเข้าไปในห้องสมุดก่อน
ลี่หยุนซูได้สติก็รีบตามเข้าไปทันที ท่านปู่หลีไม่รู้จักจูนจิ่ว ให้นางเป็นคนพูดจะดีกว่า
และแล้วก็ไม่ได้เหนือการคาดเดา ท่านปู่หลีของลี่หยุนซูก็คือชายชราคนนั้นที่ให้กล่องปริศนามา ให้นางช่วยไขปริศนาให้
หลีติงลูบหนวดตนเอง พลางฟังลี่หยุนซูพูด พลางก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับจูนจิ่ว
ลี่หยุนซูพูดยืดยาว สุดท้ายก็มองหลีติงอย่างระมัดระวังและถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ท่านปู่หลีสามารถช่วยเหลือเพื่อนข้าได้หรือไม่ ”
“หยุนซู เจ้าชื่นชอบตู๋กูชิงมิใช่หรือ เมื่อไหร่กัน ที่เจ้าได้กลายเป็นเพื่อนกับคนที่ตู๋กูชิงต้องการจับตัว หืม ”หลีติงมองลี่หยุนซูด้วยรอยยิ้ม คนถูกถามตกใจจนหน้าขาวซีดไปหมด
ท่านปู่หลีรู้ได้อย่างไรกัน จูนจิ่วออกมาโดยทำการแปลงโฉมแล้ว ไม่มีทางที่จะมีคนมองออกว่านางคือใคร ทำอย่างไรดี
นางตื่นตกใจอย่างทำอะไรไม่ถูกมองไปทางจูนจิ่ว แต่กลับเห็นจูนจิ่วยังคงสงบนิ่งเหมือนเดิม คิ้วก็ไม่ขมวดเลยแม้แต่น้อย ช่วยไม่ได้ ลี่หยุนซูก็ได้แต่นิ่งสงบตาม
หลีติงมองไปยังจูนจิ่วอีกครั้ง ยิ้มและลูบหนวดเครา “เพื่อนตัวน้อยพวกเราพบกันอีกแล้ว”
“เจ้าตำหนักหลีรู้ว่าเป็นข้าได้อย่างไร ”จูนจิ่วถาม
นางมั่นใจว่าฝีมือการปลอมตัวแปลงโฉมของนางนั้นไร้ที่ติ หน้าแนบหน้ายังไม่สามารถสังเกตเห็นได้ว่านางแปลงโฉม ทำไมหลีติงจึงรู้ว่าเป็นนางตั้งแต่มองเห็นแวบแรก
หลีติงหัวเราะฮ่าๆ “มีวาสนา ข้ามองดูแวบเดียวก็รู้สึกว่าเจ้ากับข้านั้นมีวาสนาต่อกัน ช่วงที่ผ่านมาไม่นานก็เพิ่งจะพบกับเพื่อนตัวน้อยคนหนึ่ง และรู้สึกมีวาสนามากเช่นกัน ข้ากำลังคิดว่า ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีคนที่มีวาสนาได้มากมายหลายคนนัก มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น ”
จูนจิ่ว ……อย่างนี้ก็ได้หรือ
มุมปากกระตุกขึ้น จูนจิ่วยกมือขึ้นหมุนกล่องปริศนาที่อยู่ในมือ ยอมรับตัวตนที่แท้จริงของตนเอง นางเอ่ยขึ้นว่า “จะช่วยหรือไม่ ท่านช่วยข้าเรื่องนี้ ข้าก็จะช่วยท่านไขกล่องปริศนา ”
ลี่หยุนซูได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ก็ยิ่งเบิกตากว้างเพราะความประหลาดใจ ดวงตาแทบจะถลนออกมาแล้ว
จูนจิ่วรู้จักกับหลีติง เจ้าตำหนักนั้นสถานะสูงส่งอย่างหาใดเทียบได้ ลูกศิษย์ของตำหนักไท่หวงก็ยากนักที่จะได้พบหน้าเจ้าตำหนักสักครั้งหนึ่ง จูนจิ่วก็แค่คนที่มาจากข้างนอก เพิ่งมาได้ไม่กี่วันก็ได้พบกับท่านปู่หลีแล้ว พวกเขารู้จักกันได้อย่างไร
หลีติงขมวดคิ้วมองจูนจิ่ว พูดว่า “เพื่อนตัวน้อย เรื่องที่เจ้าจะช่วยข้าไขกล่องปริศนานั้นเจ้าได้ตอบตกลงไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำไมจึงได้เอามาเป็นข้อแลกเปลี่ยนในตอนนี้ได้เล่า”
“ข้าตอบตกลงแล้วหรือ ”จูนจิ่วยิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าตำหนักหลีช่วยข้าให้ได้เข้าร่วมการแข่งขันสัตว์ทิพย์ ข้าจะช่วยท่านไขกล่องปริศนา ถ้าไม่ได้ กล่องปริศนาก็คืนท่าน ท่านสามารถไปเปิดโปงข้ากับตู๋กูชิงได้เลย ”
“ฮ่าๆๆ”หลีติงหัวเราะ
เขาหมุนตัวก้าวเท้าออกไป น้ำเสียงที่มั่นคงส่งเสียงมา “ที่นี่ไม่เหมาะในการพูดคุย ตามข้ามาเถอะ”
จูนจิ่วก้าวตามไป ลี่หยุนซูตามติดหลังนางไป เขย่งปลายเท้าขึ้นแนบหน้าไปที่หูของจูนจิ่วถามว่า “จูนจิ่ว เจ้ารู้จักกับท่านปู่หลีได้อย่างไร”
จูนจิ่วไม่ชอบให้คนอื่นใกล้ชิดนาง เบี่ยงตัวเบาๆดึงระยะให้ออกห่าง นางเงยหน้าขึ้นมองดวงตาของลี่หยุนซู ขณะที่ดวงตาสบกัน ลี่หยุนซูราวกับถูกไฟฟ้าดูดครู่หนึ่งก่อนจะหดกลับไป ใบหน้าแดงก่ำจ้องมองนาง แม้ว่าจูนจิ่วจะแปลงโฉมได้ค่อนข้างธรรมดามาก แต่ดวงตาคู่นั้นช่างงดงามจริงๆ นางชอบมาก
ตอนนี้เปลี่ยนเป็นจูนจิ่วที่รู้สึกฉงน ทำไมต้องหน้าแดงอีกแล้ว
เก็บสายตากลับไป ทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง “อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง”
มีหลีติงคอยนำทาง จูนจิ่วเพิ่งจะรู้ว่าหลังห้องหนังสือมีระเบียงทางเดินโดยรอบเส้นหนึ่งซ่อนเอาไว้ ระเบียงนั้นตรงทะลุไปถึงลานบ้านเล็กๆแห่งนี้ ทางที่เดินนั้นเงียบสงัดไร้ผู้คน ที่หน้าประตูลานบ้านเล็ก ยังมีคงระเบียงทางเดินทอดยางออกไปยังทิศทางอื่นๆ
“เข้ามานั่งก่อน。”หลีติงเงยหน้าขึ้นมองจูนจิ่วแวบหนึ่ง
เข้าไปนั่งลงในห้อง หลีติงเอ่ยขึ้นว่า “จูนจิ่วถูกต้องหรือไม่ ข้าสามารถช่วยเจ้าให้เข้าร่วมการแข่งขันสัตว์ทิพย์ได้ แต่เจ้าต้องกลายเป็นลูกศิษย์ของตำหนักไท่หวงก่อนจึงจะได้ ”
“ได้ ”จูนจิ่วตอบรับอย่างเด็ดขาดไม่ลังเล
หลีติงไม่ได้พูดอะไร แต่แววตากลับเคร่งขรึมลง มือหนึ่งลูบที่หนวดและจ้องมองจูนจิ่ว มองอยู่ชั่วครู่ ลี่หยุนซูทนไม่ไหวจนร้องเรียกขึ้นด้วยเสียงเบาๆว่า “ท่านปู่หลี”
หลีติงมองลี่หยุนซูแวบหนึ่ง “นังหนูหยุนซู เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน ”
ลี่หยุนซูมองไปทางจูนจิ่วด้วยจิตใต้สำนึก เห็นจูนจิ่วพยักหน้าให้เบาๆ นางก็ลุกขึ้นเดินออกไป มองการสื่อสารเช่นนี้ หลีติงเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
ลี่หยุนซูฟังคำสั่งของจูนจิ่วขนาดนี้เชียว คิดไม่ถึงเลยจริงๆ
รอให้ในห้องเหลือแค่เขากับจูนจิ่ว หลีติงลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องเอาป้ายคำสั่งออกมาหนึ่งแผ่น
เขาวางป้ายคำสั่งไว้ตรงหน้าจูนจิ่ว พูดว่า “ถือป้ายคำสั่งนี้เอาไว้ เจ้าก็คือลูกศิษย์โดยตรงของข้า แต่ก็แค่ลูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีสิทธิพิเศษอะไร ”
“ขอบคุณมาก ข้าจะทำการศึกษาอย่างดี เพื่อไขกล่องปริศนา”จูนจิ่วกล่าวขอบคุณ ลุกขึ้นหยิบป้ายคำสั่งกำลังจะจากไป กลับถูกหลีติงเรียกเอาไว้
“จูนจิ่วเจ้าจะเข้าร่วมการแข่งขันสัตว์ทิพย์ นั่นเป็นทางเลือกที่มีโอกาสรอดตายน้อยมาก เจ้าต้องคิดให้ดีๆ”
แววตาสั่นไหวเล็กน้อย จูนจิ่วหมุนตัวหันกลับมามองหลีติง
คำพูดของหลีติงทำให้จูนจิ่วรู้สึกประหลาดใจ น้ำเสียงของเขานั้นดูห่วงใยนางอย่างจริงใจ เป็นการเตือนนาง แต่ทำไมหลีติงต้องเป็นห่วงนางด้วย พวกเขาก็แค่เกี่ยวข้องกันในเรื่องที่แลกเปลี่ยนเท่านั้น หรือว่านางจะละเลยอะไรไปหรือ
ไม่มีคำตอบ จูนจิ่วเดินตรงออกไป
หลังร่างนาง หลีติงก็ส่งเสียงมาอีกประโยคหนึ่ง “ถ้าหากเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย ข้าจะมอบของขวัญให้เจ้าอีกชิ้นหนึ่ง”
จูนจิ่วไม่ได้ตอบกลับ และไม่ได้หันกลับไปมอง พอคนในสายตาหายลับไปแล้ว หลีติงก็พูดกับตนเองว่า “ถึงว่าสิทำไมจึงรู้สึกมีวาสนาต่อกัน นางคือจูนจิ่ว เป็นลูกสาวของพวกเขา แต่นางมาเพื่อจะเดินตามเส้นทางเดิมของพ่อนางหรือ ”
ขณะที่พูด สีหน้าของหลีติงก็เปลี่ยนเป็นโศกเศร้าจนใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน อารมณ์ทั้งปวงสุดท้ายก็สลายกลายเป็นเสียงถอนหายใจหนึ่งเฮือก