บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่137โดนหลอกเข้าแล้ว
บทที่137โดนหลอกเข้าแล้ว“เสี่ยวจิ่วอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว” เมื่อได้ยินโม่อู่เยว่พูดดังนั้น เฟิ่งเซียวจึงรีบหันไปทางต้นเสียงทันที จ้องเขม่งโม่อู่เยว่ไปชั่วขณะเฟิ่งเซียวพูด “ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่”“ในเมื่อเสี่ยวจิ่วเออร์อยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องอยู่ที่นี่สิ”“นี่มันไม่ยุติธรมม เสี่ยวจิ่วไม่ให้ตามนางมา แต่กลับให้เจ้ามาด้วย เสี่ยวลำเอียงเกินไปแล้ว ข้าคือเสด็จปุ่ของนางนะ”เฟิ่งเซียวระบายออกมาด้วยความโมโห ทั้งยังหวงจูนจิ่วจนขีดสุดโม่อู่เยว่พอได้ยินดังนั้นก็ดีใจ พรางยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ “เพราะข้าคืออาจารย์ของจูนจิ่วยังไงล่ะ”เหลิ่งยวนรีบสวน “แต่กลับเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์จอมปลอมเนี้ยนะ”“อาจารย์จะเทียบกับผู้เป็นปู่ได้อย่างไร เพราะข้าใจดีหรอก จึงไม่เอาความเรื่องนี้กับเจ้า เสี่ยวจิ่วปะนี่อยู่ที่ใดก็ไม่รู้ หากไม่รีบนำตัวนางมา เกิดที่วุ่นวายขึ้นกว่านี้ จะเป็นอันตรายต่อนางได้” เฟิ่งเซียวคอตกตาละห้อยในเวลานี้ทุกคนต่างมุ่งมั่นตามหาสมบัติ หากไม่เจอแล้ว คงหนีไม่พ้นต้องมีการฆ่าฟันเกิดขึ้นเป็นแน่เขาเข้าจิตใจคนดี หากถูกความละโมบครอบงาม ทั้งถูกสมบัติ เย้ายวนด้วยแล้วละก็ มันก็ง่ายต่อการทำให้ใจคนบิดเบี้ยวไป ต่างฝ่ายต่างคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนเอาสมบัติ ไป ถึงเวลานั้น ที่นี่ก็คงไม่ต่างอะไรกับสนามรบเฟิ่งเซียวคิดหากเสี่ยวจิ่วอยู่ท่ามกลางที่นี่จะอันตรายมากแค่ไหนกันเฟิ่งเซียวจึงหันไปพูดกับโม่อู่เยว่ “หลังจากที่เสี่ยวออกไปแล้ว เหอจงก็ได้ทำร้ายคนแก่อย่างโล่ชิวเห้อได้ๆ ข้าเห็นเขาไม่สู้ดีนัก ทั้งเหอจงยังเกลียดเสี่ยวจิ่ว หากช้าเพียงวันเดียว คงเสร็จเจ้าเหอจงสัตว์ร้ายนั้นไปแล้ว”“เสี่ยวจิ่วเออร์ไปแล้วตอนนี้ การฝึกที่หนักหน่วงของนางก็คงล้มเหลวไปแล้ว”เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งเซียวจึงคิดอยู่ในใจ ตกลงว่าชีวิตสำคัญกว่า หรือประสบการณ์ที่มากนั้นสำคัญกว่ากันจากนั้นก็ครุ่นคิดอีก หากปล่อยให้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้งหมดของเสี่ยวจิ่วล้มเหลว แล้วกลับไป เสี่ยวจิ่วต้องขายหน้าแน่ ๆ เขาคงไม่เห็นด้วย ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปสักพัก เฟิ่งเซียวคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงพูด “ถ้าเป็นเช่นนี้เราจะต้องหานางให้เจอ มีข้าค่อยปกป้องนาง ข้าถึงจะวางใจ”แต่โม่อู่เยว่กลับไม่ตอบอะไรเหลิ่งยวนรู้ได้ทันทีต่อท่าทีของนายตนที่ไม่นยอมตอบเฟิ่งเซียว คงไม่พอใจที่เฟิ่งเซียวขวางหูขวางตาอยู่ที่นี่ แน่ละ เพราะนายของเขาจะเกี๊ยวแม่นางจูนจิ่ว แต่กลับต้องมาเห็นชายชราผู้นี้เพ่นพ่านไปมาขว้างลูกหูลูกตาอยู่ข้างกายในตอนนั้นเหลิ่งยวน จึงคิดอะไรดี ๆ ออก จึงพูดว่า “ไท่ซ่างฮ้องจริงๆ แล้วท่านกลับไปพักผ่อนให้สบายใจเถอะ แล้วจัดการเรื่องของเหอจงให้เสร็จ หรือไม่ก็รอจจกว่าแม่นางจูนจิ่วกลับมาแล้วค่อยสะสาง”“ทำอย่างนี้ไม่ได้ ข้าอาจจะทำให้เหอจงบาดเจ็บสาหัสได้ แต่กลับฆ่าไม่ได้ มิเช่นนั้นคงได้ทำสงครามกับแคว้นเทียนโจ้งกับสำนักเทียนโจ้งเป็นแน่”แม้ว่าสำนักเทียนโจ้งจักตั้งขึ้นในแคว้นเทียนโจ้ง แต่ก็ร่วมมือกับอีกเก้าสำนัก ทั้งยังอยู่ภายใต้ของอู่จง หากเรื่องถึงอู่จง คงวุ่นวายน่าดูเฟิ่งเซียวสะบัดหัวไปมา วิธีนี้ใช้ไม่ได้เหลิ่งยวนพูดขึ้นอีก “ถ้าเป็นเช่นนี้ ท่าก็แค่ทำร้ายให้เหอจงเจ็บเจียนตาย จะได้ไม่คิดวางแผนชั่วอะไรอีก แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง”เฟิ่งเซียวเมื่อได้ยินดังนั้น จึงครุ่นคิดสักพัก วิธีนี้ของเหลิ่งยวนนับว่าใช้ได้เขาขอเพียงแค่คว่ำเหอจงได้ เพื่อจะได้ไม่กลับมาทำร้ายโล่ชิวเห้อได้อีก จากนั้นรอคนเสี่ยวจิ่วกลับมาแล้วค่อยถอนพิษให้โล่ชิวเห้อ ถึงตอนนั้นค่อยให้โล่ชิวเห้อกำจัดหนอนบ่อนไส้ในสำนักด้วยตัวเองเมื่อเฟิ่งเซียวยังคงใช้ความคิดอยู่ เหลิ่งหยวนจึงโยกปากไปมา พร้อมพูดชักชวนต่อ “ตอนนี้นั้นแม่นางจูนจิ่วเอาแต่ฝึกฝนจนไม่สนใจผู้ใด และไม่อยากให้ใครรบกวนนาง ไท่ซ่างฮ้องท่าดู นายของข้าก็ยืนอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปรบกวนแม่นางจูนจิวเลย”“เขาอยู่ที่นี่” เฟิ่งเซียวจ้อวหน้าโม่อู่เยว่เหลิ่งยวนยิ้มพรางพูดต่อ “ดังนั้น ไท่ซ่างฮ้องอย่าไปรบกวนม่นางจูนจิ่วเลย นายของข้าก็อยู่ที่นี่ เรื่องความปลอดภัยของนาง ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ท่านควรกลับไปก่อน ไปสะสางเรื่องวุ่นวายในสำนักเถอะ”“เจ้าพูดมีเหตุผล” เฟิ่งเซียวพยักหน้าเนื่องจากเฟิ่งเซียวรีบเร่งมุ่งมา ทั้งยังถูกเหลิ่งยวนหลอกล่อให้กลับไป อีก ในตลอดการเดินทางกลับ เฟิ่งรู้ว่าเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าคืออะไร หลังจากผ่านได้นานพอสมควร เฟิ่งเซียวจึงพึ่งคิดได้ เขาถูกหลอกเข้าแล้วหลังจากจัดการกับเฟิ่งเซียวเรียบร้อย เหลิ่งยวนจึงแอบมองไปทางโม่อู่เยว่ โม่อู่เยว่แม้แต่หัวก็ไม่หันกลับมาพรางพูดออกมาอย่างเย็นชา “จัดการได้ไม่เลว แต่กลับไม่นึกถึงผลที่จะตามมา เจ้าก็ยังต้องรับโทษอย่างเดิม”“ขอรับ”เหลิ่งยวนเจ็บปวดหัวใจเขาลืมไป ว่านายของเขาไม่เคยยกย่องคุณงามความดีของเขาด้วยวิธีพูดแบบนี้ คิดว่าเมื่อได้เจอจูนจิ่วแล้วเขาอาจจะอ่อนโยนลง แต่กลับไม่เลย ผลสุดท้ายก็ยังเป็นคนไร้อารณ์ละโหดเหี้ยวอยู่ดีเหลิ่งยวนได้แต่เก็บงำหัวใจที่เจ็บปวดเอาไว้ พรางพูด “ไม่หาจูนจิ่วหรือ”“ไม่หาชั่วคราว”ในสายตาของโม่อู่เยว่ ได้มองทะลุข้ามน้ำข้ามเขาไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดหลบพ้นไปจากสายตาของเขา เขาเห็นพวกหยูนเฉียวทั้งสาม กำลังฟื้นขึ้นจากสมาธิ ในตอนนี้ก็เหลือเพียงจูนจิ่วเท่านั้นที่พึ่งดื่มน้ำหยกทิพย์ลงไปหลังจากดื่มน้ำหยกทิพย์ไปแล้ว ใครก็ไม่กล้ารบกวนนางด้วยเหตุนี้ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ พวกหยูนเฉียวทั้งสามคนรู้สึกได้ถึงความเงียบที่อยู่เบื่องหลังของพวกเขา เมื่อพวกเข้าไปใกล้จูนจิ่วกลับรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา หากถอยห่างออกมาก็กลับมาเป็นปกติในเวลานั้น ทั้งสามหันหน้าเข้าด้วยกัน จูนเสี่ยวเหล่ยพุด “นี่ใช่ผลที่เกิดจากการฝึกน้ำหยกทิพย์หรือ”“คงไม่ใช่ เพราะตอนที่ข้าฝึกอยู่ก็ไม่ได้รู้สึกหนาวอันใด” กู่ซงแย้งขึ้นหยูนเฉียวไม่ได้พูดอะไร เพียงขมวดคิ้วและมองไปยังทางที่จูนจิ่วอยู่ ในตอนนี้จูนจิ่วมีสีหน้าที่สง่างามและสงบนิ่ง หลังมองดูสักพัห ก็คลายคิ้วลง พรางพูด “แม่นางจูนนั้นเก่งกาจ นางคงไม่เป็นอะไร พวกเราควรออกไปเฝ้ายามอยู่หน้าถ้ำ ขื่นอยู่ตรงนี้จะเป็นการรบกวนแม่นางเสียเปล่า”“ดี พวกเราออกไปกันเถอะ”“ไป”ทั้งสามคนได้เดินออกไปพรางในถ้าก็เงียบลงภายในถ้ำเหลือเพียงจูนจิ่วที่นั่งหลับตาทำสามธิ แล้วเจ้าแมวตัวหนึ่งที่กลิ่งนอนไปมาอยู่ใต้ชายกระโปรงของจูนจิ่ว ทำให้เหมือนดั่งภาพวาด ที่งามยิ่งนักหยกทิพย์ได้ผ่านกระบวนการจนกลายเป็นของล้ำค่าจากธรรมชาติ หนึ่งในการผันเปลี่ยนจนกลายเป็น หยกทิพย์หยกทิพย์นั้นมีพลังที่ทั้งแข็งแกร่งและบริสุทธ์ หลังจากดูดซับพลัง พลังบริสุทธิ์ได้ไหลออกมาจากลำคอเข้าสู่ทุกทุกอณูของร่างกายแล้วไหลผ่านหลอดเลือดโดยม่มีสิ่งใดเจือปนอยู่ ภายในร่างกายของจูนจิ่ว ก็มีแสงสว่างเล็กๆวนเวียนข้างใน ทุกที่ที่มันหลั่งไหลเข้าทำให้รู้สึกเหมือนส่วนนั้นได้รับการเปลี่ยนใหม่จูนจิ่วนั้นเคยได้รับการชำระล้างจิตใจมาก่อนแล้ว ดังนั้นเนื้อแท้ทำให้ตัวของนางจึงเหนือกว่าคนอื่น ยิ่งในเวลานี้เมื่อดื่มน้ำหยกทิพย์ผ่านการฝึกฝน กระดูกทั่วทั้งร่างกายพรางก็เกิดแสงสีมรกตอ่อนๆ ขยับปลายนิ้วเพียงนิดเดียว ก็ทำให้รับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลพลังจิตชีพจรของนางก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ ราวกับคอขวดที่ถูกปิดไว้จนแน่น ค่อยค่อยเริ่มคลายออก ทำให้นางก้าวไปถึงระดับสามอย่างง่ายดาย ทำให้พลังจิตในใต้หล้าต่างก็มาร่วมกันอยู่ที่นี้ จากเหตุการณ์นี้ ทำให้คนที่อยู่ในระแวกนั้น พรางก็พุ่งมาทางนางอย่างเงียบเสี่ยวอู่ตื่นแล้วพรางก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ และนอนกลิ่งไปมาอยู่บนชายกระโปงของจูนจิ่ว เมื่อมันเห็นว่าจูนจิ่วกำลังนั่งสมาธิ ไม่สามาร๔มาลูปท้องกลมๆของมันได้ ก็ได้ชโงกหัวขึ้นมา พรางกระดิกหูไปมา เหมือนเสี่ยวอู่นั้นคว้าบางอย่างที่เคลื่อนไหวไปมาได้ด้วยพลังที่ถูกถ่ายทอดมาจากนกฟินิกส์แดง ทั้งยังได้ดื่มน้ำหยกทิพย์ ทำให้พลังจิตของเสี่ยวอู่เองก็ก้าวกระโดขึ้น ดั่งที่มันได้ได้เสียงเคลื่อนไหวมาจากที่ไกลหลายพันลี้มีคนมา เสี่ยวอู่ลูปเล็บคมกริบของมันไปมา พรางตาก็มองไปยังปาก