บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่222 เปล่งประกายให้สายตาห่วยๆเหล่านั้นบอดไปเลย
- Home
- บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
- บทที่222 เปล่งประกายให้สายตาห่วยๆเหล่านั้นบอดไปเลย
บทที่222 เปล่งประกายให้สายตาห่วยๆเหล่านั้นบอดไปเลย
เหอซ่านมองกิริยาเหมือนได้รับบาดเจ็บของชิงหยู่แวบหนึ่ง เขาเอ่ยปากห้ามเหล่าผู้อาวุโส “ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องออกไป”
“ท่านเหอท่านหมายความว่าไง หรือว่าท่านจะให้เรามองจูนจิ่วได้รับบาดเจ็บ นางเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ หากได้รับบาดเจ็บนางจะเจ็บปวดแค่ไหนกัน”ผู้อาวุโสหญิงเพียงคนเดียว โจวเตี๋ยจ้องและกล่าวกับเหอซ่าน
เหอซ่านหน้าเปลี่ยนสี เย็นชาไร้ความรู้สึก เขากล่าว “เมื่อนางเข้าสู่สำนักเที่ยนอู่จงแล้ว ก็ต้องทำปฏิบัติตามกฎของสำนักเทียนอู่จงอย่างเท่าเทียม ”
เมื่อวานเจ้าสำนักได้เอ่ยเตือนเรื่องอันตรายของน้ำตกหินแล้ว หากนางยังอยากลองดี เช่นนั้นก็ปล่อยนาง ให้นางรับผิดชอบผลที่จะเกิดขึ้นเอง”
“แต่ว่า”เหล่าผู้อาวุโสต่างมองหน้ากัน ไม่สามารถตอบโต้ได้ เพราะที่เหอซ่านพูดก็ไม่ผิด
ชิงหยู่กล่าวอย่างช้าๆ “ในเมื่อพวกท่านอยากจะหยุดยั้งตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว จูนจิ่วนางไปแล้ว”
“ว่าไงนะ”
เหล่าผู้อาวุโสต่างตกใจเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นเพียงจูนจิ่วกำลังถอดรองเท้าถุงเท้า สองเท้ายืนอยู่ยบนเสาหิน น้ำจากน้ำตกไหลลงมาจากบนฟ้า เพียงพริบตาก็ชะล้างจูนจิ่วจนกลายเป็นไก่แช่น้ำ ครั้งนี้ นางยืนนิ่งๆอยู่บนเสาหินเสาแรก หนึ่งวิ สองวิ สิบวิผ่านไป จูนจิ่วยังคงยืนหยัดไม่เคลื่อนไหว
เสี่ยวอู่นั่งอยู่ข้างสระน้ำมองจูนจิ่ว เขายืดอกเชิดคอรู้สึกภูมิอกภูมิใจมาก ตาแมวคู่นั้นมองกวาดไปในทิศที่ผู้คนเหล่านั้นแอบซุ่มอยู่ เสี่ยวอู่พูดเสียงเหมียวเหมียวว่า “เหมียว ก็บอกแล้วว่าเจ้านายร้ายกาจที่สุด น้ำตกหินทำอะไรเจ้านายไม่ได้หรอก”
“ศิษย์น้องประสบความสำเร็จแล้วจริงๆ”ชิงหยู่พึมพำประหลาดใจ
ครั้งที่หนึ่งจูนจิ่วถูกน้ำไหลพัดลงมา ครั้งที่สองนางยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม ไม่ขยับเขยื้อน ภายนอกดูแล้วเหมือนไม่ยากอะไร มีเพียงคนในสำนักเทียนอู่จงที่ฝึกวิชาฝึกร่างกายเหล่านั้นที่รู้ดีอยู่แก่ใจ ความก้าวหน้านี้มันผิดปกติขนาดไหน ไม่เห็นหรือว่าลูกศิษย์ที่ยืนอยู่ข้างน้ำตกหินต่างก็ตกใจยืนอึ้งไปตามๆกัน
พวกเขาเบิกตากว้าง มองไปยังจูนจิ่วอย่างอึ้งๆ คนหนึ่งพูดว่า “นั่นคืออาจารย์อา”
“อืมอืม อาจารย์อาไม่ผิดแน่ อาจารย์อาเพิ่งเข้าสำนักเทียนอู่จงวันที่สามกระมัง แต่มาท้าทายน้ำตกหินซะแล้ว หรือนี่จะเป็นความมหัศจรรย์ของระดับเจ็ดสีม่วง เช่นนี่ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว ”
สำนักเทียนอู่จงไม่เหมือนสำนักอื่น พวกเขาอาศัยการฝึกร่างกายแบ่งภายในภายนอกสำนัก วิชาฝึกร่างกายชั้นที่หนึ่ง ล้วนเป็นนอกสำนัก สามารถถึงชั้นที่สองจะได้เลื่อนเป็นลูกศิษย์ในสำนัก จากนั้นก็แบ่งกันไปเข้าสู่การฝึกฝนกับเหล่าอาวุโสแต่ละคน เช่นนี้ พวกเขาที่สามารถมาถึงน้ำตกหินล้วนฝึกฝนอยู่ที่สำนักเทียนอู่จงมาไม่น้อยกว่าสามปี วางรากฐานที่มั่นคงแล้ว
แต่สำหรับจูนจิ่ว เพิ่งเข้าสู่เทียนอู่จงสามวัน ก็มาท้าทายน้ำตกหิน อีกทั้งยังทำจนสำเร็จได้แล้ว เหล่าลูกศิษย์นับในใจเงียบๆ นี่ก็เป็นเวลาหนึ่งก้านธูปแล้วกระมัง อาจารย์อายืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน มั่นคงมาก
มีลูกศิษย์เอ่ยขึ้นเบาๆว่า “เมื่อวานข้าก็อยู่ที่นี่ เมื่อวานอาจารย์อาเพิ่งยืนขึ้นไปก็ถูกซัดลงมาแล้ว วันนี้กลับมั่นคงมาก ระดับความก้าวหน้าของอาจารย์อาก็รวดเร็วจนผิดปกติจริงๆ”
หรือไม่ใช่ เหล่าลูกศิษย์รู้สึกหัวใจตัวเองแตกสลายราวกับเศษแก้วไปกองอยู่กับพื้น คนกับคนไม่สามารถเทียบกันได้จริงๆ
ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป จูนจิ่วจึงก้าวเท้าที่มั่นคงเดินออกมาจากน้ำตกหิน เพียงยืนอยู่รอบนอกสุดของน้ำตกหิน ตอนที่จูนจิ่วเดินออกมาสีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ริมฝีปากเริ่มเขียวคล้ำดูอ่อนกำลัง โคจรพลังทิพย์ทำให้เสื้อผ้าแห้ง จูนจิ่วเงยหน้าขึ้นสายตาเย็นชา
“เหมียว”เสี่ยวอู่รีบกระโดดไปอยู่ข้างตัวจูนจิ่ว เงยหน้าขึ้นมองจูนจิ่วอย่างเป็นห่วง
“ศิษย์น้อง”ชิงหยู่ก้าวเท้าก้าวใหญ่ๆเดินเข้ามา เหล่าผู้อาวุโสข้างหลังเขากลัวเสียหน้าไม่กล้าออกมา มิเช่นนั้นจะถูกตราหน้าว่าเป็นนักถ้ำมอง อีกหน่อยจะสร้างความสง่าผ่าเผยได้อย่างไร
ชิงหยู่ยืนอยู่ตรงหน้าจูนจิ่ว มองนางอย่างห่วงใยมากมาย “ศิษย์น้องเจ้าเป็นอะไรหรือไม่ มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า รีบบอกศิษย์พี่มา”
“ยังดี แค่รู้สึกไร้เรี่ยวแรง ข้าช้าๆหน่อยก็คงดีขึ้น”จูนจิ่วยกมือขึ้นอย่างยากลำบากเทเอายาเม็ดหนึ่งกินเข้าไป สีหน้าเพิ่งจะเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง นางยืนหยัดอยู่ใต้น้ำตกหินเป็นเวลาสองก้านธูป เกินกว่าที่ตนเองคาดหมายเอาไว้ และก็ไม่คิดว่าสุดท้ายตัวเองจะไร้เรี่ยวแรง
ก็เหมือนนางใช้พลังจิตติดต่อกัน เรี่ยวแรงของร่างกายถูกใช้จนหมด ยกมือก้าวขาก็เปลี่ยนเป็นแสนยากลำบาก แต่จูนจิ่วก็รู้สึกถึงความก้าวหน้าในเวลาเดียวกัน น้ำตกหินฝึกร่างกายนั้นแข็งแกร่งจริงๆ เห็นผลเร็ว
จูนจิ่วค่อยๆฟื้นคืนกำลังกลับมา นางเงยหน้าขึ้นมองชิงหยู่ “ข้าวางแผนว่าหลังจากนี้จะมาฝึกฝนที่น้ำตกหิน”
“อะไรนะ”ชิงหยู่อึ้งไป กล่าวว่า “ศิษย์น้องเจ้าบ้าไปแล้วหรือ หรือเสพติดความรุนแรงเข้าแล้ว”
จูนจิ่วเหลือบมองเขา“น้ำตกหินมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนวิชาฝึกร่างกายชั้นที่สอง ทำไมข้าจะไม่มาเล่า”
ชิงหยู่เหมือนมีอะไรติดคอ เขารีบขอร้องจูนจิ่วทันที อย่างน้อยก็พักผ่อนก่อนค่อยมา เช่นสามวันห้าวันมาหนึ่งครั้งก็ยังดี สำนักเทียนอู่จงมีทิวทัศน์มากมาย จูนจิ่วยังไม่เคยไปเดินเที่ยวเลย มุ่งมั่นขยันฝึกฝนปานนี้ เหนื่อยมากนะ
แต่จูนจิ่วกลับมองเขาเพียงแวบเดียว พูดเบาๆ“ข้าชอบฝึกฝน การฝึกฝนทำให้ข้ามีความสุข”
พูดจบ ไม่ให้โอกาสชิงหยู่ได้ขอร้องนางอีก จูนจิ่วกวักมือ พาเสี่ยวอู่หันหลังเดินจากน้ำตกหิน ชิงหยู่ยืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่เป็นนาน ก็ยกริมฝีปากหัวเราะอย่างไม่สำรวม เขาเอ่ยเสียงต่ำ“ศิษย์น้องช่างมุ่งมั่นจริงๆ เมื่อเทียบกันแล้ว ข้าที่เป็นศิษย์พี่ก็ช่างเกียจคร้านเกินไปแล้ว”
“เมื่อเจ้าสำนักรู้ตัวว่าตัวเองเกียจคร้าน เช่นนั้นก็กลับไปสะสางกิจการภายในสำนักซะดีๆ ท่านเหอ ผู้อาวุโสเฉียน พวกเราเอากิจการภายในสำนักของสามปีนี้ไปมอบให้กับเจ้าสำนักกันเถอะ ”โจวเตี๋ยเดินออกมาจากที่ซ่อน ยกมือกอดอก ยิ้มเผยฟันขาวให้กับชิงหยู่
ชิงหยู่ตัวแข็ง อึกอักพูดไม่ออก “ไม่นะ”
“ผู้อาวุโสโจวพูดถูกต้อง ยังมีการแข่งขันทั้งห้าสำนักในอีกครึ่งปีหลัง เจ้าสำนักได้รับสิทธิ์ในการจัดการแข่งขันทั้งห้าสำนัก เช่นนั้นก็ควรเตรียมความพร้อมให้ดี ” ผู้อาวุโสเฉียน พูด
และแล้ว วันเวลาที่แสนว่างสบายของชิงหยู่ก็ถึงจุดสิ้นสุด สังเกตได้จาก นอกจากเขาจะใช้เวลาว่างในการพักผ่อนไปหาจูนจิ่วแล้ว เวลาอื่นๆต่างถูกเหล่าผู้อาวุโสกำกับดูแลในการจัดการกิจการภายในสำนัก ยังมีการวางแผนการแข่งขันทั้งห้าสำนัก แล้วก็ผ่านไปอีกวัน ชิงหยู่มองจูนจิ่วตาปริบๆ
ทำเป็นหูหนวกตาบอดไม่รับรู้ความหมายแอบแฝงของชิงหยู่ จูนจิ่วยิ้มอย่างมาดร้าย “ศิษย์พี่ท่านก็ยอมรับซะเถอะ ท่านเป็นเจ้าสำนัก นี่ล้วนเป็นงานที่ท่านควรต้องรับผิดชอบ ข้าช่วยท่านไม่ได้ และก็คงไม่ช่วยท่านพูดกับเหล่าผู้อาวุโสด้วย ท่านจงทำหน้าที่ให้ดี”
“ศิษย์น้องเจ้าช่างไร้น้ำใจเสียจริง”ชิงหยู่สีหน้าขัดข้องใจ
จูนจิ่ว “ข้ายุ่งอยู่กับการฝึกฝน แต่ข้ารู้สึกว่าการฝึกฝนวิชาฝึกร่างกายชั้นที่สองเรียนรู้ได้พอสมควรแล้ว สามารถเริ่มท้าทายแกนกลางของน้ำตกหินได้แล้ว หากสำเร็จละก็ วิชาฝึกร่างกายชั้นที่สามต้องหาท่านใช่หรือไม่ ”
ชิงหยู่ “พอสมควรแล้ว เจ้าเพิ่งไปน้ำตกหินเพียงไม่กี่วันเองนะ”
“ถือว่านานแล้ว วันนี้ไปก็เป็นวันที่แปดแล้ว”
“……”ชิงหยู่ตัวสั่นกุมหัวใจ ปากที่มีรอยยิ้มอบอุ่นเอาแต่ใจแขวนอยู่เสมอ กลับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขมขื่นระคนอิจฉาเศร้าใจ
เขามีพรสวรรค์ระดับห้าสีคราม ก่อนที่จูนจิ่วจะปรากฏตัวหาผู้ใดเทียบเขามิได้ เขาใช้เวลาหนึ่งปี จึงจะสามารถพิชิตน้ำตกหินทั้งในและนอกได้ จูนจิ่วนี่แค่เพียงไม่กี่วัน แปดวัน ก็จะท้าทายชั้นในสุดของน้ำตกหิน เพราะชิงหยู่นั้นเชื่อในจูนจิ่ว รู้ว่านางไม่ใช่คนคุยโตโอ้อวด แต่มีความมั่นใจแล้วจึงลงมือทำ ช่างเจ็บปวดใจเหลือเกิน
ชิงหยู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ศิษย์น้อง การแข่งขันคงต้องพึงเจ้าแล้ว เปล่งประกายให้ตาเหล่านั้นบอดไปเลย”