บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่228 กับจูนจิ่วข้ายากจะควบคุมตัวเองได้
บทที่228 กับจูนจิ่วข้ายากจะควบคุมตัวเองได้
เหลิ่งยวนเพิ่งจะสำลักเสียงดังฟู่ แววตาดุร้ายของโม่อู๋เยว่ก็หันมามอง เหลิ่งยวนรีบหุบปากก้มหน้า สายตาแหลมคมทิ่มอยู่บนร่าง แรงกดดันมหาศาลมีไม่น้อยกว่าความรู้สึกทรมาน เหลิ่งยวนนิ่งคิดสักพักและเอ่ยเสียงสั่นว่า “เจ้านาย ใช้เกี่ยวข้องกับโซ่ผูกมังกรหรือไม่”
“โซ่ผูกมังกร ”โม่อู๋เยว่พึมพำ ดวงตาสีทองประกายแววกระหายเลือดอย่างดุดัน
เหลิ่งยวนพยักหน้าติดๆกัน กล่าวต่อว่า “สัญชาตญาณมังกรไม่น่าจะกระทบต่อเจ้านาย มีเพียงสาเหตุจากโซ่ผูกมังกรเท่านั้น จึงทำให้เจ้านายท่านยากที่จะควบคุมตนเองได้”
โม่อู๋เยว่ไม่ใช่ชาวมังกรธรรมดา เขามีสถานะสูงส่งหาใดเปรียบได้ พูดได้ว่าอาศัยสายเลือดเท่านั้น บนโลกนี้ก็ไม่มีใครสามารถเคียงไหล่ได้ สัญชาตญาณมังกรกระหายเลือด โม่อู๋เยว่ได้พบกับจูนจิ่วเดิมเขาก็อยากจะกลืนกินนาง แต่เพราะมีโซ่ผูกมังกรอยู่กับตัว ทั้งยังกดทับพลังที่แท้จริง และความตั้งใจของเขาเอาไว้
โม่อู๋เยว่เข้าใจความหมายของเหลิ่งยวน สายตาเขาแฝงแววอันตรายอยู่ลึกๆ โซ่ผูกมังกรสำหรับเขามันไม่ได้เป็นภัยอะไร อันตรายก็จริง เขาค้นพบว่าแท้ที่จริงแล้วคือความรู้สึกที่ตนมีต่อจูนจิ่วนั้นยากจะควบคุมได้
เขาไม่สนใจว่าความหมายในคำพูดเหลิ่งยวนที่ว่า “กิน”นั้นหมายถึงอะไร จูนจิ่วตอนนี้ก็ไม่สามารถทนรับได้
เขาเพิ่งจะกัดวิญญาณของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไปหนึ่งคำ แต่ยังดีที่ทำเพียงแค่กัดไปหนึ่งครั้งแต่ยังไม่ได้กลืน ฉะนั้นจึงไม่ได้ก่อให้เกิดบาดแผล แต่โม่อู๋เยว่ก็ไม่แน่ใจว่าครั้งต่อไปที่ใจหวั่นไหวยากจะควบคุม จะยังกระทำการหุนหันพลันแล่นเช่นนี้อีกหรือไม่
วิญญาณสำคัญขนาดไหน หากกลืนเข้าไปหนึ่งคำจริงละก็ โม่อู๋เยว่คิดถึงภาพนั้น ดวงตาสีทองพลันหม่นหมองลง อุณหภูมิลดลงกะทันหัน ลดต่ำลงจนเหลิ่งยวนหมอบลงไปกับพื้น เกือบครึ่งของร่างกายฝังอยู่ในหิมะ ไม่กล้าจะหายใจแรง เหลิ่งยวนพยายามลดความรู้สึกในการมีตัวตนของตัวเองลง
เวลาทุกวินาทีช่างเดินไปอย่างเชื่องช้า หนักอึ้งจนทำให้เหลิ่งยวนแทบหายใจไม่ออกแล้ว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ความกดดันสลายไป เหลิ่งยวนรีบหายใจเข้าเฮือกใหญ่
โม่อู๋เยว่เปิดปากเอ่ยขึ้น “เจ้ากลับไปทำเหมือนเช่นเคย เฝ้าอยู่ข้างกายรับฟังคำสั่งเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์”
“ขอรับ”เหลิ่งยวนรับบัญชา
เงียบไปชั่วครู่ เหลิ่งยวนค่อยๆแอบเงยหน้าขึ้นไปมองเห็นเพียงพื้นหิมะขาวโพลนว่างเปล่า รอบๆไม่มีแม้แต่เงาของโม่อู๋เยว่ เหลิ่งยวนหายใจอีกเฮือก ถูไถจมูก “นี่เจ้านายหนีไปแล้ว”
เหลิ่งยวนคิดในใจ ตอนนี้เจ้านายคงไปสะสางเรื่องโซ่ผูกมังกร เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นอีก ดูแล้วเจ้านายยิ่งอยู่ยิ่งจะใส่ใจจูนจิ่วมากขึ้นทุกที
คิดถึงตรงนี้ เหลิ่งยวนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นขึ้นมา ดีที่เขาไม่ได้เป็นชาวมังกร ไม่เช่นนั้นหากพบเจอคนที่รักก็คงอยากจะกลืนกินเขาอะไรทำนองนั้น ช่างโหดร้ายเสียจริง หากไม่ระวังทนไม่ได้ ทั้งชีวิตคงได้เป็นหมาหงอย น่าสมเพชจริง
เหลิ่งยวนหยิบแผ่นหยกออกมา หลังจากเชื่อมต่อกับยินหันได้ ก็ได้ยินเสียงขอร้องอย่างจริงจังของเหลิ่งยวนว่า “ยินหัน ภายหน้าหากเจ้ารักผู้ใดเข้าก็ตาม อย่าได้หุนหันพลันแล่นเด็ดขาด เจ้าต้องเรียกข้าไปเฝ้าสังเกตการณ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจโดดเดี่ยวไร้คู่ตลอดชีวิต เจ้าได้ยินหรือไม่”
“นี่เจ้าบ้าไปแล้ว”ยินหันตัดเพี๊ยะทำลายใบหยก ใบหน้าเย็นชาเปลี่ยนเป็นสีดำ
……
เมื่อจูนจิ่วรู้ตัว เป็นวันแรกที่ไม่ได้พบกับโม่อู๋เยว่ ยังคิดว่าโม่อู๋เยว่มีธุระ พอวันที่สอง วันที่สาม หลังจากวันที่เจ็ด จูนจิ่วทนไม่ไหวไปหาเหลิ่งยวน
ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆอย่างเป็นจังหวะ จูนจิ่วหรี่ตามองไปทางเหลิ่งยวน “เหลิ่งยวน โม่อู๋เยว่ไปที่ใดกันแน่”
“เจ้านายมีเรื่องต้องจัดการ ”สายตาเหลิ่งยวนมีแววไม่มั่นใจ ไม่กล้ามองจูนจิ่ว เขารู้ว่าจูนจิ่วฉลาดหลักแหลม เขาจะโกหกก็คงไปไม่รอด แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเจ้านายของตนเป็นเพราะหวั่นไหวไปชั่วขณะ เกือบจะกินแม่นางจูนแล้ว ฉะนั้นจึงหนีไปหาทนทางแก้ไขอยู่
เหลิ่งยวนคิดว่าหากตนพูดเช่นนี้แล้ว เขาอาจจะสูญเสียนายหญิงในอนาคตไปก็เป็นได้ และชีวิตน้อยๆของตนด้วย ประการหลังแน่นอนว่าต้องถูกโม่อู๋เยว่ตีจนตาย
จูนจิ่วเลิกคิ้ว “เรื่องสำคัญมากหรือ”
“ใช่”เหลิ่งยวนพยักหน้าหนักๆ ในใจกล่าวว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่นางจูน ย่อมสำคัญมาก
หนึ่งคำถามหนึ่งคำตอบ เหลิ่งยวนเหมือนจะบอกความจริง แต่พอคำถามตอนท้าย ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าโม่อู๋เยว่ไปไหน ไปทำอะไร จูนจิ่วมองเหลิ่งยวนอย่างจับพิรุธ มองจนขนสันหลังของเหลิ่งยวนชันขึ้นหมดแล้ว
แม้พละกำลังของจูนจิ่วจะอ่อนแอ แต่อำนาจที่แผ่ออกมานั้นแข็งแกร่ง ถูกนางจ้องอยู่ เหมือนเหลิ่งยวนกำลังเผชิญหน้ากับโม่อู๋เยว่ยังไรอย่างนั้น กดดันเหลือเกิน
“เอาเถอะ เหลิ่งยวนเจ้าไปเถอะ”จูนจิ่วพูดเสร็จ เหลิ่งยวนก็หายวับไปทันที ดูเหมือนมีเรื่องร้อนรนต้องหนีไป
เสี่ยวอู่ใช้อุ้งเท้าถือเมล็ดแตงโมอยู่บนโต๊ะ หมุนเป็นวงกลมๆ เขาหรี่ตาแมวมองไปทางจูนจิ่ว “เจ้านาย ท่านว่าโม่อู๋เยว่ใช่ออกไปทำเรื่องไม่ดีหรือไม่”
“ใช่ไปทำเรื่องไม่ดีหรือไม่ เจอตัวเขาก็จะเข้าใจเอง”
“เหมียว แต่ว่าโม่อู๋เยว่ไม่มาเลย เจ้านายจะพบเขาได้อย่างไร”เสี่ยวอู่เหมียวๆมองจูนจิ่วอย่างสงสัย
มุมปากโค้งขึ้น จูนจิ่วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ นางยกมือส่ายกระดิ่งที่ข้อมือไปมา เอ่ยยิ้มๆว่า “โม่อู๋เยว่ วันนี้หากเจ้าไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าข้า เชื่อหรือไม่ ข้าจะโยนกระดิ่งของเจ้าทิ้งซะ”
กรุ้งกริ้งกรุ้งกริ้ง
กระดิ่งสีเงินดังขึ้นต่อเนื่องสองครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะกระดิ่งกลัว หรือว่าจะส่งข้อความไปยังโม่อู๋เยว่แล้ว
เขามิใช่เคยบอกหรือว่าขอเพียงใช้กระดิ่งเรียกเขา ไม่ว่าจะสุดหล้าฟ้าเขียวแห่งหนใดก็จะมาปรากฏตัวต่อหน้านาง จูนจิ่วกำลังนั่งรอการมาของโม่อู๋เยว่ แต่ก่อนที่เขาจะมาถึง ในตาของจูนจิ่วมีแววมาดร้าย
สัญชาตญาณบอกนางว่า โม่อู๋เยว่กำลังหลบหน้านาง ไม่ว่าปีศาจตนนั้นจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ต้องหลบหน้านางกะทันหัน นางก็ต้องพบเขาให้ได้ อีกทั้งยังต้องทำความเข้าใจว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ เพื่อป้องกันไม่ให้โม่อู๋เยว่ไม่พูด นางต้องขุดหลุมดักเขาไว้ก่อน ไม่พูดก็ไม่ปล่อยไป
ยื่นมือคว้าตัวเสี่ยวอู่มาไว้ในอ้อมอก จูนจิ่วยิ้มอย่างมาดร้าย “ไป พวกเราไปพบศิษย์พี่กัน”
“เหมียว”เสี่ยวอู่มึนงง กำลังพูดถึงโม่อู๋เยว่ไม่ใช่หรือ ทำไมต้องไปพบชิงหยู่กะทันหัน
เมื่อชิงหยู่พบจูนจิ่ว พูดได้ว่าตื้นตันมาก เพื่อการวางแผนการแข่งขันทั้งห้าสำนัก ชิงหยู่นับวันยิ่งจะไร้อิสระ ทุกวันต่างถูกเหล่าผู้อาวุโสผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าดูการทำงาน ทำให้เขารู้สึกเสียใจ ที่ทำไมต้องชนะได้สิทธิ์ในการจัดแข่งขันด้วย
ความสุขเพียงชั่วขณะ หลังจากนั้นก็ทุกข์สาหัส หาเรื่องเองแท้ๆ
พอจูนจิ่วมา ผู้อาวุโสโจวเตี๋ยก็ไม่รบกวนออกไปทำงานอย่างอื่นข้างนอก พอคนออกไปแล้ว ชิงหยู่ไม่รู้ไปขุดเอาไหเหล้าชั้นดีมาจากไหน หรี่ตามองมายังจูนจิ่วอย่างสบายๆ “ศิษย์น้องดื่มเหล้าหรือไม่”
“ไม่ดื่ม”
“เหล้านารีแดงสามสิบปี ไม่ดื่มช่างนักเสียดายนัก ไม่ดื่มจริงหรือ เดี๋ยวท่านโจวกลับมา จะดื่มไม่ได้แล้วนะ ”ชิงหยู่หยอกจูนจิ่วยิ้มๆ
จูนจิ่วส่ายหัว ดื่มเหล้าต่อหน้าโม่อู่เยว่นั้นไม่เป็นอุปสรรค แต่กับคนอื่น ก็ช่างมันเถอะ นางเงยหน้าขึ้นมองชิงหยู่พร้อมเอ่ยว่า
“ศิษย์พี่ ข้ามาหาท่านเพราะมีเรื่องอยากจะถามท่าน”
“ศิษย์น้องมีเรื่องอะไร พูด พูดมาให้หมด ขอเพียงศิษย์พี่รู้ ต้องบอกเจ้าแน่นอน”
“สำนักเทียนอู่จงของเรายังรับผู้อาวุโสหรือไม่ ”จูนจิ่วเอ่ยจบ ชิงหยู่นิ่งอึ้งไป เขามองนางอย่างแปลกใจ สีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
“ศิษย์น้อง ทำไมเจ้าถึงถามคำถามนี้ขึ้นมา”
“ข้ามีตัวเลือกคนหนึ่ง อยากจะแนะนำให้ศิษย์พี่”