บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ - บทที่ 411
บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ บทที่ 411
เจเรมี่ใช้มือข้างที่ถนัดถือโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับตั้งสติรอฟังผลลัพธ์อย่างใจจดใจจ่อ เขารับฟังฌอนจากคำต่อคำ…
น้ำเสียงของฌอนในตอนนี้ฟังดูสับสนและจับต้นชนปลายไม่ถูก คำพูดเหล่านั้นมีทั้งความสุขและความเศร้าปนอยู่ในน้ำเสียงนั่น
และเมื่อเรื่องสำคัญที่ฌอนต้องการจะพูดออกไปนั้นได้หลุดออกมา คล้ายกับสึนามินับร้อยกำลังซัดเข้ามาตีรวนอยู่ในใจเจเรมี่
“เจเรมี่ คุณกลับมาแล้วเหรอคะ”
ยังไม่ทันได้วางสายดีก็มีเสียงหวานดังขึ้นมาตรงหน้าเขา
เจเรมี่ได้ลืมตาที่หนักอึ้งของตัวเองขึ้นและเห็นว่ามาเดลีนกำลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้า ๆ
ใบหน้างดงามเช่นนั้นที่ถูกแอบซ่อนลึกอยู่ข้างในหัวใจของเขาได้ขยายใหญ่ขึ้นที่ดวงตาล้ำลึกของเขา
“ฉันกำลังรอคุณกลับมากินข้าวด้วยกันอยู่น่ะ” มาเดลีนเดินไปหาเจเรมี่และเดินไปถอดสูทของเขาออก
เจเรมี่กดตัดสายด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ดวงตาของเขามองตรงไปที่ใบหน้ายิ้มแย้มของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าตลอดเวลา
ในจังหวะที่เธอหันหลังจะแขวนเสื้อสูทของเขา ทันใดนั้นเขาคว้าข้อมือของเธอเอาไว้อย่างแรง
มาเดลีนรีบหันกลับมาถามด้วยความตกใจปนสงสัย “เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่า ไม่มีอะไรผมก็แค่คิดถึงคุณขึ้นมานิดหน่อยน่ะ” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบา ๆ อย่างนุ่มนวลและเดินเข้าไปกอดเธอในทันที
เขาโอบเธอไว้แน่นราวกับไม่ต้องการให้เธอหนีหายจากเขาไปอีก ความร้อนจากฝ่ามือของเขาได้ประโลมลงบนผิวหนังของเธอ ความรักที่เขาเก็บซ่อนไว้โดยที่ไม่มีใครรู้กำลังแผดเผาเขาอยู่ในตอนนี้
แต่ว่าการกระทำของเขาในตอนนี้ทำให้มาเดลีนรู้สึกเกลียดชังเขามากขึ้น
เธอจำได้มาตลอดชีวิตว่าเขาไม่เคยมีความเสน่หาในตัวเธอเลยแม้แต่น้อยในตอนนั้น
มันกี่ครั้งกันที่เขาทอดทิ้งเธอเอาไว้ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักราวกับน้ำท่วม กี่ครั้งกันที่ปล่อยให้เธอสิ้นหวังและกักขังหัวใจของเธอไว้ในน้ำพุเหน็บหนาว? จนถึงตอนนี้ เธอไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากหัวใจดวงเดิมได้อีก
‘แต่เจเรมี่กลับกลายเป็นว่านายชอบผู้หญิงที่หน้าเหมือนฉัน ในตอนนั้นฉันยอมถวายทุกอย่างแม้กระทั้งชีวิตให้กับนายด้วยความจริงใจ แต่นายกลับเลือกที่จะดูถูกมัน’
‘ในตอนนี้ดูเหมือนว่านายจะถูกใจมากเมื่อฉันอยู่ในร่างตัวปลอม’
‘หืม’
มาเดลีนตรึงริมฝีปากของตัวเองเอาไว้อย่างเงียบ ๆ และหัวเราะเยาะอยู่ในใจมากขึ้น
“เจเรมี่ ฉันเองก็คิดถึงคุณมากเหมือนกัน” เธอพูดออกมาอย่างไร้ความรู้สึก “ไปกินข้าวกันเถอะนะ แจ็คกำลังรอเราอยู่”
มาเดลีนผลักตัวเองออกจากเขาและหันหลังเดินไปโดยที่ไม่สนใจสีหน้าขอเจเรมี่ในตอนนี้
ในระหว่างที่รับประทานอาหาร มาเดลีนตักผัดผักลงในจานแจ็คสันด้วยความสนิทสนมพร้อมกับเช็ดซุปที่เลอะอยู่บริเวณรอบปากเขา
รอยยิ้มของเด็กชายตัวน้อยที่กำลังยิ้มมากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดจนเธอสังเกตได้คล้ายกับว่าบรรยากาศอึมครึมรอบตัวของเขาที่เคยมีได้สลายหายไปอย่างมากเลยทีเดียว
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว มาเดลีนจูงมือแจ็คสันเพื่อพาเขาเข้าไปในห้องสอนการบ้านให้เขา
การบ้านในระดับชั้นอนุบาลที่เธอมองเห็นอยู่ในตอนนี้ดูง่ายมากสำหรับมาเดลีน แต่สำหรับเด็กในวัยนี้แล้วอาจจะยากเกินไปสักหน่อย แต่สิ่งที่ทำให้เธออึ้งเล็กน้อยนั่นก็คือ แจ็คสันไม่ต้องการคำแนะนำหรือถามคำถามข้อสงสัยในการบ้านนั้นเลยเขาทำการบ้านได้เสร็จสมบูรณ์ด้วยตัวเขาเอง
เธอสามารถเดาได้ว่าเด็กคนนี้ได้สืบทอดเอกลักษณ์ที่ได้มาจากเจเรมี่ ความจำของเขาไม่เพียงแค่ดีเลิศเท่านั้น แต่ไอคิวของเขาเองไม่ได้ต่ำเช่นกันเรียกได้ว่าสูงกว่ามาตรฐานของเด็กทั่วไป
มาเดลีนรู้สึกโชคดีมากที่เด็กคนนี้ไม่เป็นเหมือนเมเรดิธ
เมื่อย้อนกลับมาคิดถึงสิ่งนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะคิดถึงลูกของตัวเอง
‘ลูกรักของแม่อยู่ที่ไหนกัน หืม?’
‘เมเรดิธซ่อนลูกเอาไว้ที่ไหน?’
‘แม่อยากหาลูกเจอเร็ว ๆ จัง…’
……
ในวันรุ่งขึ้น เจเรมี่คิดมากตลอดทางในขณะที่ขับรถพามาเดลีนไปส่งที่เฟิร์สคริสตัลสตรีท เขาส่งเธอเสร็จจากนั้นเขาก็ขับรถออกไปในเวลาไม่นาน
แทนที่เขาจะหักพวงมาลัยขับรถกลับไปที่บริษัทวิทแมน แต่เขากลับเลือกที่จะขับไปที่สุสานแทน
เอโลอิสและฌอนมารอเขาอยู่ที่นั่นก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขากำลังถือดอกเบญจมาศสีขาวและสวมเสื้อผ้าไว้อาลัยสีดำเรียบ ๆ และดูดี ทั้งสองมีดวงตาที่เป็นสีแดงซึ่งมาจากร่องรอยของน้ำตาที่ถูกทิ้งไว้
สายลมในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงในต้นฤดูหนาวค่อนข้างจะหนักหนา สายลมได้พัดผ่านไปพร้อมกับกัดแทะจิตใจพวกเขาไปด้วย
เวลาในตอนนี้ถือว่ายังเช้าเกินไปที่คนทั่วไปจะมาที่สุสานแห่งนี้ มีเพียงใบไม้ที่ปลิวไปตามสายลม