บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ - บทที่ 653
บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ บทที่ 653
เมเดลีนหันหลับตามสัญชาตญาณเพื่อช่วยเหลือเจเรมี่ แต่ทันใดนั้น หญิงสาวคนหนึ่งพุ่งตัวออกจากรถวิ่งผ่านเธอไป
หญิงสาวคนนั้นวิ่งตรงไปหาเจเรมี่ได้เร็วกว่าเธอและคว้าแขนเขาไว้ทัน
เมเดลีนหยุดฝีเท้าของเธอไว้และมองไปยังแผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้น เธอพลันนึกถึงผู้ที่นั่งดื่มกาแฟกับเจเรมี่เมื่อวานขึ้นมา
เธอยืนนิ่งราวกับว่าเข้าใจบางอย่างได้ในทันที
‘เจเรมี่ วิทแมน กลับกลายเป็นว่าการหย่าร้างครั้งนี้ช่วยนายได้มากสินะ
‘นายมีคนรักคนใหม่แล้ว
‘และฉันก็ไม่เคยเป็นคนที่อยู่ในใจนายเลยด้วย’
เฟลิเป้จอดรถตรงหน้าเมเดลีน เมื่อเดินลงมาจากรถเพื่อประตูให้เธอ เขาก็หันไปมองเจเรมี่ด้วยหางตาพลางกระตุกยิ้มที่มุมปากขึ้นอย่างลับ ๆ
การปรากฏตัวอย่างไม่ทันคาดคิดของเฟลิซิตี้ทำให้เจเรมี่ประหลาดใจอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม คำอธิบายของเฟลิซิตี้ฟังดูมีเหตุผล “ฉันมาพบลูกค้าที่ถูกสามีทำร้ายจิตใจมาเป็นเวลานาน และมีปัญหาทางจิตน่ะค่ะ ฉันเลยมาที่นี่เป็นเพื่อนเธอเพื่อดำเนินการเรื่องการหย่าร้าง ฉันไม่คิดว่าจะได้พบคุณที่นี่เลยนะคะ คุณวิทแมน”
เธอแสร้งทำเป็นงุนงง แต่ก็ถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจ “คุณวิทแมน มาดำเนินเรื่องการหย่าร้างเหมือนกันเหรอคะ?”
เจเรมี่เก็บใบหย่าในมือให้พ้นสายตาเธอ “ไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณ”
เจเรมี่เย็นชาอย่างไม่น่าเชื่อ และเฟลิซิตี้ผงะไปชั่วครู่ เธอหันไปมองเจเรมี่ที่กำลังเดินคลำทางอยู่ด้านข้างของถนน
เขาสูญเสียการมองเห็นไป แต่ประสาทสัมผัสเรื่องเส้นทางของเขายังเฉียบคม
เมื่อเห็นว่าเจเรมี่กำลังจะนั่งแท็กซี่กลับ เฟลิซิตี้จึงรีบวิ่งตามไป “คุณวิทแมนคะ ให้ฉับไปส่งคุณกลับบ้านเถอะค่ะ”
“คุณกับผมมีความสัมพันธ์เป็นเพียงคนไข้กับหมอ นอกเหนือจากนี้ พวกเราก็เป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าต่อกัน ผมไม่จำเป็นต้องขอให้คุณไปส่งผมกลับ” เขาปฏิเสธออกมาโดยไม่สนใจความรู้สึกเธอเลย จากนั้นเขาขึ้นรถแท็กซี่และจากไป
เฟลิซิตี้คาดไม่ถึงว่าวันนี้เธอจะได้รับโอกาสที่หายากเช่นนี้ แต่เธอก็ไม่สามารถทำให้เจเรมี่เปิดใจได้เลย
เธอคิดว่าวันนี้อาจมีความคืบหน้าอะไรบ้าง แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะไม่มีโอกาสใด ๆ เลย
เฟลิเป้ขับรถออกไป หลังจากที่พาเมเดลีนมาส่งที่คฤหาสน์มอนต์โกเมอรีแล้ว
เมเดลีนเดินเข้าไปในห้องของเธอและมองใบหย่าในมืออย่างผิดหวัง เธอคิดถึงทะเบียนสมรสที่เจเรมี่ยื่นให้เจ้าหน้าที่ตอนนั้น
เธอจำรอยยิ้มอันแสนหอมหวานของตนที่อยู่บนทะเบียนสมรสได้อย่างเลือนลาง
“เอวลีน” เอโลอิสเดินเข้ามาและเห็นใบหย่าที่เมเดลีนถืออยู่ในมือ เธอถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันผ่านไปนะลูก อย่าไปคิดถึงมันอีกเลย”
เมเดลีนพยักหน้าและเอ่ยถามขึ้น “แม่คะ แม่เคยคิดว่าถ้าคนคนหนึ่งรักใครสักคนมาก ๆ คนคนนั้นจะทำอะไรที่ไร้เหตุผล หรือทำอะไรบ้า ๆ ลงไปบ้างไหมคะ?”
เมเดลีนนึกถึงเรื่องที่เจเรมี่บังคับพาตัวเธอไปยังเกาะเล็ก ๆ และทำร้ายตัวเองแบบนั้น
เอโลอิสครุ่นคิดไปชั่วขณะ “ถ้าพวกเขารักใครสักคนมากจริง ๆ แม่คิดว่าพวกเขาคงจะทำอย่างที่ลูกว่านะ เพื่อไม่ให้สูญเสียคนรักของตนไป บ่อยครั้งที่เหตุผลมักจะสู้กับความรู้สึกอันแรงกล้าไม่ไหว”
เมเดลีนครุ่นคิดชั่วครู จากนั้นก็ออกไปข้างนอก
เธอชวนเอวาออกมาเจอกันที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ใกล้กับมหาวิทยาลัยเกลนเดล
เมื่อรู้ว่าในที่สุด เมเดลีนกับเจเรมี่ได้เลิกราและตัดขาดความสัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการ เอวาก็ดื่มเบียร์ไปสองสามขวดอย่างมีความสุข
“ฮ้า! เยี่ยมจริง ๆ เลย แมดดี้! ในที่สุดเธอก็รู้ตัวสักทีนะ!” เอวายิ้มออกมาอย่างมีความสุขและพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ “ก่อนหน้านี้ แดนมันพนันกับฉันไว้ มันพูดว่าเธอจะต้องรักเจเรมี่มากขึ้นแน่ ๆ ถ้าความทรงจำของเธอฟื้นคืนกลับมา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันจะชนะแล้วสินะ เธอไม่มีทางที่จะกลับไปตกหลุมรักไอ้คนพรรค์นั้นอีกเป็นอันขาด!”
เมเดลีนรู้สึกกรึ่ม ๆ แต่สติยังคงชัดเจนอยู่ “แดนพูดแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?”
เอวาพยักหน้าซ้ำ ๆ “ก็ใช่น่ะสิ แดนมันต้องพูดอะไรไร้สาระออกมาอยู่แล้วเพราะว่ามันโดนหักอกยังไงล่ะ”
“แดนอกหัก?”
เอวาซึ่งเมาได้ที่โผกอดไหล่เมเดลีนอย่างแรง “แมดดี้ ลืมไปแล้วเหรอ? แดนมันชอบเธอ สมัยเรียน มันชอบเธอมาก มันยังเคยสารภาพรักเธอตอนวันพิธีจบการศึกษาต่อหน้าทุกคนเลยนะเว้ย!”
“แต่ว่าตอนนั้น เธอ…” เอวาเรอออกมา “ตอนนั้น เธอหลงรักเจเรมี่หัวปักหัวปำ เขาเป็นดั่งดาวตกที่เธอเอาแต่ไล่ตาม เธอแอบดูเขาวิ่งตอนเช้า แล้วก็ไปที่ห้องสมุดเพื่อเฝ้ามองเขาทุกคืน แถมที่เธอเรียนเอกการออกแบบเครื่องเพชรและเครื่องประดับนี่ ก็เพื่อไอ้คนพรรค์นั้นเลยนะ”