ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 48 ภัตตาคาร
นอกจากภัตตาคารกุ้ยหลินแล้ว เฮ่อเหล่าไท่จวินยังมีร้านค้าอื่นอีกเล็กน้อยเป็นของตัวเอง ซึ่งทุกร้านล้วนแต่ทำกำไรได้ดีกว่ากุ้ยหลินทั้งสิ้น ทว่านี่กลับเป็นร้านอาหารเพียงร้านเดียวที่นางมี เมื่อภรรยาเจ้าซานหลางมีพรสวรรค์ในการทำอาหาร เช่นนั้นภัตตาคารกุ้ยหลินก็นับเป็นกรรมสิทธิ์ที่ควรมอบให้จัดการ
ในยุคราชวงศ์อู่นี้มิได้มีกฎหมายห้ามขุนนางทำการค้า ฮูหยินของขุนนางบางราย นอกจากจะจัดการดูแลจวนแล้วก็มักจะมีร้านค้าทำเงินอยู่ในมือบ้าง
กระทั่งฮองเฮายังแอบเปิดร้านค้าของตัวเองอย่างลับ ๆ ในเมืองหลวง ทุกคนต่างรู้ดีว่าร้านใดเป็นของพระองค์ ทว่ากลับไม่มีใครกล้าพูดถึงอย่างเปิดเผยนัก
ภรรยาขุนนางมักจะแสดงความสามารถในการบริหารธุรกิจในความครอบครองของตนเพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันความสามารถที่มีพร้อม
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะจวนเล็กหรือใหญ่เพียงใดล้วนแต่ต้องการเงินมาจับจ่ายใช้สอยด้วยกันทั้งนั้น
ในบัญชีกลางของจวนจิ่งอันยังมีปรากฏร้านค้าอีกหลายร้านที่อยู่ภายใต้การจัดการของฮูหยินจิ่งอันซื่อจื่อหรือโจวซื่อ หากเฮ่อเหล่าไท่จวินไปแตะต้องร้านค้าเหล่านี้ย่อมเป็นการไม่เหมาะสม นอกจากนั้นนางยังทราบว่าร้านค้าเหล่านั้นมิได้ทำกำไรได้มากนัก จึงทำให้โจวซื่อบริหารรายรับของจวนได้อย่างยากลำบาก
ดังนั้น หลังจากที่ไตร่ตรองอยู่ค่อนคืน เหล่าไท่จวินก็ตัดสินใจเลือกที่จะมอบสินเดิมของนางให้แก่ภรรยาซานหลางเสียแทน นับเป็นหนึ่งในวิธีฝึกฝนทักษะการจัดการกับผู้อื่นไปด้วย
ยามฉู่เหลียนแต่งเข้ามา นางไม่มีแม้แต่ที่ดินเป็นของตัวเองสักผืน ไม่ต้องเอ่ยถึงร้านค้าใด เฮ่อเหล่าไท่จวินเข้าใจสถานการณ์ของนางดี
แม้ภัตตาคารกุ้ยหลินจะเปิดมาหลายสิบปี ทว่ากลับมิได้โด่งดังในเมืองหลวงนัก ทำเงินได้ดีแค่ช่วงปีแรก ๆ เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ติดกับตลาดตะวันออก แต่ในช่วงหลายสิบปีหลังมานี้ พื้นที่บริเวณตะวันออกและตะวันตกถูกจัดสรรใหม่ ตลาดตะวันออกก็ย้ายที่ไป พื้นที่บริเวณภัตตาคารกุ้ยหลินจึงกลายมาเป็นที่อยู่อาศัย และขาดแคลนลูกค้าจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนั้นอาหารที่ร้านก็มิได้มีสิ่งใดพิเศษ จึงยิ่งส่งเสริมให้เศรษฐกิจของร้านตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว
ซ้ำร้ายในช่วงไม่กี่ปีมานี้ยังติดตัวแดงแทบจะทุกเดือน คราวแรกร้านกุ้ยหลินยังมีบริกรอยู่ห้าคน ทว่ายามนี้เหลือเพียงแค่ผู้เดียวเท่านั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ หากมีลูกค้าเข้าร้านสักสองหรือสามคนก็นับว่าควรให้ฉลองได้แล้ว
เฮ่อเหล่าไท่จวินยังเก็บภัตตาคารกุ้ยหลินไว้ด้วยรู้สึกอาลัย ไม่ว่าอย่างไรร้านนี้ก็นับเป็นสินเดิมของนางที่ได้รับสืบทอดมาจากมารดา ซึ่งเป็นผู้ตั้งชื่อร้านนี้ด้วยตนเอง อีกทั้งมารดาของเฮ่อเหล่าไท่จวินได้จากไปสิบกว่าปีแล้ว ภัตตาคารแห่งนี้นับเป็นสิ่งสุดท้ายที่มารดาของนางทิ้งไว้ให้
เฮ่อเหล่าไท่จวินเอ่ยขึ้น “ย่าเห็นว่าเจ้าอยู่ในจวนไม่มีอะไรทำ เลยหางานให้ทำเสียหน่อย เจ้าคงไม่คิดว่าย่าวุ่นวายกระมัง!”
ดวงตาของฉู่เหลียนเบิกกว้างขึ้น “ท่านย่า จะให้หลานดูแลร้านกุ้ยหลินหรือเจ้าคะ?”
เฮ่อเหล่าไท่จวินยิ้มจนตาหยี “ร้านอาหารนี้เป็นสินเดิมของข้า ช่วงหลายปีมานี้กิจการไม่ค่อยดีนัก หลานสะใภ้สาม หากเจ้าฟื้นคืนมันได้ ย่าก็จะยกร้านนี้ให้ ทว่ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง คือร้านกุ้ยหลินจะต้องยังคงเป็นร้านอาหารเช่นเดิม”
นี่ไม่ใช่ราวกับมีคนยื่นหมอนให้ในยามง่วงหรอกหรือ?
นางกำลังหาหนทางในการหาเงิน แต่ตอนนี้เฮ่อเหล่าไท่จวินกลับเสนอร้านอาหารให้นาง จนอดคิดไม่ได้ว่า ‘ฉู่เหลียน’ คนก่อนไม่เคยโชคดีขนาดนี้ นางต้องใช้แผนร้ายเพื่อยึดอำนาจจัดการจวนมา หลังจากนั้นก็ยังใช้สารพัดวิธีเพื่อยึดเอาสินส่วนตัวของเฮ่อเหล่าไท่จวินมาเมื่อยามที่ล้มป่วย
“แต่นี่มัน…” จริงหรือนี่? นางดีใจจะตายแล้ว!
เฮ่อเหล่าไท่จวินจงใจทำหน้าขึงขัง “ไม่มีคำว่าแต่ ย่าต้องการมอบสิ่งนี้ให้แก่เจ้า เจ้าเพียงต้องรับมันเอาไว้ ต่อให้ร้องขอให้ยกร้านนี้แก่ผู้อื่น หรือแม้แต่ตัวสามีเจ้า ย่าก็จะไม่ยอม! ต่อให้เจ้าบริหารได้ไม่ดี ย่าก็จะไม่โทษเจ้าแต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไรร้านนั้นก็มิได้ทำเงินอะไรอยู่แล้ว คงทำให้ย่ำแย่กว่านี้ไม่ได้กระมัง”
เหล่าไท่จวินเข้าใจความหมายของฉู่เหลียนผิด แต่นางก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาอธิบาย แก้มสาวน้อยแดงก่ำอย่างดีใจจนเฮ่อเหล่าไท่จวินนึกอยากหยิกแก้มเล็ก ๆ นุ่ม ๆ นั้น
แน่นอน เฮ่อเหล่าไท่จวินอดมิได้
ฉู่เหลียนบิดอายเล็กน้อยยามที่แก้มนางถูกดึง นางเรียกเสียงนุ่ม “ท่านย่า” ใจนางไม่ใช่เด็กสาวอายุสิบห้าเหมือนร่างกายเสียหน่อย!
ทั้งสองคุยกันอย่างเพลิดเพลินกระทั่งเหลียวหมัวมัวเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม รายงานว่านายหญิงใหญ่พาคุณหนูทั้งสองมาคารวะ
ฉู่เหลียนมองสมุดบัญชีก่อนจะมองเฮ่อเหล่าไท่จวินอีกครั้ง ดวงตาฉายแววคาดหวัง
เฮ่อเหล่าไท่จวินยิ้ม “เด็กโง่ ได้ เดี๋ยวข้าจะแจ้งพี่สะใภ้ของเจ้าให้เองยามที่นางเข้ามา”
เมื่อเฮ่อเหล่าไท่จวินยืนยันแล้ว ฉู่เหลียนก็คลายกังวล
นางบอกไม่ได้ว่าเรื่องนี้โจวซื่อจะคิดเช่นไร เนื่องจากในนิยายไม่ได้เขียนถึงบุคลิกของคนผู้นี้เอาไว้มากนัก ทว่าอย่างไรนางก็เป็นเพื่อนสนิทของเว่ยเฟิงจื่อ และเว่ยเฟิงจื่อก็เป็นคนที่ควรระวัง
ในนิยาย โจวซื่อบาดเจ็บหนักจากแผนการของ ‘ฉู่เหลียน’ จนลุกจากเตียงไม่ได้ ทว่าตอนนี้นางก็ยังแข็งแรงดีและยังคงสามารถจัดการจวนได้เป็นปกติ ทั้งสองต่างเป็นภรรยาของคนละบ้าน ย่อมไม่ขัดผลประโยชน์กัน
แต่ไม่ว่าโจวซื่อจะเป็นคนอย่างไร ฉู่เหลียนก็ไม่อยากให้ของขวัญจากเฮ่อเหล่าไท่จวินกลายเป็นเหตุบาดหมางจนทำลายความสงบสุขระหว่างทั้งคู่ในยามนี้
นอกจากสามีของนางจะไม่อยู่ข้างกายเพื่อปกป้องแล้ว นางก็ไม่อยากสร้างศัตรูในจวนอีกเพื่อให้ชีวิตวุ่นวายยิ่งขึ้น!
ดังคาด โจวซื่อเข้ามาในเรือนชิ่งสี่และได้ยินว่าฉู่เหลียนมาถึงได้สักพักแล้ว หัวคิ้วของนางก็ขมวดมุ่นเข้าหากัน
นางนำบุตรสาวทั้งสองเข้ามาในห้องรับแขกด้วยสีหน้านุ่มนวล เมื่อโจวซื่อทักทายมา ฉู่เหลียนก็ลุกขึ้นทักทายกลับด้วยความนอบน้อมเช่นเดิม
จากนั้น เฮ่อเหล่าไท่จวินก็อธิบายว่าฉู่เหลียนจะเข้ามารับช่วงต่อดูแลภัตตาคารกุ้ยหลิน ความเคร่งเครียดในใจโจวซื่อก็คลายลงเมื่อได้ยินเหล่าไท่จวินอธิบายทุกอย่างอย่างชัดเจน
นางพอรู้เรื่องสินส่วนตัวที่เหล่าไท่จวินมีอยู่บ้าง
ร้านที่ทำกำไรได้มากที่สุดย่อมเป็นร้านเซนฉะ ที่แต่ละเดือนได้ประมาณสองหรือสามร้อยตำลึง ส่วนที่แย่ที่สุดย่อมเป็นร้านกุ้ยหลินที่หลายปีมานี้ขาดทุนไปมากโข ซึ่งนางเองก็ไม่เข้าใจว่าเฮ่อเหล่าไท่จวินจะเก็บร้านนี้ไว้ทำไม ในเมื่อไม่อาจทำกำไรจากมันได้เลยแม้แต่น้อย และหากเป็นนาง คงจะขายร้านนี้ทิ้งแล้วซื้อร้านอื่นที่อยู่ในทำเลที่ดีกว่านี้
ภัตตาคารนี้เป็นเพียงร้านอาหารติดตัวแดงเท่านั้น เฮ่อเหล่าไท่จวินอธิบายให้นางฟังอย่างตรงไปตรงมา โจวซื่อจึงไม่ได้ใส่ใจว่าฉู่เหลียนจะได้รับร้านค้านี้มาด้วยเหตุผลใด ทั้งยังทำให้ความประทับใจที่มีต่อฉู่เหลียนยังเพิ่มขึ้นอีกมากเสียด้วยซ้ำ
“หลานสะใภ้ใหญ่ เจ้าดูแลจวนนี้มาหลายปี ทั้งยังดูแลธุรกิจในมือได้เป็นอย่างดีทีเดียว หากเจ้ามีเวลา ก็ชี้แนะแก่ภรรยาเจ้าซานหลางบ้างสักเล็กน้อยเถิด”
โจวซื่อยิ้มจริงใจ “หากน้องสะใภ้สามอยากปรึกษาสิ่งใด ย่อมมาหาข้าที่เรือนได้ทุกเวลา”
“เช่นนั้นข้าต้องขอขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ล่วงหน้าเจ้าค่ะ!”
ใจของเฮ่อเหล่าไท่จวินคลายลงเมื่อเห็นหลานสะใภ้โต้ตอบกันอย่างสันติ สายตาของนางจึงหันไปหาเหลนทั้งสองและอ้าแขนออกกว้าง “อันเอ๋อร์ หลินเอ๋อร์ มาข้าง ๆ ย่านี่ ให้ย่าได้ดูหน้าพวกเจ้าหน่อยซิ”
เฮ่อเหล่าไท่จวินลูบหัวพวกนางด้วยความอ่อนโยน ทว่าเมื่อมองหน้าเหลนทั้งสองแล้วก็ลอบเสียใจ อันเอ๋อร์ตอนนี้ก็หกขวบแล้ว ทว่านางก็ยังไม่มีเหลนชายให้ได้ดูแลเสียที ขณะคิดเช่นนั้น สายตาของนางก็หันไปมองหน้าท้องแบนราบของฉู่เหลียน
ตั้งแต่มาถึงยุคราชวงศ์อู่ ความรู้สึกของฉู่เหลียนก็ไวต่อสายตาผู้คนมากนัก นางสามารถรับรู้และเข้าใจในความหมายของสายตาเหล่านั้นโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใดได้เป็นอย่างดี
พอเห็นเฮ่อเหล่าไท่จวินมองท้อง นางก็ตัวแข็งทื่อ อารมณ์ก็พลันย่ำแย่ลง
ลืมไปเลยว่านางส่งผ้าสีขาวที่เปื้อนเลือดนั่นให้สาวใช้ของเฮ่อเหล่าไท่จวินไปแล้ว ดังนั้นเฮ่อเหล่าไท่จวินจึงมองว่านางและเฮ่อซานหลางได้ร่วมห้องหอกันแล้วในคืนแต่งงาน
ยิ่งกว่านั้น เหล่าคุณหนูตระกูลฉู่ต่างเลื่องชื่อด้านความสามารถในการมีลูก บางทีเฮ่อเหล่าไท่จวินคงคิดว่านางมิได้ ‘ยิงเข้าเป้า’ กระมัง
มุมปากของฉู่เหลียนบิดขึ้นอย่างอับอาย นางยังเวอร์จิ้นอยู่ ย่อมท้องไม่ได้แน่นอน
ถ้านางท้องขึ้นมาจริง ๆ ละก็ยิ่งน่ากลัวกว่านี้อีก!
ฉู่เหลียนพกสมุดบัญชีเล่มนั้นติดตัวไปเยี่ยมฮูหยินจิ่งอันป๋อพร้อมกับโจวซื่อ พวกนางอยู่ที่นั่นราวหนึ่งก้านธูปก่อนกลับเรือนซงเถา
วันนี้มีเรื่องให้ต้องจัดการเยอะทีเดียว ก่อนอื่นต้องทำขนมแทนคำขอบคุณให้หยางฮูหยินและฮูหยินคนอื่น ๆ และยังต้องหาเวลาฝึกคัดลายมืออีกด้วย ทั้งยังต้องเริ่มจัดการร้านอาหารในเร็ววันนี้ จึงควรต้องอ่านอักษรจีนโบราณให้ออก และไหนจะต้องตรวจดูบัญชีร้านกุ้ยหลินอีกด้วย
พอถึงเรือนซงเถา นางก็เก็บสมุดบัญชีไว้ในที่ปลอดภัย ก่อนจะพาฉีเยี่ยนและจิ่งเยี่ยนเข้าครัวด้วยกัน วัตถุดิบทำซิ่วท้อนั้นเตรียมการได้ง่ายนัก ในขณะนั้น ฉู่เหลียนยังแอบเห็นว่ามีถั่วแดงเหลืออยู่อีกจำนวนมากจึงเกิดความคิดที่จะทำของหวานอย่างหนึ่ง ซึ่งยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของนางคือ ‘จิงปาเจี้ยน’[1] เซตของหวานจากปักกิ่ง
สิ่งนี้เป็นของหวานสไตล์ปักกิ่งที่มีประวัติอันยาวนาน ในชีวิตก่อนของนาง ครั้นเมื่อมีโอกาสไปเที่ยวเล่นที่ปักกิ่ง นางได้เรียนรู้วิธีทำของหวานนี้จากคุณยายท่านหนึ่งที่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ที่บล็อกเดียวกัน และได้พักอาศัยอยู่ที่นั่นถึงครึ่งเดือนเพื่อฝึกฝนวิธีทำจิงปาเจี้ยนหรือขนมแปดชนิดแห่งเมืองหลวงนี้
จิงปาเจี้ยนเป็นของว่างที่มีความหลากหลาย ทั้งที่เป็นขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก และขนาดทั่ว ๆ ไป และเหตุที่ถูกเรียกว่าจิงปาเจี้ยน ก็เพราะมันประกอบด้วยของหวานทั้งหมดแปดอย่างที่อยู่ในชุดเดียวกัน แต่ละชิ้นจะมีความแตกต่างกันทั้งไส้และรูปร่าง นับเป็นหนึ่งในของว่างที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่ฉู่เหลียนเคยทำมา ทว่าวัตถุดิบในการทำจิงปาเจี้ยนนี้กลับเป็นแค่ของทั่ว ๆ ไป กระทั่งในยุคราชวงศ์อู่เช่นนี้ก็หาใช่เรื่องยากที่จะทำไส้ทั้งแปดชนิดนี้ได้
ฉู่เหลียนเริ่มด้วยการสอนฉีเยี่ยนให้บดถั่วแดงจนเหนียว แล้วจึงสั่งจิ่งเยี่ยนให้ล้างผลลี่ซื่อสีเขียวและลูกเกดเตรียมไว้ ขณะที่ตนเองก็เริ่มทำในส่วนของแป้งโด
เมื่อทำเสร็จแล้ว ดวงตาของฉีเยี่ยนและจิ่งเยี่ยนก็แทบจะถลนออกจากเบ้า
กุ้ยหมัวมัวรออยู่ที่หน้าประตูครัวถูกฉู่เหลียนคว้าเอาตะกร้าไผ่ทรงรีที่สั่งให้เตรียมไว้ออกจากมือไป
นางเดินไปที่โต๊ะ ยิ้มให้ฉีเยี่ยนและจิ่งเยี่ยน “ดูให้ดี ๆ ข้าจะจัดของหวานเหล่านี้เพียงครั้งเดียว ที่เหลือข้าจะให้พวกเจ้าจัดการเอง”
ครั้งนี้นางต้องส่งของหวานให้หลายจวน จึงได้ทำของว่างออกมาเยอะเป็นพิเศษ
ของว่างนี้มีทั้งรูปทรงคล้ายถั่ว รูปทรงคล้ายกำปั้น มีกระทั่งรูปทรงคล้ายค้างคาว นางวางของลงในตะกร้าไม้ไผ่ทีละชิ้น ก่อนจะนำดอกมู่ตานที่เบ่งบานขึ้นมาสะบัดละอองน้ำออก และวางมันลงในพื้นที่ว่างด้านในของตะกร้า
เช่นนี้ก็นับว่าจัดชุดจิงปาเจี้ยนเสร็จไปชุดหนึ่งแล้ว
ของว่างหลากชนิดถูกจัดเรียงอย่างงดงามในตะกร้าไม้ไผ่ใบน้อย เพียงตัวมันเองก็ดูงดงามอยู่แล้ว ทว่าทุกสิ่งล้วนเป็นของทอด สีสันจึงดูเข้มไปเสียหน่อย เมื่อเพิ่มดอกมู่ตานสีแดงลงไปก็ทำให้ของว่างที่ถูกจัดเรียงกลับยิ่งดูงดงามชวนมอง
ตะกร้าของหวานนี้มีทั้งดอกไม้ที่งดงามส่งกลิ่นหอมรวยริน ชวนให้ผู้มองรู้สึกอยากอาหารนัก โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่อบอ้าวเช่นนี้
ดวงตาจิ่งเยี่ยนเบิกกว้างจนไม่สามารถจะกว้างไปกว่านี้ได้อีกแล้ว นางกลืนน้ำลายแล้วพึมพำ “นาย…นายหญิงสาม สิ่งนี้งดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ! บ่าว…บ่าวไม่กล้าทานจริง ๆ ”
ฉู่เหลียนยิ้มก่อนจะส่งสายตาซุกซนไปให้ “จำไว้ว่าเจ้าจะต้องจัดทุกตะกร้าให้เป็นแบบนี้ แต่พอทำเสร็จแล้ว ขนมพวกนี้ก็ยังคงเหลืออีกมาก พวกเจ้าก็ลองเอาไปชิมกันเสีย!”
เมื่อฉีเยี่ยนและจิ่งเยี่ยนได้ยินว่าพวกนางยังได้รับส่วนแบ่งของว่างด้วย ก็พากันยิ้มหน้าบาน
ของว่างที่เป็นของตอบแทนนี้เมื่อจัดเรียงเสร็จแล้ว ฉู่เหลียนก็เลือกหีบห่อที่เหมาะสม วางผ้ากำมะหยี่สีดำลงในกล่องของขวัญ ตามด้วยวางตะกร้าไผ่ลงไป ก่อนจะปิดปากกล่อง หลังจากนั้นนางก็นำเอาเครื่องประดับที่ต้องส่งคืนออกมาวางลงในกล่องไม้ที่พอดีกัน แล้วจึงส่งต่อให้หัวหน้าพ่อบ้าน
หัวหน้าพ่อบ้านไม่รอช้า จัดการส่งต่อให้บ่าวรับใช้หัวดีนำไปส่งให้แต่ละจวน ทั้งยังฝากข้อความไปว่าของว่างในกล่องนี้ควรทานให้หมดในวันเดียว
—————————————————–
[1] จิงปาเจี้ยน / ขนมแปดชนิดแห่งเมืองหลวง
คำว่า จิง เห็นว่ามาจากชื่อ Beijing หรือปักกิ่ง นั่นเองค่ะ
ของว่างหนึ่งเซตมีขนมแปดอย่าง อันที่จริงก็คือขนมเปี๊ยะกับขนมไหว้พระจันทร์นี่แหละค่ะ
ราชสำนักชิงได้รวบรวมการทำขนมในรูปแบบต่าง ๆ จากทางเหนือและทางใต้ของจีนที่ตกทอดจากราชวงศ์ก่อน ๆ มารวมเป็นชุดเดียวกัน และพิมพ์อักษรมงคลไว้บนตัวขนมพร้อมประดิษฐ์ประดอยให้งดงามจนดูดีมีค่าน่ารับประทานและน่าบูชา ขนมชุดนี้ใช้เป็นทั้งเครื่องเสวย และเป็นขนมที่ทำการบูชาเทพยดา รวมถึงบูรพกษัตริย์ ภายหลังได้เผยแพร่สู่นอกวัง และเป็นที่นิยมมาจนถึงทุกวันนี้ ใครไปปักกิ่งลองหาซื้อได้ไม่ยากนัก
เครดิต: นางใน – 后宫: https://www.facebook.com/gugonglady/photos/a.795350947208155/902151069861475
สมาคมนักเรียนไทยแห่งนานกิง 南京泰国留学生会: https://www.facebook.com/nanjingtaiguoliuxueshenghui/posts/720089361455056
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816