ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 63 ฝาแฝด
จิ่นอ๋องมองดูทั้งคู่จากด้านข้าง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ทนรอได้พักหนึ่งก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้น “ไปกันเถอะ เดี๋ยวองค์ชายผู้นี้จะให้คนไปส่งพวกเจ้ากลับจวนเว่ยอ๋อง”
ยามนี้เองที่องค์หญิงต้วนเจี่ยเพิ่งเห็นว่าจิ่นอ๋องยืนอยู่ตรงนั้น นางเช็ดน้ำตาแล้วถาม “พี่สี่ ท่านปลอดภัยหรือไม่?”
“แค่บาดแผลเพียงเล็กน้อย เดี๋ยวก็หาย แต่ข้ายังต้องอยู่สืบเรื่องนี้ต่อกับพวกกองกำลังรักษาเมือง ดังนั้นข้าจะให้หลงเฉิงไปส่งพวกเจ้ากลับจวน”
“อืม พี่สี่ระวังตัวด้วย”
สาวใช้ที่รออยู่ด้านข้างนำผ้าคลุมเข้ามาห่มตัวองค์หญิง จากนั้นฉู่เหลียนก็ช่วยประคองนางขึ้นรถม้า มุ่งหน้ากลับจวนเว่ยอ๋องโดยมีองครักษ์คนหนึ่งของเว่ยอ๋องตามมา
รถม้าเดินทางอย่างราบรื่นจนถึงประตูใหญ่จวนเว่ยอ๋อง ผ่านเข้าไปด้านใน แล้วจึงหยุดลง
ฉู่เหลียนเป็นผู้ลงมาก่อน จึงได้เห็นสตรีวัยกลางคนที่ยืนรอรถม้าอยู่กับกลุ่มสาวใช้ด้วยความกังวลว้าวุ่นใจ ทันทีที่องค์หญิงลงจากรถ นางก็โผเข้ากอดสตรีผู้นั้น
“หมู่เฟย!”
“เด็กดีของแม่! เจ้าทำแม่กลัวแทบตายแล้ววันนี้!”
กลุ่มสาวใช้เมื่อเห็นจังหวะเหมาะต่างกรูกันเข้ามาห้อมล้อมทำหน้าที่ของตน บ้างก็นำเสื้อผ้ามาห่มคลุม บ้างก็นำเตาพกออกมา ฉู่เหลียนไม่ลืมมารยาท แม้จะไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า แต่ก็คารวะพระชายาเว่ยอ๋องอย่างถูกต้องตามมารยาท
แม้พระชายาเว่ยอ๋องจะกังวลเรื่องสุขภาพลูกสาวมากเพียงใด แต่ก็ยังลอบมองฉู่เหลียนจากหางตา เห็นว่านางไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือเสียขวัญ จึงลอบพยักหน้ายอมรับอยู่เพียงในใจ
เมื่อองค์หญิงต้วนเจี่ยรู้สึกอุ่นกายขึ้นบ้างแล้ว นางก็นึกได้ว่าฉู่เหลียนยังยืนรออยู่ จึงผลักสาวใช้ที่รายล้อมออกแล้วดึงฉู่เหลียนมาใกล้ “หมู่เฟย ที่ลูกยังยืนอยู่ตรงหน้าท่านได้ในตอนนี้ ทั้งหมดล้วนต้องขอบคุณฉู่เหลียนนะเพคะ”
พระชายาเว่ยอ๋องเลิกคิ้วสงสัย “หืม?”
เมื่อสาวใช้คนสนิทของพระชายาเว่ยอ๋องเห็นองค์หญิงต้วนเจี่ยยังอยากพูดต่อ นางก็รีบเอ่ยขึ้นขัด “องค์หญิงและนายหญิงสามแห่งจวนจิ่งอันเพิ่งรอดพ้นภัยร้ายมา เหตุใดไม่ขับไล่โชคร้ายด้วยการเข้าใกล้เตาพกนี่เสียหน่อยเล่าเพคะ หากพระองค์อยากตรัสอะไรเพิ่มเติม ย่อมสามารถรอได้ในภายหลัง แต่ต้องหลังจากได้อาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่เปียกชุ่มนี่เสียก่อนนะเพคะ”
พระชายาเว่ยอ๋องพยักหน้า เรียกคนนำเตาพกมาให้เด็กสาวทั้งสอง องค์หญิงต้วนเจี่ยยังคงจับมือฉู่เหลียนไว้ ก้าวไปใกล้เตาพกอุ่น ๆ ฉู่เหลียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำตาม หลังจากนั้นก็อาบน้ำอุ่นและไปยังเรือนของพระชายาเว่ยอ๋องพร้อมกัน
พระชายาเว่ยอ๋องได้ส่งสาวใช้ไปดูแลฉู่เหลียน สาวใช้ผู้นั้นจึงเป็นคนเตรียมชุดเสื้อผ้าใหม่ให้นางได้ใส่เปลี่ยนหลังอาบน้ำ
เมื่อเด็กสาวทั้งสองเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว ก็ออกมาจากหลังฉากกั้นโดยมีสาวใช้คอยประคอง ทั้งคู่มองกันและกัน ก่อนจะหัวเราะออกมา
สาวใช้หวีผมของทั้งสองขณะนั่งเคียงกันอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง องค์หญิงต้วนเจี่ยหันมองฉู่เหลียน จากนั้นมองตนเอง ก่อนจะชี้ไปยังชุดเครื่องประดับบนโต๊ะ “นี่ นี่ และนี่ด้วย ใส่พวกนี้ให้ข้าและฉู่เหลียน”
ฉู่เหลียนมองเครื่องประดับ และรีบห้ามทันใด “องค์หญิง หม่อมฉันสวมไม่ได้เพคะ นั่นปิ่นหางเฟิ่งหวง”
องค์หญิงต้วนเจี่ยไม่พอใจ “ทำไมจะใส่ไม่ได้? ไม่ใช่ปิ่นพิเศษดังเช่นปิ่นห้าหางเสียหน่อย ปิ่นเช่นนี้ แม้แต่พวกฮูหยินบรรดาศักดิ์ก็ใส่กันทั้งนั้น”
มุมปากฉู่เหลียนบิดเบี้ยว นางไม่ใช่ฮูหยินตราตั้งเสียหน่อย จะไปปักปิ่นนั่นได้ยังไง!
องค์หญิงต้วนเจี่ยทำเสียงฮึมฮัม “ไอ้เจ้าเฮ่อซานหลางอะไรนั่นไร้ประโยชน์เสียจริง นอกจากหล่อเพียงเล็กน้อยแล้วมีดีอะไรอีกบ้าง? ไม่ต่างจากหมอนปักลายแม้แต่น้อย กระทั่งบรรดาศักดิ์ยังเอาให้ภรรยาของตนไม่ได้เลย ทำไมเจ้าจึงได้ตาบอดไปเลือกเขากันนะ? แต่อย่ากังวลไปเลยฉู่เหลียน ปักปิ่นนี่ไปก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้า องค์หญิงผู้นี้จะเอาบรรดาศักดิ์มาให้เจ้าในภายหน้า!”
ฟังดูแปลกนัก อย่างแรก ผู้คนที่นี่เชื่อว่าเป็นหน้าที่บิดามารดาในการหาคู่ครองให้ลูกหลาน ดังนั้นนางจึงไม่มีสิทธิ์เลือกใดๆ และหากทราบมาก่อนว่าเฮ่อซานหลางมีนิสัยบ้า ๆ เช่นนั้น นางก็คงไม่อยากแต่งงานกับเขาเป็นแน่!
ฉู่เหลียนรู้สึกสิ้นไร้หนทาง นางย่อมถกเถียงหรือเอาชนะองค์หญิงต้วนเจี่ยไม่ได้ เนื่องจากองค์หญิงมีสถานะสูงส่งกว่านางมาก อีกทั้งนางยังเป็นเพียงแขกของที่นี่! ท้ายที่สุด ฉู่เหลียนก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
พระชายาเว่ยอ๋องนั่งรออยู่ห้องรับแขก เมื่อคุณหนูทั้งสองแต่งกายเสร็จก็เดินจูงมือกันมา
ภาพเบื้องหน้าทำเอาพระชายาเว่ยอ๋องนิ่งงันไปชั่วขณะ เด็กสาวทั้งสองอายุราวสิบสี่สิบห้าปี มีส่วนสูงไล่เลี่ยกัน เด็กสาวคนซ้ายสวมชุดผ้าไหมอ่อนนุ่มแขนกว้างและชุดคลุมโปร่งสีชมพู เด็กสาวทางขวาสวมชุดแบบเดียวกันทว่าเป็นสีม่วงอ่อน ทั้งคู่มีรูปร่างคล้ายกันมาก ซ้ำยังทำผมทรงเดียวกัน กระทั่งปิ่นปักผมและเครื่องประดับผมก็ยังเหมือนกัน มีเพียงสีหน้าและเครื่องหน้าที่แตกต่างกันเท่านั้น มิหนำซ้ำทั้งคู่ล้วนเป็นเด็กสาวที่อยู่ในวัยผลิบานที่ยากจะละสายตา
ทันใดนั้น ทั้งห้องต่างตกตะลึง
องค์หญิงต้วนเจี่ยดึงมือฉู่เหลียนให้ตามไป นางโคลงศีรษะไปด้านหนึ่ง เอ่ยถาม “หมู่เฟย เป็นอย่างไรบ้างเพคะ พวกลูกงดงามหรือไม่?”
ยามนั้นเองที่พระชายาเว่ยอ๋องรู้สึกตัว สายตายังดูเหม่อลอย ทว่านางก็รีบซ่อนสีหน้าเจ็บปวดเก็บลงไป หนึ่งในสาวใช้รุ่นใหญ่เห็นดังนั้นจึงรีบเข้ามารินชาให้พระชายาเพื่อช่วยปิดซ่อนความเจ็บปวดนั้นไว้ ก่อนที่หมัวมัวผู้นั้นจะยิ้มและตอบ “องค์หญิงและนายหญิงสามแต่งกายเช่นนี้งดงามยิ่ง บ่าวเฒ่าผู้นี้แทบจะตาบอดเพราะความงดงามที่เปล่งประกายของท่านทั้งสองแล้วเพคะ!”
“หลานหมัวมัวมาตรฐานสูงเสมอ หากนางเอ่ยเช่นนั้น ย่อมต้องแปลว่าเรางดงามเช่นนั้นจริง ๆ! ฉู่เหลียน ข้าเลือกได้ดีใช่หรือไม่?”
ใจฉู่เหลียนแทบกระดอนออกมาทางคอ จะไปดีตรงไหนกัน? หากนางแต่งกายเหมือนเจ้าบ้านในจวนผู้อื่น ย่อมนับเป็นการไม่เคารพเจ้าบ้าน แต่ช่างโชคดีนักที่พระชายาเว่ยอ๋องดูคล้ายจะไม่เอาเรื่องนาง
หลานหมัวมัวแอบถอนใจ ใครจะคิดว่าการกระทำอย่างไม่ยั้งคิดขององค์หญิงจะกลายเป็นเครื่องตอกย้ำเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดของพระชายาเว่ยอ๋องได้เล่า?
ไม่มีใครรู้ นอกจากเว่ยอ๋องและบ่าวชราที่ติดตามพระชายาเว่ยอ๋องในยามนั้น กระทั่งท่านอ๋องน้อยทั้งสองก็ยังไม่ทราบว่าในวันเกิดขององค์หญิงต้วนเจี่ยนั้น แท้จริงพระชายาได้ให้กำเนิดบุตรฝาแฝด
ฝาแฝดคู่นั้นเป็นสตรี ทว่ารอดชีวิตเพียงคนเดียว อีกคนช่วยไว้ไม่ได้ เพื่อไม่ให้ผู้อื่นกล่าวหาว่าจวนเว่ยอ๋องจะนำพาความโชคไม่ดีมา เว่ยอ๋องจึงตัดสินใจปิดบังเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
กระทั่งตอนนี้องค์หญิงต้วนเจี่ยเองก็ไม่เคยทราบว่านางมีพี่สาวฝาแฝดที่จากไปแล้ว
นอกจากหน้าตาแล้ว ฉู่เหลียนก็คล้ายคลึงองค์หญิงต้วนเจี่ยมากทั้งอายุและรูปร่าง อีกทั้งในยามนี้นางยังแต่งกายด้วยชุดแบบเดียวกันกับองค์หญิง และยืนอยู่ต่อหน้าพระชายา นี่จะไม่ดูเหมือนทั้งคู่เป็นคู่พี่น้องที่คลานตามกันมาหรอกหรือ? สำหรับพระชายาเว่ยอ๋องแล้ว ราวกับกำลังมองดูบุตรีที่จากไปก่อนวัยอันควร ใจนางจะไม่สั่นไหวได้อย่างไร?
พระชายาเว่ยอ๋องสูดหายใจเข้าลึก วางถ้วยชาลงและเงยหน้าขึ้น มองเด็กสาวทั้งสองเบื้องหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะดึงทั้งคู่เข้ามาใกล้ ลูบหัวองค์หญิงต้วนเจี่ยและตบหลังมือฉู่เหลียนด้วยความอ่อนโยน เมื่อเห็นปิ่นหางเฟิ่งหวงที่ผมฉู่เหลียน ดวงตานางก็หรี่ลงส่งสายตาตำหนิให้องค์หญิงต้วนเจี่ย
“ดี ดี ข้าสั่งผ้ามาสองพับนี้มาเมื่อหลายวันก่อน คล้ายว่าชุดตัดเย็บออกมาได้ดีทีเดียว ดูเด็กสองคนนี้สิ ราวกับพี่น้องที่แต่งกายเหมือนกันไม่มีผิด”
องค์หญิงต้วนเจี่ยยิ้มสดใสเป็นการตอบ ราวกับปฏิกิริยาของมารดาเป็นสิ่งที่นางคาดไว้แล้ว อีกทางหนึ่ง ฉู่เหลียนที่กำลังปกปิดอาการตกตะลึงของตนเอาไว้ก็ไม่ลืมที่จะตอบกลับไปตามมารยาท “เป็นองค์หญิงต้วนเจี่ยที่เลือกได้ดีเพคะ”
“เอาล่ะ วันนี้พวกเจ้าทั้งสองคนผ่านเรื่องที่น่าตกใจกันมามาก ข้าจะเตรียมองครักษ์ไปส่งฉู่เหลียนกลับจวนแล้วกัน และวันหลังจะส่งเทียบเชิญให้ฉู่เหลียนมาอยู่เป็นเพื่อนข้าและองค์หญิงต้วนเจี่ยอีก”
นางไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาผ่านไปไวถึงเพียงนี้กระทั่งยามนี้ก็เย็นเสียแล้ว องค์หญิงต้วนเจี่ยทราบดีว่าการให้ฉู่เหลียนอยู่ต่อที่นี่คงไม่เหมาะ จึงทำได้เพียงตกลงส่งสหายรักกลับจวนพร้อมองครักษ์ อีกทั้งองค์หญิงยังเดินมาส่งฉู่เหลียนถึงประตูเรือนด้วยตนเอง เมื่อฉู่เหลียนขึ้นรถม้าแล้ว จึงมีท่าทียอมตัดใจปล่อยให้นางกลับได้ “ฉู่เหลียน ห้ามลืมเด็ดขาดว่าเจ้าได้ให้สัญญาไว้ว่าจะทำเป็ดย่างร่วมกับข้า”
ฉู่เหลียนตบหลังมือองค์หญิงเบา ๆ เพื่อปลอบใจ “องค์หญิง ท่านต้องกลับเข้าไปในเรือนได้แล้วเพคะ อย่าให้พระชายาเว่ยอ๋องทรงกังวล หม่อมฉันไม่ลืมสัญญาของพวกเราแน่ คราวหน้าที่มาใหม่ หม่อมฉันจะนำคุกกี้หน้าแมวมาด้วย”
เมื่อรถม้าที่ฉู่เหลียนนั่งจากไป องค์หญิงต้วนเจี่ยจึงหันกลับเข้าเรือนโดยให้สาวใช้ประคองไป
ในขณะที่องค์หญิงไปส่งฉู่เหลียนนั้น จิ่นซิ่ว หนึ่งในสาวใช้ขององค์หญิงต้วนเจี่ยก็ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนี้ให้พระชายาเว่ยอ๋องฟังโดยละเอียดแล้ว
หลานหมัวมัวเสนอความคิดตน “ต้องขอบคุณนายหญิงสามจวนจิ่งอันผู้นั้นโดยแท้ องค์หญิงจึงกลับมาได้โดยปลอดภัย ไม่แปลกเลยว่าเหตุใดองค์หญิงจึงได้ยอมใกล้ชิดสนิทสนมกับนาง ทั้งยังปฏิบัติต่อนางดั่งพี่น้องแท้ ๆ”
สายตาพระชายาเว่ยอ๋องมืดมนลงเล็กน้อย นางยืนขึ้นกะทันหัน เดินเข้าห้องนอนที่อยู่ลึกเข้าไปในเรือน เมื่อกดลงบนจุดหนึ่งของโต๊ะ ประตูบานเล็กที่ถูกอำพรางไว้ก็ปรากฏขึ้นที่ผนังห้องนอน พระชายาเว่ยอ๋องเดินผ่านประตูนั้น ตรงไปยังโต๊ะที่เต็มไปด้วยสิ่งของ นางหยิบเอาตลับเล็ก ๆ บนโต๊ะขึ้นมาเช็ดด้วยผ้าเช็ดหน้าอย่างทะนุถนอม
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาด้านหลัง พระชายาเว่ยอ๋องก็อดมิได้อีกต่อไป น้ำตาค่อย ๆ หลั่งริน นางเอ่ยถาม “หมัวมัว เจ้าว่าเป็นหนี่เอ๋อร์กลับมาหรือไม่? ยามนั้นหมอหลวงบอกข้าว่าหนี่เอ๋อร์จากไปทันทีที่คลอด เพราะนางต้องการปกป้องน้องสาว นางมอบสารอาหารทั้งหมดในครรภ์มารดาแก่น้องสาว ทำให้นางไม่อาจมีชีวิตรอดมาได้ ยามนี้ต้วนเจี่ย… ก็เป็นนางที่ช่วยไว้อีกครา…”
แม้ดวงใจหลานหมัวมัวจะเจ็บปวดแทนพระชายา นางยังเห็นว่านายของตนดูคล้ายเหม่อลอยไป ร่างกายของพระชายาได้รับการกระทบกระเทือนยามคลอดฝาแฝดจึงไม่อาจตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรได้อีก นอกจากนี้ขณะที่กำลังให้กำเนิดบุตร องค์หญิงพระองค์โตมิได้หายใจยามที่ออกจากครรภ์ องค์หญิงต้วนเจี่ยจึงเป็นยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจของพระองค์ นางจึงได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มีดูแลองค์หญิงผู้นี้เทียบเท่าดูแลเด็กถึงสองคน
ความสูญเสียเป็นบาดแผลในใจอันใหญ่หลวงนัก แม้พระชายาจะไม่เอ่ยถึง ทว่ายังคงมีป้ายวิญญาณขององค์หญิงน้อยเก็บไว้เป็นความทรงจำที่แสนเศร้า และไม่เคยรู้สึกดีขึ้นจากความสูญเสียที่มีเลย คล้ายว่าจิตใจส่วนหนึ่งของนางได้พังทลายลง
หลานหมัวมัวมองนายหญิงสามจวนจิ่งอันผู้นั้นในแง่ดีเช่นกัน หากนายหญิงสามเป็นผู้มีจุดประสงค์ไม่ดี นางย่อมเตือนพระชายาเว่ยอ๋องแล้ว ทว่าในวันนี้คุณหนูหกตระกูลฉู่ได้ช่วยชีวิตองค์หญิงต้วนเจี่ยไว้โดยไม่ใส่ใจชีวิตของตน
หลานหมัวมัวทอดถอนใจ และเห็นด้วยกับสิ่งที่พระชายาเชื่อ “บางทีคุณหนูหกสกุลฉู่คงมีชะตาที่ผูกพันกับองค์หญิงจริง ๆ กระมังเพคะ! แม้จะออกเรือนแล้ว ทว่านางก็ยังมีอายุไล่เลี่ยกับองค์หญิง กระทั่งรูปร่างหน้าตาก็คล้ายคลึงกัน หากวันนี้ทั้งคู่แต่งกายเช่นนี้ออกไปข้างนอก ต้องถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพี่น้องกันเป็นแน่! และวันนี้นางก็ได้ช่วยชีวิตองค์หญิงไว้ พระชายาย่อมต้องดูแลนางให้ดีเป็นเรื่องธรรมดาเพคะ”
พระชายาเว่ยอ๋องได้ยินคำของหลานหมัวมัวก็สบายใจ นางวางตลับในมือลง “หมัวมัว เจ้าพูดถูก เด็กคนนั้นสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ เพราะวันนี้นางช่วยชีวิตต้วนเจี่ยของข้าไว้”
หลานหมัวมัวเห็นพระชายากลับมาสงบเยือกเย็นดังปกติก็ผ่อนคลายลง
ขณะเดียวกัน ฉู่เหลียนที่ผ่านความรวนเรทางอารมณ์มาในวันนี้ พอได้อยู่ในรถม้าก็รู้สึกผ่อนคลายลง
เวิ่นหลานช่วยโบกพัดอยู่ที่ด้านหนึ่ง ส่วนฉู่เหลียนก็เอนกายพิงหน้าต่างรถม้า หลับตาลงพักผ่อน ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยถามขึ้น “เสื้อผ้ากับเครื่องประดับที่ข้าถอดออกไปอยู่ไหนแล้วเล่า?”