ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 65 เหรียญตราแห่งรัก
“เรื่องเหล่านั้นข้าย่อมต้องรู้ดี! เพียงมิคาดว่าภริยาที่เลือกให้ซานหลางจะเป็นดาวนำโชคจริง ๆ”
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ! หากนายหญิงสามรักษาความสัมพันธ์กับจวนเว่ยอ๋องได้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อจวนเรายิ่ง”
เว่ยอ๋องสนิทสนมกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และไม่ข้องเกี่ยวการเมือง ทั้งจวนเว่ยอ๋องยังเลื่องชื่อเรื่องความซื่อตรง ดังนั้นการมีสายสัมพันธ์กับจวนเว่ยอ๋องย่อมมีแต่คุณ ไร้ซึ่งโทษ
“เหล่าไท่จวินเจ้าคะ บ่าวไม่ทราบว่าควรเอ่ยดีหรือไม่…”
เฮ่อเหล่าไท่จวินมองเหลียวหมัวมัว “เจ้าบ่าวโง่ ต่อหน้าข้ามีสิ่งใดบ้างที่เจ้าพูดไม่ได้กัน”
เหลียวหมัวมัวค่อย ๆ นวดไล่ไปยังใบหน้าเหล่าไท่จวิน “เหล่าไท่จวิน บ่าวชราผู้นี้เพียงแต่สงสัย ท่านได้สังเกตสีหน้านายหญิงใหญ่วันนี้หรือไม่ บ่าวเกรงว่าความคิดของนายหญิงใหญ่จะมุ่งไปผิดทิศผิดทาง…”
เฮ่อเหล่าไท่จวินนิ่งเงียบไป
ภรรยาเจ้าต้าหลาง!
เมื่อฉู่เหลียนกลับถึงเรือนซงเถา นางก็ทานอาหารง่าย ๆ กับขนมเล็กน้อยก่อนกลับห้องนอน วันนี้นับเป็นวันที่เหนื่อยทั้งกายทั้งใจจริง ๆ จึงอยากจะเข้านอนแต่หัววัน เอนกายหลับพักผ่อนดี ๆ เสียหน่อย
ฉู่เหลียนไม่รั้งตนให้ต้องนึกถึงปัญหาที่ยังเรื้อรังอยู่ ตัดสินใจปล่อยไปคิดในวันพรุ่งนี้ดีกว่าฝืนตนเองตลอดคืน
ฝูเยี่ยนเลิกผ้าม่านบังเตียงขึ้น คราแรกจ้องฉีเยี่ยนที่ยืนตัวตรงเฝ้าห้องนอนอยู่ จากนั้นก็ลอบมองฉู่เหลียนที่หลับอยู่บนเตียง
แม้สีหน้าไม่แสดงออก แต่ความอยากรู้อยากเห็นของนางก็มีมากเสียใจเกลียดตนเองนักที่ถามฉีเยี่ยนเรื่องวันนี้ทันทีมิได้
นางอยากทราบว่าวันนี้ยามออกนอกจวน นายหญิงสามได้ไปพบกับคุณชายเซียวหรือไม่ นายหญิงลอบคบชู้กับคุณชายเซียวจริงหรือไม่? รวมไปถึงเสื้อผ้าที่ดูสูงส่งที่นายหญิงสามสวมกลับมาในวันนี้ก็น่าสงสัยเช่นกัน นางคงไม่ได้เปลี่ยนชุดหลังไปพบกับคุณชายเซียวใช่หรือไม่?
ภาพสถานการณ์มากมายปรากฏขึ้นในใจฝูเยี่ยน เมื่อคิดถึงใบหน้าเยือกเย็นหล่อเหลาของคุณชายสาม นางก็จิกฝ่ามือตนเองเพื่อเพิ่มเติมความกล้าหาญ
คุณชายสามดูดียิ่ง หากนายหญิงสามทรยศต่อคุณชายสาม นาง…นางย่อมไม่ปล่อยให้เรื่องดำเนินไปเช่นนี้!
ยามนี้ความคิดฝูเยี่ยนวนเวียนอยู่กับความหล่อเหลาของเฮ่อฉางตี้ ทว่าหากนางได้เห็นสภาพปัจจุบันที่แสนกระเซอะกระเซิงยามนี้ที่ชายแดนเหนือ นางคงไม่อาจใช้คำว่า ‘หล่อเหลา’ เพื่อบรรยายลักษณะของเขาไปได้อีกพักใหญ่
เมื่อยามบ่ายกว่า ๆ หลังเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เซียวป๋อเจี้ยนหลบหนีออกจากร้านน้ำชาเต๋อเฟิงได้ทันก่อนกองกำลังรักษาเมืองจะมาถึง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่หลบอยู่บริเวณใกล้ ๆ นั้น
ในตอนนั้น เขายืนอยู่ในร้านขายผ้าฝั่งตรงข้ามร้านน้ำชา เซียวป๋อเจี้ยนยังคงกำหมัดแน่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงตาขุ่นมัวที่จ้องมองอาคารเบื้องหน้านั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหดหู่ราวกับตนเป็นผู้ติดอยู่ภายในเสียเอง ท้ายที่สุดก็หันไปสั่งเว่ยเจี่ยเสียงต่ำ “เจ้าจงไปที่ร้านเต๋อเฟิง ตรวจสอบดูว่าเหลียนเอ๋อร์ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
สีหน้าขององครักษ์ที่มีหน้าตาแสนจะธรรมดาไม่ชวนจดจำนั้นบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย ทว่าท้ายสุดก็มิอาจขัดคำสั่งผู้เป็นนายได้ เขารับคำสั่งก่อนจะกลืนหายไปในฝูงชนบนถนน
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เว่ยเจี่ยก็กลับมา
เซียวป๋อเจี้ยนย้ายไปนั่งอยู่ที่ห้องหนึ่งในชั้นสองของร้านขายผ้า สีหน้าดูใจเย็น ทว่าน้ำเสียงกลับสะท้อนความวิตกอยู่ภายใน “เป็นอย่างไรบ้าง?”
เว่ยเจี่ยกำหมัดคารวะ “รายงานนายท่าน คุณหนูหกสกุลฉู่ปลอดภัยแล้ว นายท่านโปรดวางใจ ตอนนี้กองกำลังรักษาเมืองจัดการนักฆ่าทั้งหมดได้แล้วขอรับ”
เซียวป๋อเจี้ยนเห็นท่าทางลังเลของเว่ยเจี่ยยามกล่าวคำ สีหน้าของเขาจึงเรียบนิ่งและดูดุดันขึ้น “เจ้าปิดบังอะไรข้า? พูด!”
เว่ยเจี่ยหวาดกลัวสีหน้าอันตรายที่นาน ๆ ครั้งจะปรากฏบนใบหน้าของผู้เป็นนาย ซึ่งยามนี้ก็ปรากฏอยู่ชัดเจน ทั่วร่างของเขาสั่นสะท้านขณะหยิบหยกชิ้นงามออกจากแขนเสื้อ แล้วส่งให้ผู้เป็นนายด้วยสองมือย่างเคารพ “นายท่าน บ่าวเจอสิ่งนี้ในห้องส่วนตัวที่โรงน้ำชาของคุณหนูหกสกุลฉู่ขอรับ”
เซียวป๋อเจี้ยนยื่นมือไปรับหยกเครื่องราง นิ้วเรียวสัมผัสผิวหยกชั้นเลิศที่สลักลายประณีตงดงาม และนึกได้ว่าสิ่งนี้คือหยกเครื่องรางที่ฉู่เหลียนสวมใส่มาในวันนี้แน่นอน
ลวดลายสลักบนผิวหยกยิ่งงามเกินกว่าสิ่งใดจะเทียบเท่า ยังคงมีขนาดพอเหมาะไม่ว่าจะชายหรือหญิงล้วนสวมใส่ได้ ผ้าปักที่คล้องคู่เป็นสีชมพูสดใสอาจเพราะเป็นของฉู่เหลียน หากเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มหรือเขียวเข้มย่อมเหมาะกับบุรุษเช่นกัน
เซียวป๋อเจี้ยนไม่คิดว่าฉู่เหลียนจะประมาทละเลยทิ้งของมีค่าเช่นนี้ไว้ได้ มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น…คือนางจงใจทิ้งมันเอาไว้…
ส่วนหยกเครื่องรางชิ้นนี้จะถูกทิ้งไว้ให้ใคร วันนี้มีบุรุษเพียงผู้เดียวที่เข้าไปในห้องนั้น ความหมายทุกอย่างย่อมชัดเจนแน่แล้ว
อารมณ์หลากหลายถั่งโถม เซียวป๋อเจี้ยนกำเครื่องรางไว้ในมือ ดวงตาทอประกายวูบหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้ยินรายงานของเว่ยเจี่ย ความปรารถนาในใจกลับยิ่งเติบโตกล้าแข็ง
เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเหลียนเอ๋อร์ของเขาจะทั้งฉลาดและใจเย็นถึงเพียงนั้น หากเป็นตัวเขาที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น คงไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างเฉลียวฉลาด กล้าหาญเฉกเช่นที่ฉู่เหลียนทำ
ช่วยเหลืออ๋องสี่ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับจวนเว่ยอ๋อง เหลียนเอ๋อร์ของเขาเป็นคนเช่นนั้นโดยแท้
ดวงตาเซียวป๋อเจี้ยนทอประกายลุกโชน ทุกคราวที่ค้นพบตัวตนด้านใหม่ ๆ ของนาง ยิ่งทำให้ยากจะปล่อยมือ กระทั่งยามนี้นางตบแต่งกับบุรุษผู้อื่นไปแล้ว ความรักของเขาที่มีต่อนางกลับไม่เคยลดน้อยลง ไม่แม้แต่นิดเดียว!
มีเพียงเขาที่เหมาะสมและคู่ควรกับเหลียนเอ๋อร์!
เขาเคยวางแผนว่าจะค่อย ๆ เข้าหาฉู่เหลียน สร้างโอกาสให้พบกันมากขึ้นทีละน้อย ทว่าเฮ่อซานหลางอะไรนั่นกลับอาสาไปยังชายแดนเหนือด้วยตนเอง
เหอะ! เช่นนั้นคงไม่จำเป็นต้องพะว้าพะวังแล้ว เขายังมีเวลาอีกมากเพื่อวางแผนการให้สตรีที่เขารักก้าวเดินทีละก้าวสู่กับดักที่วางไว้อย่างแยบยล ท้ายสุดก็เพียงเพื่อให้กลายเป็นของเขาเท่านั้น
แม้ยามนี้ยังอยู่ระหว่างการสร้างฐานอำนาจ ทว่าคงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวพวกตระกูลเล็ก ๆ เช่น จวนจิ่งอัน แม้ว่าภายในตระกูลจะเต็มไปด้วยแม่ทัพนายกอง ทว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงโปรดปรานขุนนางฝ่ายบุ๋นมากกว่า เว้นเสียแต่จะเป็นหน่วยมังกรพิทักษ์และพยัคฆ์พิทักษ์ ซึ่งนอกจากแม่ทัพชายแดนแล้วก็ยากนักที่ขุนนางฝ่ายบู๊จะสามารถขับเคลื่อนงานในราชสำนักได้
เมื่อการสอบรอบฤดูใบไม้ร่วงจบลง นั่นย่อมต้องเป็นเวลาที่เขาจะได้บรรลุในความมุ่งหมายที่ตั้งไว้!
เว่ยเจี่ยเห็นความเปลี่ยนแปลงในดวงตานายท่านผู้ยังคงถือหยกเครื่องราง จึงกระแอมไอสองครั้งและกล่าว “นายท่าน ยามที่บ่าวไปสืบเรื่องนักฆ่าเหล่านั้น บ่าวเห็นว่าที่แขนซ้ายของพวกมันมีตราประทับมืดด้วยขอรับ”
ตราประทับมืดหรือ? เซียวป๋อเจี้ยนหรี่ตาเล็กน้อย
เว่ยเจี่ยเห็นเซียวป๋อเจี้ยนไม่พูด จึงรายงานต่อ “เท่าที่บ่าวทราบ ตราประทับมืดนี้เป็นเคล็ดวิชาลับของราชวงศ์ก่อน ในตราประทับนั้นจะมีหนอนพิษอยู่ เมื่อนักฆ่าทำภารกิจล้มเหลว ผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่มีอำนาจควบคุมหนอนพิษจะเปิดใช้งานตราประทับมืด และบังคับนักฆ่าให้ฆ่าตัวตาย”
เซียวป๋อเจี้ยนโบกมือไม่กล่าวสิ่งใด ทำท่ารับรู้แล้ว
เห็นสีหน้านายท่านแล้ว เว่ยเจี่ยก็ไม่กล่าวต่อ ทว่าในใจยังคงครุ่นคิดหาต้นตอของเหตุการณ์การลอบฆ่านี้ นักฆ่าลึกลับเหล่านั้นถูกส่งไปลอบสังหารอ๋องสี่และองค์หญิงต้วนเจี่ย จะใช่ฝีมือผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนหรือไม่?
ราชวงศ์อู่ปกครองบ้านเมืองมาหลายปีแล้ว หากยังหลงเหลือสายเลือดของราชวงศ์ก่อน ยามนี้อำนาจย่อมควรจางหาย เหตุใดจึงยังมีอำนาจมากพอที่จะส่งนักฆ่ามาตามล่าสังหารท่านอ๋องและองค์หญิงกลางวันแสก ๆ เช่นนี้ได้ ทั้งโรงน้ำชาเต๋อเฟิงยังตั้งอยู่บนหนึ่งในถนนสายหลักของเมืองหลวงด้วยแล้ว?
เรื่องนักฆ่าลึกลับเหล่านี้คงต้องสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว
เช้าวันต่อมาฉู่เหลียนตื่นเช้ากว่าปกติ เนื่องจากเมื่อวานเข้านอนแต่หัวค่ำ
นางคิดเรื่องอาหารเช้าไว้ตั้งแต่คืนก่อนแล้ว เป็นอาหารมังสวิรัติจับคู่กับข้าวต้มผักดองเกลือ
เมื่อทานมื้อเช้าเสร็จ ฉู่เหลียนเห็นว่ายังเช้าอยู่ จึงกลับไปฝึกคัดลายมือที่ห้องหนังสือต่อ
ยามนี้ลายมือของนางเริ่มดูเข้ารูปเข้ารอยขึ้นบ้างแล้ว ถึงอย่างไรก็เคยมีประสบการณ์ในการเขียนอักษรตัวย่อด้วยปากกามาก่อน ตอนนี้ก็แค่ต้องเรียนวิธีใช้พู่กันโบราณและเขียนตัวอักษรแบบตัวเต็มเท่านั้น คราแรกที่ลองเขียนนั้นยังไม่คุ้นเคยนัก ทว่าฝึกไปได้เพียงไม่กี่วันก็เริ่มไม่มีปัญหากับคำศัพท์ทั่วไปในชีวิตประจำวันแล้ว แต่หากจะให้เขียนเหมือน ‘ฉู่เหลียน’ เลยนั้นคงเป็นไปไม่ได้
อย่างแรก นางไม่เก่งเรื่องคัดลอกลายมือ อย่างที่สอง เจ้าของร่างเดิมแทบจะไม่มีตัวอย่างลายมือให้นางได้ดู นอกจากนั้นตัวนางเองก็ไม่ได้พยายามจะเหมือน ‘ฉู่เหลียน’ อยู่แล้วด้วย พวกนางเป็นคนละคนกันตั้งแต่แรกแล้ว!
แม้การใช้พู่กันและเขียนอักษรตัวเต็มจะง่ายพอควร แต่นางยังต้องฝึกฝนอีกมากเพื่อให้ลายมือผ่านเกณฑ์
ฉู่เหลียนใช้ปากกาบ่อยกว่าพู่กัน นางจึงสั่งให้ฉีเยี่ยนไปหาขนห่านและประดิษฐ์เป็นปากกาขนนกเอาไว้ใช้เอง ยามที่อยากฝึกเขียนลายมือให้งดงามกว่าปกติ หรือจำเป็นต้องเขียนนาน ๆ นางก็จะใช้ปากกาขนนกแทน
เมื่อฝึกคัดลายมือจนเต็มกระดาษสองแผ่น ฉู่เหลียนก็ไปยังเรือนชิ่งสี่คารวะเหล่าไท่จวินประจำวัน จากนั้นจึงไปเยี่ยมเยียนแม่สามีที่เรือน
แต่ใครจะทราบว่าเช้าวันนี้ฉู่เหลียนจะได้รับสิ่งที่คาดไม่ถึง นั่นคือจดหมายจากเฮ่อฉางตี้ที่อยู่ไกลถึงชายแดนเหนือ!
เฮ่อเหล่าไท่จวินยิ้มกว้างขณะส่งจดหมายมาให้ ทำทีเหมือนกำลังปลื้มปีติกับความรักของคู่รักหวานชื่นอย่างไรอย่างนั้น
มุมปากฉู่เหลียนกระตุก นางแสดงสีหน้าตามปกติขณะรับจดหมายพูดอะไรไม่ออก แต่เหล่าไท่จวินกลับเข้าใจไปว่าฉู่เหลียนกำลังเขินอาย จึงได้ไล่นางให้ไปอ่านจดหมายในที่ส่วนตัว ทั้งยังไม่พลาดกำชับให้ฉู่เหลียนเขียนจดหมายตอบกลับเมื่ออ่านจบ เพราะชายผู้ส่งจดหมายมายังคงรอจดหมายตอบกลับไปที่ชายแดนเหนืออย่างแน่นอน!
เห็นสีหน้ายินดีของเฮ่อเหล่าไท่จวิน ฉู่เหลียนรู้สึกคล้ายคนโง่งมไป ก่อนจะนึกได้ว่าเมื่อคืนเหลียวหมัวมัวกล่าวอะไรกับนางบ้างยามส่งนางกลับเรือนซงเถา ยิ่งทำให้อารมณ์ของฉู่เหลียนย่ำแย่ลง
ถ้อยคำของเหลียวหมัวมัวปรากฏขึ้นในใจ “นายหญิงสาม โปรดอย่าว่าบ่าวที่กล่าวเรื่องนี้เลยนะเจ้าคะ ฮูหยินสุขภาพไม่ดีตั้งแต่คลอดคุณชายสาม บ่าวชราผู้นี้จึงเป็นผู้ดูแลเขามาแต่เล็กแต่น้อย บ่าวเห็นพวกท่านสองคนใกล้ชิดกันก็ยินดียิ่งนัก ทว่ายามนี้คุณชายสามย่อมกำลังลำบากอยู่ที่ชายแดนเหนือ นายท่านของเราก็ช่วยเหลืออะไรเขาไม่ได้ ตอนนี้เขาจึงอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง ไม่มีมิตรสหายร่วมแบ่งทุกข์สุข แม้เมืองหลวงจะมีอากาศร้อน ทว่าที่นู่นกลับหนาวเหน็บ โดยเฉพาะในยามค่ำคืน ทั้งบ่าวยังได้ยินว่าหากไม่มีเสื้อกันหนาวสวมใส่ บางคนที่ไปอยู่ที่นั่นถึงกับไม่รอดชีวิต คุณชายสามจากไปอย่างเร่งรีบถึงเพียงนั้น บ่าวจึงไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าคุณชายจะนำของใช้ส่วนตัวไปเพียงพอหรือไม่…”
เมื่อเหลียวหมัวมัวคร่ำครวญเสร็จ ฉู่เหลียนก็เข้าใจได้ทันทีว่าหมัวมัวผู้นี้มีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว นั่นคือทำให้ฉู่เหลียนซึ่งเป็นภริยาของซานหลางช่วยเอาอกเอาใจคุณชายสามผู้ทุกข์ระทมตกระกำลำบากและต้องอยู่อย่างเดียวดายให้มากกว่านี้หน่อย
หากนางเป็นภรรยาที่เอาใจใส่และจัดเตรียมเสื้อผ้าให้แก่สามีรักของนางย่อมเป็นเรื่องที่ดียิ่ง แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ฉู่เหลียนพูดไม่ออกทั้งที่ก็หมั่นไส้ในตัวเขาอยู่มาก ถึงอย่างนั้นนางก็สามารถบอกได้เลยว่าเหลียวหมัวมัวเอาใจใส่เฮ่อซานหลางยิ่ง ราวกับเป็นบุตรแท้ ๆ ของตนเลยทีเดียว
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้ผิดอะไร
ฉู่เหลียนเห็นด้วยกับความคิดของเหลียวหมัวมัว ไม่ว่าเฮ่อฉางตี้จะทำตัวเลวร้ายกับนางสักเพียงใด แต่ในฐานะภรรยาหลวง นางย่อมถูกคาดหวังให้ทำตามหน้าที่นั้น ส่วนสามีบ้า ๆ นั่น หึ ตราบใดที่เขาไม่ได้อยู่แถวนี้คอยหาเรื่องนาง ก็คงไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล
ความคิดของฉู่เหลียนนั้นเรียบง่ายมาก
เมื่อกลับถึงห้องหนังสือ นางก็นั่งลงที่โต๊ะ วัดความหนาของซองจดหมายด้วยนิ้วมือ มันเรียกได้ว่าหนามากทีเดียว ในซองจดหมายนี้คงมีจำนวนหลายแผ่นเป็นแน่!