ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 7 การทานเนื้อกวาง
ฉู่เหลียนใช้นิ้วมือเรียวขาวหยิบส้มกิมจ้อเชื่อมมาชิมชิ้นหนึ่ง รสชาติของมันช่างหวานสดชื่นและไม่รู้สึกเลี่ยน เมื่อแรกกัด นางสัมผัสได้ถึงความชุ่มฉ่ำของเนื้อส้มซึ่งเข้ากันดีกับรสชาติหอมหวานของน้ำผึ้ง และเมื่อกลืนลงไป ในปากของนางก็อวลไปด้วยกลิ่นหอมของส้มกิมจ้อ แต่เนื่องจากฉีเยี่ยนเป็นคนทำ นางจึงใส่น้ำตาลกรวดมากไปหน่อย รสชาติจึงยังติดหวานอยู่บ้าง นอกเหนือจากนั้นถือว่านางทำออกมาได้ดีทีเดียวสำหรับครั้งแรก
ฉีเยี่ยนมองสีหน้าฉู่เหลียนอย่างกังวล รอคอยการตัดสินจากนาง
ฉู่เหลียนทานเสร็จไปชิ้นหนึ่งก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน “ทุกคน ลองชิมดูคนละชิ้น”
บ่าวรับใช้อีกสามคนที่เหลือซึ่งมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง เมื่อได้ยินดังนี้พวกนางก็ไม่อาจห้ามตัวเองต่อไปได้ มุ่งมาหยิบไปคนละชิ้น ๆ โดยที่จริงแล้วทุกคนต่างถูกส้มกิมจ้อเชื่อมจานนี้ดึงดูดตั้งแต่ยามที่ฉีเยี่ยนยกเข้ามาแล้ว
ส้มกิมจ้อนั้นมีรสจัด หากทานเปล่า ๆ จะค่อนข้างเปรี้ยวเมื่อเทียบกับผลไม้อื่น ๆ ทว่าหลังจากผ่านกระบวนการแปรรูปแล้ว รสจัดจ้านและความเปรี้ยวของมันกลับมลายหายไปจนสิ้น และถูกแทนที่ด้วยกลิ่นหอมหวานที่ลอยฟุ้งไปทั่ว
สาวใช้ลองกัดอย่างระมัดระวัง ก่อนที่ดวงตาจะลุกโพลงขึ้นกะทันหัน
หมิงเยี่ยนพยักหน้าอย่างเขินอาย เมื่อเห็นดังนั้นฉู่เหลียนจึงตระหนักในตอนนี้เองว่าหญิงสาวนั้นเขินอายได้มากน้อยเพียงใด
ดังที่คาดไว้ หากไม่มีสิ่งใดมาให้เปรียบเทียบ สาวใช้ทุกคนต่างก็บอกว่าขนมฟักทองนั้นดีที่สุด ทว่าหลังจากได้ลิ้มลองขนมที่ทำขึ้นตาม ‘สูตรลับ’ ของฉู่เหลียนแล้ว ในที่สุดพวกนางต่างก็เข้าใจว่าเหตุใดนายหญิงสามจึงกล่าวว่าของว่างเหล่านั้นรสชาติไม่ถูกปาก
“เป็นอย่างไรบ้าง? ” ฉู่เหลียนยิ้มถาม
สาวใช้ทุกนางพยักหน้าอย่างแรง ราวกับไก่จิกข้าวเปลือกอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อฉู่เหลียนเห็นพวกนางยังอยากทานอีก ก็หันไปมองถาดดินเผาที่เต็มไปด้วยส้มกิมจ้อที่วางอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ก่อนจะสั่งฉีเยี่ยน “ฉีเยี่ยน เอาพวกนั้นไปทำส้มกิมจ้อเชื่อมเถอะ คราวนี้ใส่น้ำตาลกรวดให้น้อยลงหน่อย ใช้เพียงสองถ้วยเล็กก็พอ ข้าจะส่งไปให้ท่านย่าและท่านแม่เอง ส่วนที่เหลือพวกเจ้าก็เอาไปแบ่งกัน”
ส้มกิมจ้อเชื่อมสามารถทานเป็นของว่างได้ หรือนำมาชงเป็นชาผลไม้ก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังช่วยให้ปราณชี่ไหลเวียนได้ดีขึ้น และมีฤทธิ์ขจัดเสมหะ หากทานร่วมกับพุทราจีน ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อสตรีสูงอายุ
ฉีเยี่ยนเพิ่งจะเรียนวิธีทำของว่างชนิดนี้ จึงอยากฝึกทำอีก เพราะหากทำได้สำเร็จ นายหญิงสามก็จะสามารถนำส้มกิมจ้อเชื่อมนี้มาใช้แสดงความสามารถให้ตระกูลเฮ่อได้เห็น เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉู่เหลียนก็จะสามารถอยู่ในจวนตระกูลเฮ่อนี้ได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น
ดูท่าว่าเฮ่อเหล่าไท่จวินคงมีเรื่องพูดคุยกับเฮ่อฉางตี้มากทีเดียว ตอนที่เขากลับมาก็เกือบจะเป็นยามอู่แล้ว
แม้ฉู่เหลียนจะไม่ได้ต้องการข้องเกี่ยวกับเขานัก ทว่าเมื่อแต่งงานกันแล้ว นางก็จำต้องปฏิบัติตามธรรมเนียม
ทั้งคู่ตั้งใจจะรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันในเรือนส่วนตัว
หลังจากสั่งให้สาวใช้ไปแจ้งที่ครัวแล้ว ไม่ถึงครึ่งชั่วยามต่อมา ทางครัวก็ส่งบ่าวรับใช้มาพร้อมสำรับอาหาร
หมิงเยี่ยนและสาวใช้ที่เหลือช่วยกันตระเตรียมวางจานอาหาร ก่อนจะประคองฉู่เหลียนออกจากห้องเพื่อทานอาหารกลางวัน ส่วนทางเฮ่อฉางตี้เมื่อกลับมาจากเรือนของเฮ่อเหล่าไท่จวินแล้ว ก็ผลุบเข้าไปในห้องหนังสือทันที เมื่อโต๊ะอาหารถูกจัดแจงเสร็จสิ้น กุ้ยหมัวมัวจึงเป็นผู้ไปแจ้งเขา
ฉู่เหลียนไม่ได้ทานอะไรมากนักในตอนเช้า และของว่างที่ฉีเยี่ยนนำมาให้นางเป็นพิเศษก็ไม่ใช่แบบที่นางชอบ และถึงแม้ว่านางจะได้ทานส้มกิมจ้อเชื่อมไปสองชิ้น แต่ของหวานเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำให้นางอิ่มได้ นางจึงได้แต่อดทนรอจนกระทั่งถึงมื้อกลางวัน หิวจะตายอยู่แล้ว!
หมิงเยี่ยนประคองนางไปที่ห้องรับแขก นางมองโต๊ะอาหารอย่างคาดหวังมาตั้งแต่ระยะไกล
ทว่าเมื่อเห็นอาหารสี่ถึงห้าจานที่จัดเรียงอยู่ตรงนั้น ดวงตาทอประกายของนางก็วูบดับลงอย่างผิดหวังราวกับเด็กน้อยที่ถูกแย่งลูกอม
อะไร… ไอ้พวกนี้มันอะไรกัน?
ผู้คนในยุคราชวงศ์อู่ล้วนแต่งกายงดงามล้ำเลิศ คล้ายกับยุคราชวงศ์ถัง ทว่า… ทำไมอาหารการกินถึงได้เลวร้ายขนาดนี้!
ดู ดู! ดูบนโต๊ะเอาเถอะ!
มีปิ่งซือขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือของนางอยู่จานหนึ่ง ซึ่งทำจากอะไรสักอย่างที่นางเองก็บอกไม่ได้ และยังมีเนื้อสีขาวชิ้นโต ผัดผัก กับซุปอะไรสักอย่างที่ใส่ปลา ดูอย่างไรก็ไม่น่ากิน…
นอกจากอาหารไม่กี่จานบนโต๊ะแล้ว สิ่งที่ดูจะน่าทานที่สุดคือข้าวเปล่าสองถ้วย อย่างน้อยข้าวแต่ละเม็ดก็ยังดูพอทานได้
นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดขนมอบแสนธรรมดาของจวนจิ่งอันถึงได้โด่งดังนัก เท่าที่ดูจากอาหารที่แสนจะไม่น่ากินพวกนี้แล้ว ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องปกติของเมืองนี้ แม้กระทั่งเครปเทียนจินที่ขายอยู่ข้างถนนยังอาจโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงแห่งนี้ได้เลย!
หมิงเยี่ยนเห็นมุมปากของนายสาวบิดลง สีหน้านางดูไม่ดีนัก จึงคิดว่าคงมีอะไรสักอย่างที่นายหญิงสามไม่ทานในอาหารเหล่านี้เป็นแน่ นางจึงถามอย่างวิตก “นายหญิงสาม มีจานไหนที่ท่านไม่ชอบหรือไม่เจ้าคะ?”
ฉู่เหลียนสะกดตัวเองไว้ไม่ให้กระอักเลือดออกมา นางพยายามกลบฝังความรู้สึกแย่ ๆ ในหัวแล้วส่ายหน้า พร้อมยกรอยยิ้มปลอม ๆ ขึ้นฉาบหน้าอีกครา “ไม่มีอะไร”
เมื่อหมิงเยี่ยนผ่อนคลายลง นางก็กระซิบข้างหูฉู่เหลียน “นายหญิงสาม ดูสิเจ้าคะ มีเนื้อกวางย่างด้วย! ที่จวนอิ้งเราไม่ได้ทานมากว่าหกเดือนแล้ว! ”
ฉู่เหลียนไม่รู้จะตอบอย่างไรดี คนรอบตัวนางชอบทานของประหลาดกันทุกคนเลยหรือ?
ในตอนนั้น เฮ่อฉางตี้ก็เข้ามาในห้องและมองฉู่เหลียนด้วยหางตา ก่อนจะนั่งลงที่หัวโต๊ะ ดูราวกับว่าเขาไม่ต้องการจะยุ่งกับภรรยาของตนแม้แต่น้อย
ฉู่เหลียนพยักหน้าทักทายเฮ่อฉางตี้ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากเขา
ฝูเยี่ยนและจิ่งเยี่ยนซึ่งคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างจัดส่งตะเกียบให้คนทั้งคู่
ฉู่เหลียนนิ่วหน้าและเอาแต่จ้องอาหารบนโต๊ะเสียจนไม่ได้สนใจเฮ่อฉางตี้ ซึ่งเหลือบมองนางเงียบ ๆ ด้วยหางตา
เมื่อเห็นสีหน้าของนาง เขาก็หัวเราะเย้ยหยันอยู่ในใจ โอ นางบ้านนอกจากจวนอิ้งกั๋วกงผู้นี้กลัวอาหารธรรมดา ๆ ของจวนจิ่งอันเสียจนโง่งมไปแล้ว! เหอะ! นางไม่รู้กระทั่งว่าควรจะเริ่มทานสิ่งใดก่อน น่าขายหน้านัก!
ขุนนางในเมืองนี้ต่างรู้ดีว่าจวนอิ้งกั๋วกงนั้นมิได้มีผลงานใดโดดเด่นดังเช่นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนอีกแล้ว แม้จะแผ่ขยายสาขากิ่งก้านตระกูลอย่างไรก็ตามในตอนนี้จวนอิ้งกั๋วกงจึงเป็นเพียงเปลือกอันว่างเปล่า หากยังมิสามารถให้กำเนิดบุตรชายเพื่อสืบทอดสายเลือดได้ เมื่ออิ้งกั๋วกงผู้เฒ่าสิ้นไปแล้ว… บรรดาขุนนางต่างเข้าใจพ้องกันโดยมิต้องเอ่ยคำใด เพราะนี่แปลว่าตระกูลอิ้งกำลังจะหายไป และกลายเป็นเพียงหนึ่งในจุดเล็ก ๆ ที่แต่งแต้มอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์เพียงเท่านั้น
เหอะ! ในชาติก่อนของเขา นังแม่มด ‘ฉู่เหลียน’ พยายามทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนตระกูลของนางเอง ทว่าในชีวิตใหม่นี้ เขาจะไม่มีทางให้เรื่องเดิม ๆ เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งแน่!
สายตาเย็นเยียบลึกล้ำวาบผ่านดวงตาสีดำสนิทของเฮ่อฉางตี้ เมื่อเขาหวนคิดถึงสิ่งที่ท่านย่าร้องขอไว้เมื่อตอนเข้าพบเป็นการส่วนตัวที่โถงชิ่งสี่ ผนวกกับที่นางสั่งให้เขาครองคู่อย่างสงบสุขกับฉู่เหลียนนับแต่นี้ไป เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาเห็นว่ามันช่างน่าขันเสียทีเดียว
หากทำได้ เขาจะบอกครอบครัวของเขาให้รับรู้ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้ว! หากทำได้ เขาจะให้ครอบครัวรู้ว่า ‘ฉู่เหลียน’ นั้นไร้ยางอายและเลวร้ายแค่ไหน!
แต่โชคร้ายนัก หากเขาทำเช่นนั้น ทั้งครอบครัวคงไม่มีใครเชื่อ และอาจคิดว่าเขาเป็นอะไรไปก็ได้
มือของเฮ่อฉางตี้กำตะเกียบแน่นโดยไม่รู้ตัว จนมันแทบจะหักมันออกเป็นสองส่วน
การกระทำผิดปกตินี้ย่อมดึงดูดความสนใจของฉู่เหลียน นางมองใบหน้าหล่อเหล่าที่คล้ายกำลังอดทนกับความเจ็บปวด นางขมวดคิ้วและเอ่ยถาม “สามี ท่านเป็นอะไรไป? ”
เสียงของฉู่เหลียนเหมือนค้อนที่ทุบลงบนบาดแผลฉกรรจ์ของเขา เฮ่อฉางตี้ตัวแข็งทื่อ ก่อนใช้เวลาอีกชั่วขณะเพื่อให้ใจเย็นลง
“ฮึ่ม! ทาน ๆ เข้าไปเถอะ! อาหารเหล่านี้คงหาได้ยากที่จวนอิ้งกระมัง!” น้ำเสียงของชายหนุ่มเย็นเยียบจนแทบจะแช่แข็งได้
ในชีวิตก่อน เมื่อครั้งเพิ่งแต่งงานใหม่ เขาเป็นผู้คีบอาหารวางใส่จานให้นาง หัวใจทั้งดวงถูกเติมเต็มด้วยความสุขเอ่อล้นเมื่อได้มองภรรยาผู้งดงามคีบอาหารจากจานเข้าปาก นางเคี้ยวไม่หยุด ครึ่งหนึ่งของอาหารที่มีบนโต๊ะถูกบรรจงวางเข้าไปอยู่ในท้องของนาง โดยเฉพาะเนื้อกวางย่างทั้งสองชิ้นที่นางเอ่ยชมตลอดมื้อ ภรรยาตัวน้อยของเขาคงผ่านความลำบากมามากที่จวนอิ้งเป็นแน่
ความทรงจำเหล่านั้นยังเล่นย้อนอยู่ในใจไม่หยุด ส่งผลให้สภาพจิตใจของเขายิ่งย่ำแย่และค่อย ๆ ถูกเทเติมด้วยความเกลียดชัง
เมื่อเห็นฉู่เหลียนที่ยังคงงุนงงและมิได้ขยับตะเกียบแม้แต่น้อย มุมปากของเขาก็หยักยกขึ้น ก่อนจะคีบเนื้อกวางทั้งสองชิ้นมาไว้ในจานตนเอง
ฉู่เหลียน: …
สาวใช้ทั้งสี่: …
กุ้ยหมัวมัว: …
ฉู่เหลียนชะงักงัน ไม่เข้าใจว่าคุณชายผู้นี้ต้องการจะทำสิ่งใด เพราะถึงอย่างไรบนโต๊ะอาหารนี้ก็หาได้มีสิ่งที่นางชอบไม่ โดยเฉพาะเนื้อกวางสองชิ้นนั้น อันที่จริงนางออกจะโล่งใจเสียด้วยซ้ำที่เขาเป็นผู้แก้ปัญหาให้นางด้วยการคีบทั้งสองชิ้นไปทานเอง!
นางอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ฉู่เหลียนลองคีบผักเบื้องหน้ามาชิม แม้ว่าพ่อครัวจะเติมเกลือและมันหมูลงไป ทว่าความสดใหม่และรสชาติอันเป็นธรรมชาติของผักก็ยังแผ่ซ่านไปทั่วปาก อืม… อร่อย!
ฉู่เหลียนลองทานอาหารทั้งสองจานที่คงเหลือไว้เพียงเล็กน้อย จึงพบว่าอาหารบนโต๊ะนี้มีอยู่เพียงสองรสเท่านั้น คือไร้รสชาติกับเค็ม นอกจากนั้นอาหารเหล่านี้ถูกทำแล้วทิ้งไว้นานเกินไป ความสดใหม่ของวัตถุดิบจึงหายไปหมด ถือว่าสอบตกทั้งหมดหากให้นางชิม!
หลังจากประเมินอาหารแต่ละจานในใจแล้ว สิ่งเดียวที่นางยังคงทานต่อไปได้ก็คือผัดผักในจานเล็ก ๆ ที่วางอยู่เบื้องหน้า
ด้วยความช่างเลือกของลิ้นนางจึงทานข้าวครึ่งจานไปได้อย่างยากเย็น อาหารจานหลักของนางก็แน่นอนว่าคือผัก
ตัวนางนั้นไม่ได้คิดมากอะไร แต่สีหน้าของหญิงรับใช้และกุ้ยหมัวมัวกลับเปลี่ยนไป
นายหญิงกลัวการกระทำของคุณชายเสียจนกล้าคีบทานแค่ผักเบื้องหน้า ส่วนคุณชายก็ทำกระทั่งทานอาหารที่ดีที่สุดบนโต๊ะเพียงคนเดียว โดยนายหญิงนั้นไม่ได้ทานเลยแม้แต่น้อย เหตุใดเขาจึงโหดร้ายนัก!
นายหญิงสามนั้นเปรียบได้ดั่งดอกไม้ตูม นางเพิ่งจะแต่งเข้าตระกูลจึงมิกล้าขัดใจนายน้อย ทว่าคุณชายก็กระทำเช่นนี้กับนางตั้งแต่เพิ่งแต่งงาน แล้วทั้งคู่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างไร หากเพียงเริ่มต้นก็เป็นเช่นนี้เสียแล้ว!
คิ้วของกุ้ยหมัวมัวขมวดเข้าหากันอย่างกังวลเมื่อนึกถึงอนาคตของฉู่เหลียน
ณ อีกมุมหนึ่ง มุมปากของฝูเยี่ยนโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ในเมื่อคุณชายมิได้รักใคร่ชอบพอคุณหนูหก เช่นนั้นก็หมายความว่านางมีโอกาส…
หมิงเยี่ยนและจิ่งเยี่ยนซึ่งยืนอยู่ข้างฉู่เหลียนต่างพากันตกใจกับสิ่งที่เฮ่อฉางตี้กระทำลงไป
เนื้อกวางสองชิ้นนั้นค่อนข้างใหญ่ แค่ชิ้นเดียวก็สามารถปิดปากชามได้แล้ว
จวนจิ่งอันทานเนื้อกวางอยู่เสมอ ทว่าเฮ่อฉางตี้มิได้ชอบเนื้อกวางนัก เขาเพียงคีบมันมาเพื่อยั่วยุฉู่เหลียนให้โกรธเท่านั้น เมื่อจินตนาการว่านางคงนอนไม่หลับเพราะได้ทานอาหารเพียงเล็กน้อย เขาก็รู้สึกดีขึ้นจนถึงขีดสุด
และเพื่อให้ฉู่เหลียนได้มองเขาทานเนื้อกวางอย่างอิจฉา เฮ่อซานหลางจึงกักเก็บความขยะแขยงไว้ และแสดงท่าทางราวกับมีความสุขกับอาหารมื้อนี้เสียเต็มประดา ฝืนตัวเองให้ก้มลงทานเนื้อทั้งสองชิ้นเข้าไปคำโต
เมื่อทานเสร็จ เขาก็รู้สึกคลื่นไส้เหลือเกิน แต่ก็ฝืนกลืนคำสุดท้ายลงลำคอไป และฝืนตนเองมิให้สำรอกออกมา
อาหารเหล่านี้มิใช่สิ่งที่ฉู่เหลียนชอบ จึงทำให้นางทานไปเพียงน้อยนิด ก่อนจะวางตะเกียบลงและหยุดทาน เมื่อไม่มีอะไรให้ทำแล้ว จึงได้แต่นั่งรอเฉย ๆ พลางหันไปมองเฮ่อฉางตี้ที่กำลังทานเนื้อกวางอยู่
ฉู่เหลียนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ รู้สึกกระอักกระอ่วนแค่ได้มอง เอาจริงอะ เขาเป็นอะไรเนี่ย? ทำไมจึงดูเหมือนพยายามจะยัดทั้งหมดลงท้องไปเสียให้ได้ ทั้งที่สีหน้าก็บอกอยู่ชัด ๆ ว่าช่างทรมานเหลือเกิน แต่ท้ายที่สุดแล้วด้วยความใจดีของฉู่เหลียนก็ได้สั่งให้หมิงเยี่ยนเทน้ำอุ่นมาให้แก้วหนึ่ง และวางลงตรงหน้าเขา
“ทานช้า ๆ หน่อย! ดื่มน้ำสักหน่อยดีหรือไม่?” ฉู่เหลียนถามอย่างสงสาร
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816