ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 89 เอามันมาให้ข้า
ได้ยินว่ามารดาตนได้รับการให้อภัยแล้ว องค์หญิงเล่อเหยาก็ยิ้มหวานกว่าเดิมทั้งที่ยังกอดรัดแขนฮ่องเต้และส่งเสียงหัวเราะ ‘คิกคิก’
เฉิงผิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรธิดาที่ตนตามใจมาตั้งแต่เกิด แค่เพียงพริบตา ยามนี้ก็อายุได้สิบชันษาแล้ว เริ่มเติบโตเป็นสตรีคนหนึ่ง เมื่อคิดแล้วกลับทำให้รู้สึกโทมนัสยิ่ง ครั้นองค์หญิงเล่อเหยายังเยาว์ พระองค์เคยอุ้มนางไว้ในอ้อมอก ยามนี้นางเติบใหญ่ ท่าทีแห่งรักที่แสดงออกได้จึงเหลือเพียงการลูบผมเบา ๆ แก่บุตรสาวเท่านั้น
องค์หญิงเล่อเหยาคือพระธิดาองค์เล็กสุดของเฉิงผิงฮ่องเต้ ซึ่งการเลี้ยงลูกสาวนั้นมีไว้เพื่อตามใจ ส่วนลูกชายมีไว้เพื่อเลี้ยงอย่างเข้มงวด นอกจากนั้นยังมีเรื่องอื่นที่คนส่วนมากยังไม่ทราบอีก แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเฉิงผิงฮ่องเต้ก็รักใคร่และตามใจพระธิดาองค์สุดท้องผู้นี้มากกว่าใคร
ดวงตาผลชิ่งขององค์หญิงเล่อเหยาที่ดูคล้ายฉู่เหลียนคู่นั้นกวาดมองไปทั่วตำหนักทิงอวี่ ก่อนจะหยุดลงที่ร่างฉู่เหลียน นางทำทีซ่อนตัวอยู่หลังแขนฉลองพระองค์ฮ่องเต้ ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงชั่วครู่ก่อนจะกลับเป็นปกติ ปั้นสีหน้าน่ารัก “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ สตรีผู้นี้ใช่ท่านหญิงจินอี่ที่เสด็จพ่อเพิ่งพระราชทานแต่งตั้งหรือไม่เพคะ? ”
เฉิงผิงฮ่องเต้ยิ้ม พระองค์มิได้โง่ และย่อมรู้ดีว่าธิดาของตนนั้นใจคับแคบอยู่บ้าง ทั้งยังชอบใช้ลูกไม้ตื้น ๆ กับคนที่ตนไม่ชอบพอ ยกตัวอย่างเช่น พระองค์ทราบว่าองค์หญิงเล่อเหยาเคยพบกับฉู่เหลียนแน่แล้วที่จวนติ้งหยวน ทั้งยังทราบว่ามีการกระทบกระทั่งเกิดขึ้นโดยที่ธิดาของตนจบลงไม่สวยนัก แม้เช่นนั้นนางก็ยังแสดงท่าทีราวกับเพิ่งพบฉู่เหลียนเป็นครั้งแรก ฮ่องเต้คร้านจะเปิดเผยนาง จึงเล่นไปตามน้ำ “ใช่แล้ว ถามทำไมหรือเล่อเหยา? ”
ฉู่เหลียนยังยืนอยู่ที่เดิม ทำความเคารพองค์หญิงเล่อเหยาจากระยะไกล ใจร่วงหล่นลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินองค์หญิงเล่อเหยาจงใจเอ่ยปากถึงตนเองเช่นนั้น แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจที่เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันนั้นไม่ได้หายไปไหนแน่
องค์หญิงเล่อเหยาเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม และใช้น้ำเสียงราวเด็กน้อยเอ่ย “เสด็จพ่อ เหยาเอ๋อร์ได้ยินว่าท่านหญิงจินอี่เคยทำซิ่วท้อที่อร่อยยิ่ง! เหตุใดมิให้นางทำให้เหยาเอ๋อร์ทานที่ตำหนักบ้างเล่าเพคะ? เหยาเอ๋อร์อยากลองทานจริง ๆ! ”
ทันทีที่องค์หญิงเล่อเหยากล่าวจบ สีหน้าอ่อนโยนของฮ่องเต้ก็พลันเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มอีกครั้ง ใจเว่ยกุ้ยเฟยร่วงหล่นด้วยความหวาดกลัว นางดึงตัวองค์หญิงเล่อเหยาเข้าหาตนเอง ดุเสียงเบา “เหยาเอ๋อร์ ที่ตำหนักมีทุกอย่างที่เจ้าอยากทานอยู่แล้ว ซิ่วท้อนั้นมีไว้ให้ทานได้เฉพาะวันงานอายุยืนเท่านั้น วันอื่นเจ้าทานมิได้”
องค์หญิงเล่อเหยาเพียงได้ยินว่าฮ่องเต้เรียกพบฉู่เหลียนที่ตำหนักทิงอวี่ นางมิได้ใส่ใจเรื่องอื่นก็รีบตรงมาที่นี่เสียก่อนเพื่อสร้างปัญหาให้ฉู่เหลียนโดยเฉพาะ ดังนั้นรายละเอียดต่าง ๆ ของเหตุร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นจึงไม่ทราบ
ซิ่วท้อเหล่านั้นเพิ่งก่อปัญหาต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ ยามนี้ถูกตอกย้ำอีกครา ฮ่องเต้จะยังทรงพระอารมณ์ดีได้อย่างไร?
องค์หญิงเล่อเหยาเพียงอยากก่อปัญหาให้ฉู่เหลียนสักทางจึงไม่ฟังเว่ยกุ้ยเฟย นางดึงตนเองออกจากมือเว่ยกุ้ยเฟย และกอดรัดแขนฮ่องเต้อีกคราว “เสด็จพ่อ พระองค์ตรัสว่ารักเหยาเอ๋อร์มิใช่หรือเพคะ? เหตุใดจึงไม่ยอมรับคำขอเล็กน้อยของเหยาเอ๋อร์เล่า? เหยาเอ๋อร์แค่อยากทานซิ่วท้อฝีมือท่านหญิงจินอี่เท่านั้น! ”
ฉู่เหลียนพยายามรักษาสีหน้าใจเย็นเต็มที่ ยัยองค์หญิงเล่อเหยานี่ถูกตามใจจนเกินเหตุจริง ๆ พระอารมณ์ฮ่องเต้ดิ่งลงทุกทีแล้ว แต่องค์หญิงยังไม่ยอมแพ้อีก
เสิ่นฮองเฮามองเว่ยกุ้ยเฟยและบุตรสาวด้วยสายตาเย็นชา ความระทมทุกข์ก่อนหน้าหายไปสิ้น ยามนี้พระองค์กลับมององค์หญิงเล่อเหยาอย่างดูแคลน ช่างเป็นเด็กที่ใจแคบเหลือเกิน!
องค์หญิงเล่อเหยาถูกตามใจจนเคยตัว อยากได้อะไรย่อมได้สิ่งนั้น ในวังนี้นางมีฮ่องเต้คอยโอ๋ มีเว่ยกุ้ยเฟยคอยตามใจ กระทั่งเต๋อเฟยยังต้องมอบสิ่งที่นางต้องการให้ และไม่เคยแม้มีสักครั้งที่จะไม่ได้ดังหวัง เมื่อเห็นฮ่องเต้ยังคงนิ่งเงียบ น้ำตาแห่งความไม่พอใจก็หลั่งไหลอาบแก้มเพื่อเรียกร้องความสนใจ
“เสด็จพ่อไม่รักเหยาเอ๋อร์แล้ว…ฮือ ฮือ…”
เฉิงผิงฮ่องเต้ทรงกริ้วมาแต่แรก เพิ่งจะดีขึ้นเล็กน้อยก็ด้วยพระธิดาที่เข้ามา ทว่ายามนี้พระธิดาคนเดิมกำลังร่ำไห้ เสียงนั้นเสียดหูราวกับเข็มที่แทงสมอง พระองค์เป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ของแคว้นนี้ แม้พระองค์จะทรงรักและทะนุถนอมบุตรทั้งหลายเพียงใด ก็ย่อมต้องมีสักคราที่ขีดจำกัดความอดทนจะหมดลง
พระองค์ทอดพระเนตรมองพระธิดา ผู้ที่ยามนี้ตัวสูงขึ้นกว่าเดิมมาก พระองค์เคยคิดว่านางยังเยาว์วัยนักจึงได้มอบทุกสิ่งที่นางต้องการซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่ายามนี้กลับส่งผลให้นางมีนิสัยเช่นนี้ ดังนั้นทุกสิ่งที่นางต้องการย่อมไม่เป็นเช่นเดิมอีก
เฉิงผิงฮ่องเต้สะบัดแขนฉลองพระองค์ หลุดจากมือน้อยที่เกาะกุม ก่อนเอ่ยถามนางเสียงต่ำ “เล่อเหยา เจ้าจะหยุดเรื่องไร้สาระพวกนี้ได้หรือยัง? ”
พระองค์ไม่เคยแม้แต่จะตักเตือนองค์หญิงมาก่อน ทว่ายามนี้กลับดุนางด้วยสุรเสียงเย็นชา! เล่อเหยาตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่บิดาเอ่ยเสียงแข็งเช่นนี้ นางเบิกตากว้างจ้องมองพระองค์อย่างไม่อยากเชื่อ คล้ายไม่อาจเชื่อได้ว่าคำพูดเหล่านั้นจะมาจากโอษฐ์ของพระองค์จริง ๆ
ราวกับเวลาผ่านไปชั่วกาล นางเอ่ยเสียงสั่น “เสด็จพ่อ…พระองค์…ดุเหยาเอ๋อร์หรือเพคะ? ”
ก่อนองค์หญิงเล่อเหยาจะพูดอะไรต่อไปอีก เว่ยกุ้ยเฟยก็รีบใช้มือปิดปากนางไว้ด้วยความหวาดกลัว
เฉิงผิงฮ่องเต้สะบัดแขนฉลองพระองค์อีกคราด้วยสีพระพักตร์มืดหม่น “เล่อเหยา ข้าตามใจเจ้ามากจนเกินไป ข้าให้เจ้าในทุกสิ่งที่เจ้าต้องการโดยไร้ซึ่งข้อแม้ใด แม้ขั้นของจินอี่จะไม่สูงไปกว่าเจ้า แต่นางก็ยังเป็นถึงท่านหญิงที่ข้าแต่งตั้งด้วยตนเอง จะปล่อยให้นางไปทำอาหารในตำหนักเจ้าเช่นนั้นได้อย่างไร? กุ้ยเฟย หากเจ้าไม่อาจเลี้ยงดูสั่งสอนบุตรีให้มีมารยาทที่เหมาะสมได้ เราจะส่งนางไปให้ฮองเฮาเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน”
เสิ่นฮองเฮาและเว่ยกุ้ยเฟยมิคาดว่าจะได้ยินถ้อยดำรัสเช่นนี้จากฮ่องเต้ มอบนางให้ฮองเฮาเลี้ยงดูหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร! ปีนี้องค์หญิงเล่อเหยาก็สิบชันษาแล้ว มิใช่เด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ฮองเฮาจะรักดูแลนางดังบุตรีแท้ ๆ ของตนได้อีกหรือ? ทั้งสองพระองค์ต่างมีสีหน้าคัดค้านเต็มที่ เว่ยกุ้ยเฟยเคยได้รับบาดเจ็บขณะคลอดบุตร องค์หญิงเล่อเหยาจึงเป็นลูกคนเดียวที่นางมีได้ ดังนั้นนางจะยอมมอบลูกให้คนอื่นได้อย่างไร?
ด้วยความหวาดกลัวสุดขีด มือที่ปิดปากองค์หญิงเล่อเหยาของเว่ยกุ้ยเฟยก็ค่อย ๆ คลายลง
องค์หญิงเล่อเหยาร้องไห้ออกมาทันที ยิ่งสร้างความวุ่นวายเสียยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้รับอิสระ “เสด็จพ่อ เหยาเอ๋อร์ไม่อยากไปกับฮองเฮา! เหยาเอ๋อร์ไม่อยากจากท่านแม่ไป! ”
“ไร้สาระ! ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกฮองเฮาโดยไม่เคารพเช่นนี้? จงจำไว้ว่าฮองเฮาผู้นี้คือมารดาที่ถูกต้องของเจ้า! ” เฉิงผิงฮ่องเต้นวดขมับด้วยความเหน็ดเหนื่อย “ลืมมันเสียเถิด เป็นข้าเองที่ตามใจเจ้ามาถึงขั้นนี้ เมื่องานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงจบลง เว่ยกุ้ยเฟยและองค์หญิงเล่อเหยาถูกกักบริเวณหนึ่งเดือน ข้าจะส่งฉีหมัวมัวไปสอนจรรยามารยาทแก่องค์หญิงเล่อเหยาระหว่างนั้น”
เมื่อสั่งการเสร็จ เฉิงผิงฮ่องเต้ก็เสด็จจากไปอย่างทรงกริ้ว เหลือเพียงแผ่นหลังให้คนที่เหลือได้มองตามไป
องค์หญิงเล่อเหยาไม่อยากเชื่อว่านางจะไม่สามารถสั่งสอนฉู่เหลียนได้ ทั้งยังทำให้ตัวเองและมารดาถูกกักบริเวณอีก นางหันไปจ้องฉู่เหลียนด้วยความอาฆาตแค้น โชคดีนักที่หลังจากถูกฮ่องเต้ดุไปแล้วคราวหนึ่ง สมองนางก็เติบโตขึ้นเล็กน้อย ไม่อาจเข้าไปสู้รบกับฉู่เหลียนโดยตรงได้อีก
ฉู่เหลียนเพียงมองฮองเฮาและกุ้ยเฟยอย่างสบายใจ ก่อนซุนกงกงจะเข้ามาข้างกาย เอ่ยเสียงเบา “ท่านหญิงจินอี่ขอรับ โปรดตามบ่าวมาทางนี้ ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้บ่าวนำทางท่านไปยังตำหนักไทเฮาขอรับ”
ฉู่เหลียนพยักหน้ากล่าวขอบคุณ ก่อนจะยอบกายอำลาฮองเฮา จากนั้นจึงตามซุนกงกงออกจากตำหนักทิงอวี่ไป
เสิ่นฮองเฮาลูบรอยยับที่มองไม่เห็นบนฉลองพระองค์สีเหลืองบนกาย ก่อนจะเดินด้วยท่วงท่าสง่างามทิ้งเว่ยกุ้ยเฟยที่ยังคุกเข่าอยู่ไว้เบื้องหลัง ทอดพระเนตรอีกฝ่ายจากหางตาแล้วกล่าว “น้องหญิงเว่ย เจ้าควรทบทวนบทเรียนที่ได้รับในครั้งนี้ให้ดี ๆ ยิ่งฮ่องเต้ทรงรักและถนอมเจ้ามากเพียงไร ความโปรดปรานนั้นยิ่งสูญเสียง่ายดายเท่ายามรับมา”
ดำรัสดังนั้นแล้ว เสิ่นฮองเฮาก็นำกลุ่มนางกำนัล ขันทีเสด็จออกจากตำหนักไป
เว่ยกุ้ยเฟยกอดองค์หญิงเล่อเหยาแนบกาย กัดริมฝีปากแดงฉ่ำแน่นจนลิ้มรสโลหิตที่ไหลออก แล้วจึงจัดการสีหน้าของตนเองก่อนหันไปมองธิดาของตน
“เหยาเอ๋อร์ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ดี ในภายหน้าเราจะต้องได้แก้แค้นกับความทุกข์ทนที่ได้รับในครั้งนี้แน่!”
กระทั่งออกจากตำหนักทิงอวี่มาไกล ฉู่เหลียนจึงผ่อนคลายได้ในที่สุดเมื่อนึกถึงสีหน้าองค์หญิงเล่อเหยาก่อนนางจะจากมา ฉู่เหลียนก็รู้ได้ทันทีว่าองค์หญิงนั่นต้องไม่ปล่อยนางไปง่าย ๆ เป็นแน่ นางลอบถอนใจ หรือชะตาของนางจะดึงดูดปัญหากันนะ?
ณ สวนหลวงในวังหลวง ที่นี่ช่างกว้างใหญ่นัก ซ้ำยามนี้ยังอยู่กลางฤดูใบไม้ร่วง ดอกเก๊กฮวยที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันเบ่งบาน กลายเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ที่มีหลากหลายสีสัน เมื่อเหล่านางกำนัลเดินผ่านไปมา ก็ยิ่งสร้างบรรยากาศให้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
ตำหนักหนิงเหอของไทเฮาค่อนข้างห่างไกลจากตำหนักทิงอวี่ ซุนกงกงเป็นผู้บอกนางระหว่างนำทางไป ทว่าขณะเดินผ่านเส้นทางที่ตัดผ่านสวน ฉู่เหลียนกลับมิได้รู้สึกว่าเส้นทางนั้นยาวไกลแต่อย่างใด มีสิ่งที่น่าสนใจมากมายตลอดทาง ทั้งยังสามารถชื่นชมทิวทัศน์งดงามของดอกเก๊กฮวยหลากสีที่กำลังผลิบานได้อย่างสบายใจ
ซุนกงกงชี้ไปยังศาลาที่อยู่ไม่ไกลนัก “ท่านหญิงสามารถนั่งพักที่ศาลานั่นได้สักครู่หนึ่งนะขอรับ”
ฉู่เหลียนพยักหน้าให้ซุนกงกงนำไป ศาลานี้รายล้อมด้วยดอกเก๊กฮวย ทิวทัศน์เบื้องหน้านี้สวยงามยิ่งนัก เหมาะกับเป็นสถานที่ให้ได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจจริง ๆ
ซุนกงกงยืนอยู่ข้างหนึ่งแล้วยิ้ม “ท่านหญิงต้องการชาเพื่อผ่อนคลายหน่อยหรือไม่ขอรับ? บ่าวจะไปนำมาให้”
ฉู่เหลียนเห็นซุนกงกงเป็นคนดีทีเดียว นางจึงยิ้มและส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะกงกง ข้าเพียงนั่งที่นี่สักประเดี๋ยว ท่านย่ายังรอข้าอยู่ โอ้เอ้นานไปย่อมไม่ดีนัก”
ฉู่เหลียนปฏิเสธอย่างชัดเจน ซุนกงกงจึงไม่ได้จากไปเพื่อนำชามาให้ยามนี้ฉู่เหลียนค่อนข้างระมัดระวังตัว ตราบใดที่อยู่ในพระราชวังย่อมอันตราย ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่จวนจิ่งอัน หากบังเอิญพบเจอใครระหว่างทางที่อยู่ที่นี่อีกก็อาจเดาได้ว่าคงเป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจ ดังนั้นนางจึงพยายามทำตัวเรียบง่ายเข้าไว้ดีกว่า เพราะเมื่อครู่ก็เพิ่งจะเกือบติดกับคนอื่นมา จึงไม่อยากจะเสี่ยงให้อะไรต้องเกิดขึ้นอีกแล้ว
หลังจากสิ้นสุดมหันตภัยร้ายที่ตำหนักทิงอวี่แล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจของฉู่เหลียนก็เหนื่อยล้าอ่อนแรงไปหมด แต่เมื่อได้ดูดอกไม้สวย ๆ พวกนี้ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นเพียงเล็กน้อย
ซุนกงกงก้มหน้ารออยู่ด้านข้าง และลอบมองท่านหญิงผู้นี้จากทางหางตา สีหน้าของนางไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยยามที่ต้องเผชิญหน้ากับสามผู้ยิ่งใหญ่ที่ตำหนักทิงอวี่ ทว่ายามนี้กลับมีรอยยิ้มกว้างขณะหยิบเอาถุงผ้าออกมาจากแขนเสื้อ แกะมันออกอย่างคล่องแคล่วด้วยนิ้วเรียว
ของในถุงผ้าดูแปลกตาเล็กน้อย ท่านหญิงจินอี่หยิบของว่างสลักลวดลายงดงามที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ขนมชนิดนี้มีขนาดเล็กพอที่จะคีบได้ด้วยสองนิ้ว นางจับมันไว้อย่างถนอมยามริมฝีปากสีแดงดังผลอิงเถาขยับเข้าใกล้มุม
เขามองนางกัดคำแรก ท่าทีของนางเปลี่ยนไปทันควัน ดวงตากลมโตฉ่ำน้ำคู่นั้นปิดลงอย่างสุขสมราวกับจันทร์คว่ำเล็ก ๆ สองดวงยามนางลิ้มรสของว่างนั้น อึดใจต่อมา ขนมงดงามทรงกลมนั้นก็หายไปในท้องนาง
ซุนกงกงเผลอกลืนน้ำลาย ในใจพยายามจะจับคู่ของว่างนี้กับของว่างชนิดอื่นที่เคยเห็นในวัง แม้ว่าจะคิดออกมาได้หลายร้อยชื่อแต่กลับนึกไม่ออกเลยว่าสิ่งที่ท่านหญิงจินอี่นำมาทานนั้นคือสิ่งใดกัน
ขนมของนางดูน่าอร่อยมาก มากจริง ๆ ดูเหมือนภายในจะมีไส้ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกกรอบ ๆ นั่นด้วย ดูคล้ายกับ…ไข่แดงหรือ? ไข่แดงสามารถนำมาทำของว่างได้ด้วยหรือ? รสชาติจะหวานหรือเค็มกันนะ?
ซุนกงกงพยายามยับยั้งความสงสัยใคร่รู้ของตน ไม่เช่นนั้นเขาต้องอดมิได้ให้ยื้อแย่งถุงขนมในมือท่านหญิงจินอี่เป็นแน่ เขาลดหัวก้มต่ำลงกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าไม่อยากมองสีหน้าเปี่ยมสุขของฉู่เหลียนยามทานขนมเหล่านั้น และตอนนี้เขาก็ไม่สงสัยแล้วว่าทำไมท่านหญิงถึงไม่ต้องการให้เขาไปนำของว่างและชามาให้ ก็เพราะนางนำมาเองนี่!
ดวงตาแทบบอดเพราะของน่าอร่อยแล้ว ซุนกงกงลืมไปสนิทใจเลยว่าการที่ท่านหญิงแต่งตั้งนำของว่างของตนเองเข้าวังมาเช่นนี้นับเป็นเรื่องไม่ปกติ อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่การเดินทางขึ้นป่าขึ้นเขา! เห็นได้ชัดว่าท่านหญิงจินอี่เป็นข้อยกเว้นจากธรรมเนียมเหล่านั้นได้อย่างน่าประหลาดจริง ๆ
หลังจากนั้นฉู่เหลียนก็นำเอาเนื้อตากแห้งออกมายัดเข้าปาก เป็นเนื้อตากแห้งรสใหม่ที่นางเพิ่งจะทำ มีรสชาติเผ็ดอ่อนช่วยกระตุ้นความอยากอาหารของนางได้ ทั้งนางยังแอบสงสัยอยู่เลยว่าเจ้าบ้าเฮ่อฉางตี้นั่นจะทานของเผ็ดได้ไหมนะ
ไม่ไกลออกไปนัก เฉิงผิงฮ่องเต้ประทับอยู่ที่มุมหนึ่งของระเบียง โดยผู้ที่ยืนอยู่ติดกันนั้นเป็นขันทีอาวุโส เว่ยกงกง จากมุมนี้ เฉิงผิงฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรเห็นฉู่เหลียนที่สุขสมกับขนมยามนั่งพักในศาลาไกล ๆ ได้ แสงอาทิตย์สาดส่องเข้าหานาง ฉาดให้เห็นใบหน้าเล็ก ๆ อันสุขล้นสู่สายพระเนตรของฮ่องเต้
ฮ่องเต้อดมิได้ให้สงสัย ‘เด็กสาวผู้นั้นทานอะไรอยู่นะ? มันอร่อยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ดังนั้น ในอึดใจต่อมา เว่ยกงกงจึงได้ยินสุรเสียงฮ่องเต้รับสั่ง “ไปนำถุงของท่านหญิงจินอี่มาให้เรา”
ดวงตาเว่ยกงกงกระตุก อึดใจหนึ่งยังคิดว่าคงหลอนไปเอง ย่อมต้องเป็นจินตนาการของเขาเองที่คิดไปว่าฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ปราดเปรื่องผู้นี้จะมีดำรัสสั่งเรื่องแปลก ๆ ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่สูงส่งจะสั่งให้เขาไปยื้อแย่งขนมจากท่านหญิงได้อย่างไร…?