ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 9 เยี่ยมครอบครัวเจ้าสาว (1)
เมื่อฉู่เหลียนได้ยินเสียงหมิงเยี่ยนร้องขึ้นกะทันหัน ดวงตาของนางพลันเบิกกว้างอย่างตกใจ นางนิ่งงันไปชั่วขณะก่อนจะรีบคว้าเสื้อคลุมแห้ง ๆ ที่แขวนอยู่บนฉากกั้นห้องมาปิดหน้าอกทันที หลังจากนั้น เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของเฮ่อฉางตี้ก็คลืบใกล้เข้ามาทุกที
เฮ่อซานหลางพุ่งเข้ามาอย่างโมโหร้าย
ภายในห้องอาบน้ำมีไอน้ำลอยคละคลุ้ง กลิ่นละมุนละไมของน้ำหอมลอยอวลในอากาศ น้ำร้อนจากอ่างน้ำสาดกระเซ็นตามการเคลื่อนไหวของหญิงสาวที่ทิ้งตัวลงซ่อนอยู่ที่มุมหนึ่งของอ่าง นางตื่นตกใจเสียจนไม่รู้ตัวว่าผ้าเปียก ๆ นั้นแทบจะซ่อนรูปร่างไว้ไม่มิด
ฉู่เหลียนไม่รู้ตัวเลยว่าผ้าผืนนั้นบางเหลือเกิน ทันทีที่เปียกก็แทบจะโปร่งบางจนมองทะลุได้ การนำผ้าโปร่ง ๆ มาปิดทรวงอกไว้นั้นยิ่งดูเย้ายวนเสียกว่ายามที่ไม่มีสิ่งใดมาบดบัง
แม้ร่างจะอยู่ในน้ำเพียงครึ่งหนึ่ง แต่ด้วยความตกใจ ทรวงอกของนางจึงขยับไหวจากการหายใจอย่างรุนแรง รูปร่างกลมกลึงและจุดเล็ก ๆ สีชมพูที่โดดเด่นขยับไหวผลุบโผล่ปริ่มน้ำ เลือนรางภายใต้ผ้าบางเบา คล้ายว่ากำลังเล่นซ่อนหาอย่างไรอย่างนั้น
ท่วงท่าอันทรงเสน่ห์ที่ปรากฏสู่สายตาของเฮ่อฉางตี้โดยไม่ตั้งใจนั้น ทำให้เขาตกตะลึงและถูกตรึงอยู่กับที่ ความกราดเกรี้ยวก่อนหน้าล้วนมลายไปจนหมดสิ้น
หมิงเยี่ยนกระทืบเท้าด้วยสีหน้าขัดใจ นางจะจับตัวเขาไว้ได้อยู่แล้ว ทว่ากลับถูกกุ้ยหมัวมัวดึงตัวไว้เสียก่อน
“เจ้าจะทำอะไร คุณชายสามไม่ใช่คนแปลกหน้า” กุ้ยหมัวมัวเตือนนางเสียงเบา
หมิงเยี่ยนพยายามขัด “แต่…”
“แต่อะไร? เร็วเข้า ออกไปกับข้า”
ใบหน้าขาวของเฮ่อซานหลางที่ถูกปกคลุมด้วยหนวดเคราอ่อน ๆ ขึ้นสีจนคล้ายกับกุ้งมังกรสุก ความรุ่มร้อนที่เขารู้สึกก่อนหน้านี้หวนกลับมาอีกครั้ง ส่วนล่างของร่างกายรู้สึกอึดอัดคับข้องยิ่ง
ฉู่เหลียนโมโหจัด เขาเป็นคนที่ไม่ยอมร่วมห้องหอกับนาง ทำกระทั่งเดินออกจากห้องในคืนแต่งงาน ทว่าตอนนี้กลับยืนจ้องมองเรือนร่างของนางอย่างโง่งม ชายผู้นี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่?
ถึงตอนนี้นางไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ฉู่เหลียนคว้าก้อนสบู่โยนใส่เขา เสียงน่ารักแหลมสูงด้วยความเกรี้ยวกราดยามที่ตะโกน “ท่าน… ออกไป!”
เพราะเสียงตะโกนของฉู่เหลียน ทำให้เขารู้สึกตัวอีกครั้ง ร่างกายของเฮ่อซานหลางสั่นสะท้านเมื่อรู้สึกถึงแรงปรารถนาที่ไม่ควรมีในใจนั้นพวยพุ่ง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำราวกับน้ำหมึก
เขามีสีหน้าย่ำแย่เมื่อจ้องมองฉู่เหลียน และตะโกนกลับไป “คิดจะยั่วยวนข้าเช่นนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ!”
เฮ่อซานหลางสะบัดแขนเสื้อ หมุนตัวจากไป ก้าวเท้ายาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าร่างนั้นจะสั่นน้อย ๆ ก็ตามที
หากเขาสามารถทำเสียงให้เย็นชาพอ ๆ กับสีหน้าได้ ฉู่เหลียนต้องโกรธเสียจนกระโดดออกมาตบตีกับเขาเป็นแน่ ทว่าใบหน้าของเขากลับแดงฉาน การกระทำล้วนไม่เป็นธรรมชาติ ทั้งยังไม่ต้องพูดถึงร่างกายส่วนล่างนั้น ตอนนี้เขาดูราวกับเป็นแมวจอมเหย่อหยิ่งที่แสร้งว่าตนมิได้เขินอายไม่มีผิด
และเพราะการกระทำของเฮ่อซานหลาง อารมณ์เกรี้ยวกราดของฉู่เหลียนจึงหายไปจนหมด เมื่อชายหนุ่มออกจากห้องน้ำไป นางก็อดขบขันในท่าทางพิลึกพิลั่นนั่นไม่ได้ ริมฝีปากนางค่อย ๆ โค้งขึ้น ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
เมื่อนางเปลี่ยนชุดและออกมาจากห้องอาบน้ำ เฮ่อฉางตี้ก็มิได้อยู่ในห้องอีก
หมิงเยี่ยนยกน้ำอุ่นมาปรนนิบัตินางโดยที่ใบหน้านั้นยังคงมีสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ก่อนจะช่วยฉู่เหลียนสางผมที่เปียกชื้น
“สามีข้าอยู่ที่ใด?”
“คุณชายสามเพิ่งออกจากเรือนไปเมื่อครู่เจ้าค่ะ บ่าวก็ไม่ทราบว่าคุณชายไปที่ไหน”
ฉู่เหลียนจิบน้ำอุ่นและส่ายหน้า นางไม่เข้าใจเฮ่อซานหลางแม้แต่น้อย แทนที่จะพยายามทำความเข้าใจ นางกลับเลือกหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนเก้าอี้ไม้ขึ้นมาอ่านแทน
ในขณะเดียวกัน เฮ่อฉางตี้ที่รุดจากมาอย่างเร่งรีบนั้นกำลังอ่านหนังสืออยู่ที่เรือนนอก
ชายหนุ่มดื่มชาสองถ้วยอย่างรวดเร็วทันทีที่มาถึง ทว่าความรุ่มร้อนในใจยังไม่ดับลง ยามหลับตาลง ฉากที่ฉู่เหลียนนั่งอยู่ในอ่างน้ำก็ปรากฏขึ้นในใจอีกครั้ง เป็นภาพขณะที่นางนั่งอยู่ในอ่าง มือน้อยจับชุดเพื่อปิดซ่อนทรวงอกคู่นั้น และมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างปริ่มน้ำตา
“บัดซบ!” เขาสบถดัง เหตุใดเขาจึงมีความรู้สึกกับหญิงแพศยานางนั้นได้เล่า! สิ่งเดียวที่ต้องการคือการฆ่านางทิ้งโดยไว ตอนนี้เฮ่อฉางตี้เกลียดตัวเองเหลือเกิน เขาทุบโต๊ะเสียจนถาดล้างพู่กันสั่นสะเทือน
ไฟในกายของเขายังปะทุไม่ยอมดับ ท้ายที่สุด เฮ่อซานหลางก็จำต้องอาบน้ำเย็น ๆ ด้วยสีหน้าหมองหม่น
เมื่อยามค่ำมาถึง เฮ่อฉางตี้และฉู่เหลียนก็ร่วมรับประทานอาหารกับทั้งครอบครัวที่ห้องรับแขกในเรือนนอก หลังจากเสร็จสิ้นมื้อเย็น บุตรชายคนโตของครอบครัวก็ขอพบปะกับคนทั้งสอง
เฮ่อฉางฉีนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ กล่าวสั่งสอนน้องชาย “ซานหลาง ภรรยาเจ้าต้องกลับไปเยี่ยมบ้านวันพรุ่งนี้ สัญญากับข้าว่าเจ้าจะระมัดระวัง ไม่ทำให้ตระกูลเฮ่อของเราต้องขายหน้า เข้าใจหรือไม่”
เฮ่อฉางตี้รับปากอย่างไร้อารมณ์
ฉู่เหลียนแอบชูนิ้วโป้งให้พี่เขยของตนเงียบ ๆ เฮ่อฉางฉีเป็นเหมือนที่บรรยายไว้ในนิยาย แม้จะดูดุดันไปบ้าง หากแท้จริงแล้วเป็นคนที่เอาใจใส่และดูแลน้องสะใภ้อย่างเหมาะสม ดังคำกล่าวที่ว่าบุตรชายคนโตนั้นเปรียบดั่งบิดา เฮ่อฉางฉีเป็นพี่ชายที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาต้องเห็นแน่นอนว่าพวกนางไปกันได้ไม่ดีนัก ดังนั้นจึงเรียกตัวไว้เพื่อตักเตือนเฮ่อซานหลาง
“น้องสะใภ้ น้องชายข้าถูกมารดาและท่านย่าตามใจจนเสียคน โปรดเข้าใจเขาหน่อยเถอะ”
ฉู่เหลียนรีบตอบ “เจ้าค่ะ พี่ใหญ่”
เฮ่อฉางฉีพูดอีกสองสามคำก่อนจะให้พวกเขาจากมา
ยามนี้จวนจิ่งอันป๋อถูกปกคลุมด้วยความมืดยามราตรี มีเพียงทางเดินที่พอมีแสงจากโคมไฟช่วยสาดส่อง
แสงจากโคมไฟนั้นสลัวยิ่ง ฉู่เหลียนจึงมองเห็นสีหน้าเฮ่อฉางตี้ไม่ชัดนัก รู้สึกเพียงว่าเขากำลังอารมณ์เสียราวกับสัตว์ร้ายที่ถูกกักขัง
เกิดอะไรขึ้นกับเฮ่อซานหลางแห่งจวนจิ่งอันที่แสนจะอารมณ์ดีและมีชื่อเสียงคนนั้นกันนะ? เขาเพิ่งจะแต่งงาน นั่นควรเป็นช่วงเวลาที่เขาควรจะมีความสุขที่สุดในชีวิตมิใช่หรือ? เหตุใดจึงทำตัวเช่นนี้กันเล่า?
ฉู่เหลียนมองเขาเล็กน้อย เมื่อก่อนในโลกปัจจุบัน การทำงานทำให้ตัวนางเองได้พบเจอกับผู้คนมากมาย ทว่านางก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฮ่อฉางตี้จึงต่างจากตัวละครต้นฉบับในนิยาย หรือเพราะเหตุใดเขาจึงมีท่าทีชิงชังต่อนางขนาดนี้ นางรู้ว่าเขาคงไม่ยอมบอกสิ่งใดแก่นางเป็นแน่ หากนางถามเขาในตอนนี้
คู่แต่งงานใหม่ควรมีความสุขกับความรัก ทว่าพวกเขากลับเหมือนเม่นสองตัวที่ไม่อยากเข้าใกล้กัน
เมื่อกลับถึงเรือน เฮ่อฉางตี้ก็กลับไปยังห้องหนังสือ ฉู่เหลียนไม่ต้องการรบกวนเขา จึงล้างหน้าและเข้านอนทันที
เมื่อเฮ่อซานหลางก้าวเข้าสู่ห้องนอน ตอนนั้นยังเป็นเวลาไม่ดึกนัก เขาเห็นฉู่เหลียนนอนแก้มแดงอยู่กลางเตียง ปากขมุบขมิบคล้ายละเมออย่างไร้สุ้มเสียง
สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นในชาติที่แล้วของเขาเช่นกัน นังผู้หญิงแพศยาคนนี้นอนหลับราวกับเด็กน้อย แต่ยามเขาไม่อยู่ นางก็จะวิ่งโร่เข้าสู่อ้อมแขนของชายอื่น เหอะ! ช่างไร้ยางอายนัก!
วันพรุ่งนี้ที่จวนอิ้งกั๋วกง เขาจะเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของนางให้ทุกคนเห็น!
นางชอบพออยู่กับเซียวอู่จิ้งมิใช่หรือ? เช่นนั้นเขาก็จะทำ ให้ทั้งคู่สุขสมหวัง และได้อยู่ด้วยกันเสียเลย!
เฮ่อซานหลางปลดผ้าม่านลง เอามือไพล่หลังแล้วหันกลับไปนอนที่ห้องหนังสือ
วันต่อมา ฉู่เหลียนต้องกลับไปเยี่ยมบ้าน
ตระกูลเฮ่อทั้งครอบครัวพากันมาส่งคู่แต่งงานถึงประตูจวน ภายใต้การจับตามองของเฮ่อเหล่าไท่จวิน เฮ่อฉางตี้ที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งก็เดินมาเคียงข้างฉู่เหลียนและประคองนางขึ้นรถม้าให้สมกับบทบาทของสามีที่ดี
จากนั้นเขาจึงขึ้นหลังม้า และนำกลุ่มทหารส่วนตัวพร้อมด้วยบ่าวไพร่ รวมถึงรถม้าของฉู่เหลียนมุ่งหน้าไปยังจวนอิ้งกั๋วกง
เวลาผ่านไปไม่ถึงชั่วยาม คู่สามีภรรยาและคณะก็เดินทางมาถึงหน้าประตูจวนอิ้ง
อิ้งกั๋วกงยืนรออยู่แล้วที่หน้าประตูพร้อมคนกลุ่มใหญ่ เฮ่อฉางตี้กวาดตามองจนถ้วนทั่ว ก่อนจะปรับสีหน้าให้อ่อนโยนลงเล็กน้อย แสดงท่าทีคล้ายตกใจยามลงจากหลังม้า
นี่คือสิ่งที่เขาทำในชาติก่อน ตระกูลเฮ่อเป็นตระกูลเล็ก กระทั่งยามทุกคนมารวมตัวกันก็ยังไม่เต็มโต๊ะ ครั้งแรกที่เขาได้พาเจ้าสาวกลับมาเยี่ยมบ้าน มีคนจากตระกูลฉู่นับยี่สิบสามสิบคนมายืนออต้อนรับอยู่ที่หน้าประตูจวน ครานั้นเขารู้สึกตกใจยิ่ง
ทว่าครั้งนี้ ในใจเขากลับมิได้รู้สึกยินดีอีกต่อไป ซ้ำยังเต็มไปด้วยความทรมานและเกลียดชัง!
เฮ่อฉางตี้เลิกผ้ารถม้าขึ้น ประคองฉู่เหลียนลงด้วยตนเอง
มือของฉู่เหลียนนั้นเล็กและนิ่ม อ่อนโยนเสียจนรู้สึกสบายยามสัมผัส เฮ่อฉางตี้อดคิดถึงคราแรกมิได้ ยามนั้นหัวใจเขาเต้นแรงเสียจนแทบทะลุออกจากอก ยามเมื่อได้สัมผัสมือคู่นั้นของนาง ความทรงจำนั้นทำให้เขาหายใจแทบไม่ออก เมื่อเท้าของฉู่เหลียนสัมผัสพื้น เฮ่อฉางตี้ก็รีบดึงมืออันหยาบกร้านของตนกลับโดยไว
ฉู่เหลียนมองกลุ่มคนตรงหน้าประตู ใจนางก็เต้นไม่เป็นส่ำอย่างกังวล
นางไม่รู้จักใครสักคน!
ฉู่เหลียนโหยหวนอยู่ในใจอย่างทุกข์ทน นางเดาออกเพียงบางคนจากลักษณะที่ระบุในหนังสือที่เคยอ่านเท่านั้น
หญิงสาวก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด แต่ในทางตรงกันข้าม ในสายตาผู้คนของจวนอิ้ง นางดูคล้ายเจ้าสาวที่กำลังเขินอายจนหน้าแดง
อิ้งกั๋วกงผู้เฒ่าเข้ามาต้อนรับพวกนางด้วยตนเอง แม้เฮ่อฉางตี้จะไม่ชอบตระกูลฉู่นัก ทว่าอิ้งกั๋วกงผู้เฒ่านี้ก็ยังมีอำนาจในหมู่ขุนนาง จึงไม่อาจกระทำการใดที่แสดงออกถึงความไม่เคารพในที่สาธารณะได้
คู่บ่าวสาวถูกคนทั้งกลุ่มนำทางมายังห้องจู่เสียนที่เรือนนอก
อิ้งกั๋วกงนั้นเป็นคนใจกว้าง อ่อนโยนและเป็นมิตร เขาเป็นคนที่ใส่ใจลูกหลาน แต่ด้วยความที่จวนอิ้งนี้มีเด็ก ๆ มากจนเกินไป เขาจึงไม่สามารถใส่ใจทุกคนไปพร้อม ๆ กันได้
ฉู่เหลียนเป็นบุตรีสายตรงของบ้านสอง ซึ่งเกิดจากภริยาของนายท่านสอง ทว่าภายในครึ่งปีหลังจากมารดาของฉู่เหลียนจากไป บิดาของนางก็มีอนุเพิ่ม คือฮูหยินสอง ดังนั้นแม้ฉู่เหลียนจะเป็นบุตรสาวที่ถูกต้อง แต่นางก็มิได้รับการดูแลที่ดีนักในบ้านสอง
กระทั่งบิดาของนางเองก็ยังไม่ใส่ใจบุตรสาวผู้นี้ จะกล่าวถามถึงความใส่ใจของท่านปู่ได้อย่างไร เพราะอิ้งกั๋วกงผู้เฒ่านี้มีกิจธุระให้สะสางมากมายในแต่ละวัน
ตอนนี้บุตรชายคนโตเป็นผู้ดูแลจวน หากมิใช่เพราะว่าในรุ่นของฉู่เหลียนนั้นไม่มีบุตรชาย มิเช่นนั้นอิ้งกั๋วกงผู้เฒ่าคงวางมือไปนานแล้ว ในตอนนี้เขาอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ทว่าเขายังคงทำงานหนักเพื่อตระกูลอิ้ง สิ่งนี้จึงชวนให้ผู้คนส่ายหน้าด้วยความเวทนา
กลุ่มคนรุ่นหลานของจวนจิ่งอันนั้นมีความโดดเด่นมากท่ามกลางผู้คนในเมืองหลวง เมื่ออิ้งกั๋วกงผู้เฒ่าเห็นเฮ่อซานหลาง เขาก็ดูจะชอบชายหนุ่มขึ้นมาในทันที แม้แต่ตัวฉู่เหลียนเองก็ถูกใส่ใจมองด้วยเช่นกัน
ตั้งแต่ฉู่เหลียนเกิดมากระทั่งนางแต่งออก นางมีโอกาสได้พบกับอิ้งกั๋วกงผู้เฒ่าเพียงไม่กี่ครั้ง
ญาติของนางจากบ้านใหญ่ ผู้รับหน้าที่ดูแลจวนในตอนนี้สังเกตเห็นว่าปู่ของตนมองเฮ่อซานหลางด้วยตาเป็นประกาย ดังนั้นพวกเขาจึงดูแลและมีท่าทีต่อฉู่เหลียนดีขึ้นเล็กน้อย
ฉู่เหลียนทำได้เพียงยืนเฉย ๆ ท่ามกลางบรรดาสตรีที่อายุมากกว่าในจวนอิ้ง นางก้มหน้าลง ร่างกายสั่นเล็กน้อย ถามคำตอบคำ โชคดีที่ฉีเยี่ยนอยู่ข้าง ๆ คอยช่วยบอกใบ้ให้ ฉู่เหลียนจึงมิได้กระทำสิ่งใดให้เสียการ
พี่สะใภ้จากบ้านใหญ่ หรงฮูหยินเห็นฉู่เหลียนอยู่ท่ามกลางผู้คนแลดูไม่ค่อยสบายใจนัก นางจึงยิ้มและเดินเข้าไปกลางวงเพื่อช่วยฉู่เหลียนออกมา
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816