ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 310-2 ความขัดแย้งครั้งแรก
หลินหลันเดินเนิบช้าไปตามทางบนเขาอย่างไร้จุดหมาย ทว่าสายตากลับมองหาเรือนร่างของหลี่หมิงอวินโดยตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง ทว่าระหว่างทางที่เดินมากลับมองไม่เห็นเลยแม้แต่เงา หลินหลันรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย เห็นทีว่าการที่พวกเขาไม่เข้าใจกัน แม้แต่เลือกเส้นทางเดินก็ไม่ใช่เส้นทางเดียวกัน
สายลมบนภูเขาที่พัดเอื่อยๆ เย็นยะเยือกเล็กน้อย ลมหายใจเต็มไปด้วยกลิ่นหญ้าเขียวขจีและกลิ่นดอกไม้ที่ไม่รู้จักนานาพันธุ์ ความเศร้าโศกในใจก็ค่อยๆ มลายหายไป หลังได้สงบจิตสงบใจให้เย็นลง หลินหลันหวนไตร่ตรองการทะเลาะเบาะแว้งกันครั้งนี้ คิดว่าตนเองก็มีส่วนผิดเช่นกัน หมิงอวินเริ่มต้นด้วยความหวังดี ทว่านางกลับไม่ยอมรับฟัง แล้วยังทำลายความหวังดีของเขาด้วยเช่นกัน เขายินยอมคล้อยตามแล้ว ตามจริงคำพูดที่เผยให้เห็นถึงความไร้น้ำหนักเช่นนั้น ในปกติแต่ละวันก็มักพูดอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน นางกลับไม่ยักจะรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม แต่กลับชื่นชอบด้วยซ้ำไป เพียงแต่คำพูดเหล่านี้เมื่อผนวกกับเรื่องราวนี้เข้าด้วยกัน ก็เลยรู้สึกไม่สบายใจ ใช่แล้ว ก็เพราะท่าทางที่ดูเหมือนไม่เต็มใจของเขาที่ทำให้นางรู้สึกโกรธเคือง ความต้องการของนางว่ากันตามเหตุและผล เขาไม่ควรแสดงท่าทีประเภทนี้ออกมา ไม่ควรมีปฏิกิริยาโต้ตอบเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะนางโกรธเคือง เขาก็คงยังยืนหยัดเช่นเดิม! การโกรธเคืองมันไม่ใช่เรื่องที่ดีจริงๆ นั่นละ มีแต่จะทำลายสุขภาพและยังทำให้สมองตื้อโดยง่าย เลยพูดจาออกไปอย่างขาดการยับยั้งชั่งใจ แต่ใครบ้างที่ทะเลาะกันแล้วยังจะมัวพูดจาดีๆ อยู่ได้อีก เขาจะยอมนางสักหน่อยมิได้หรือ แต่ดันมาโต้แย้งกับนางเป็นจริงเป็นจังไปเสียได้
หลินหลันเตะก้อนหินขนาดเล็กระหว่างทาง เดินๆ ไปก็มาถึงป่าดอกท้ออย่างไม่รู้ตัว หวนนึกถึงความสุขในตอนมาเยือน ทว่าเวลานี้กลับรู้สึกหดหู่ใจ แม้ว่าเบื้องหน้าจะเต็มไปด้วยสีแดงแสดแต่กลับไร้ความรู้สึกสนอกสนใจที่จะเชยชมมันเสียแล้ว หลินหลันค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งบนโขดหินใต้ต้นท้อ แล้วเท้าแก้มเหม่อลอย
ยามนี้หมิงอวินอยู่แห่งหนใดหรือ เขาจะยังกลับไปที่บ้านพักหรือไม่ หากเขากลับไปแล้วไม่เห็นนาง จะมาตามหานางหรือไม่ เมื่อครุ่นคิดเช่นนี้ก็รู้สึกว่าตนเองไม่เอาไหนอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าใครกันที่เอ่ยไว้ว่า ระหว่างสามีภรรยาทะเลาะเบาะแว้งกันครั้งแรก จะต้องเป็นฝ่ายทะเลาะจนชนะให้จงได้ หากเป็นฝ่ายยอมอ่อนข้อง้อเขาก่อน เช่นนั้นภายภาคหน้าก็จะอยู่ในสถานะที่ต้องเป็นฝ่ายยอมอ่อนข้อเท่านั้นแล้ว ดังนั้น นางตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลับไป นอกเสียจากหมิงอวินมาตามหานาง หากก่อนฟ้ามืดเขายังไม่มา เช่นนั้นนางก็จะลงเขา ให้เขาตามหานางไม่เจออีกเลย ใครใช้ให้เขาเป็นจริงเป็นจัง ให้เขาน่ารำคาญเพียงนี้ล่ะ
ท้องนภาค่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ ท่ามกลางพงไพรเงียบสงัดไร้เสียงใด หลินหลันรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจเล็กน้อย หรือว่าตนเองต้องลงเขาทั้งมืดๆ เช่นนี้จริงๆ ลงเขาในยามมืดค่ำไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะเมื่อก่อนนางก็ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรและกลับบ้านในยามมืดค่ำอยู่บ่อยครั้ง เพียงแต่ การจะไปทั้งอย่างนี้ ความขัดแย้งระหว่างนางและหมิงอวินจะแก้ไขได้อย่างไร ถ้าไปก็คงไม่มีวิธีแก้ไขได้แล้วเช่นกัน แต่จะกลับไปทั้งอย่างนี้ มันจะไม่น่าขายหน้าเกินไปหรอกหรือ
ไม่เพียงแค่หลินหลันที่กระวนกระวายใจ จิ่นซิ่วที่คอยติดตามอยู่ไกลๆ ก็กระวนกระวายใจไม่แพ้กัน นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว เหตุใดนายหญิงสะใภ้รองถึงยังไม่กลับเสียทีล่ะ นางจะหลบอยู่เช่นนี้ไปเรื่อยๆ หรือเข้าไปเกลี้ยกล่อมนายหญิงสะใภ้รองดีล่ะ หากท้องนภามืดมิดสนิทแล้ว นางก็ไม่ได้พกที่จุดไฟติดมาด้วย แม้แต่เส้นทางก็อาจมองไม่เห็นแล้ว เคยได้ยินว่าบนภูเขามีหมาป่าอีกด้วย! เมื่อคิดเช่นนี้ จิ่นซิ่วถึงกับรู้สึกเสียวสันหลังวูบ เย็นยะเยือกตั้งแต่เท้าทะลุขึ้นมาถึงบนศีรษะ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวหันมองซ้ายมองขวา
หลี่หมิงอวินเดินวนอยู่บนเขาหนึ่งรอบเห็นจะได้ ความโกรธเคืองมลายหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้วเช่นกัน หลังเดินพ้นประตูออกมา เขาก็รู้สึกเสียใจภายหลังมาโดยตลอด นานทีจะได้พานางออกมาเที่ยวสักครั้ง เดิมทีคิดว่าจะได้ใช้วันเวลาอย่างมีความสุขแบบที่โลกนี้มีแค่เราสองคน ใครจะรู้ว่าแค่วันแรกก็ทะเลาะกันจนไม่มีความสุขเสียได้ เมื่อลองครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน เรื่องนี้เป็นเขาเองที่ผิด หลันเอ๋อร์อยากมีลูกไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด เพราะนี่หมายถึงหลันเอ๋อร์รักเขา คำนึงถึงความรู้สึกของเขา ในส่วนความกังวลของเขา แค่พูดจาดีๆ กับนางก็ได้มิใช่หรือ หลันเอ๋อร์โกรธเคือง เขาก็ควรปลอบประโลมนางสิ หลันเอ๋อร์ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าเขาดันหยิบยกคำพูดมาทิ่มแทงนาง…คำพูดที่เอื้อนเอ่ยในยามที่ทะเลาะเบาะแว้งกัน จะเอามาคิดเป็นจริงเป็นจังได้หรือ และเขาเองก็รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือว่า คนอื่นไม่รู้ชัดกระจ่างแจ้งว่าหลันเอ๋อร์มีความนึกคิดต่อเขาอย่างไร เขานี่มันเป็นคนโง่เขลาผู้หนึ่งจริงๆ! ทั้งที่รู้ว่านางแอบร้องไห้อยู่ในห้องน้ำ เขาก็ยังไม่ไปปลอบนาง แล้วยังเดินออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวอีก หลี่หมิงอวินหนอหลี่หมิงอวิน เจ้าเปลี่ยนเป็นคนใจแคบเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อใดกันหรือ ขณะที่กำลังตำหนิตนเอง รู้สึกเสียใจภายหลัง หลี่หมิงอวินก็เริ่มร้อนรนใจขึ้นมา จึงเร่งฝีก้าวเดินมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านพัก
ตงจึที่เดินติดตามอยู่ด้านหลังแอบถอนหายใจยาว ตลอดทางเดินมานี้คุณชายรองเอาแต่หน้าบึ้งตึง ไม่พูดไม่จา เขาก็ไม่กล้าเอ่ยถามใดๆ เช่นกัน ทำได้เพียงเดินตามมาอย่างเงียบๆ และยังคิดว่าคุณชายรองจะเดินให้รอบภูเขาลูกใหญ่นี้แล้วเสียอีก นั่นคงต้องเหนื่อยแย่แน่ๆ ดีที่ดูเหมือนคุณชายรองจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ในที่สุดก็ต้องการกลับไปเสียที
หลี่หมิงอวินกลับถึงบ้านพัก กุ้ยซ่าวและหรูอี้กำลังอยู่ที่ปากประตูทางเข้าลานบ้านเดินวกไปวนมาด้วยความกระวนกระวายใจ เมื่อเห็นคุณชายรองกลับมาแล้ว ทั้งสองจึงรีบเดินเข้าไปหา
“เอ้อร์เส้าเหยีย ท่านกลับมาเสียที” กุ้ยซ่าวกล่าวด้วยความร้อนใจ
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเจื่อน การที่เขาออกไปเงียบๆ เช่นนี้ หลันเอ๋อร์คงต้องเป็นห่วงแน่นอน
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายล่ะ” หลี่หมิงอวินเอ่ยถาม
“เอ้อร์เส้าเหยียออกไปไม่นานนัก เอ้อร์เส้าหน่ายนายก็ออกไปด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้วด้วย ข้าน้อยและกุ้ยซ่าวร้อนใจจะแย่แล้วเจ้าค่ะ…” หรูอี้รีบบอกกล่าวทันที
สีหน้าหลี่หมิงอวินเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินดังกล่าว และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายออกไปแล้ว? ไม่ได้บอกหรือว่าไปไหน เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ติดตามไป”
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่ให้ตามเจ้าค่ะ ทว่าจิ่นซิ่วแอบย่องตามไปเจ้าค่ะ…” หรูอี้กล่าวอ้ำอึ้ง
หลี่หมิงอวินชักสีหน้าเคร่งขรึม แล้วกล่าวตำหนิ “เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ได้เรื่องได้ราวเยี่ยงนี้ แล้วก็ไม่รู้จักมาตามข้าบ้าง”
หรูอี้บ่นพึมพำด้วยความรู้สึกไม่ยุติธรรมขณะก้มหน้าก้มตา “ภูเขาลูกใหญ่เพียงนี้ พวกข้าน้อยจะไปตามหาเอ้อร์เส้าเหยียที่ไหนกันละเจ้าคะ…”
กุ้ยซ่าวสะกิดหรูอี้ แสดงท่าทีให้นางหยุดพูดได้แล้ว
หลี่หมิงอวินหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาครุ่นคิดดู เรื่องนี้จะโทษพวกนางไม่ได้เช่นกัน
“เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ รีบๆ คิดหาวิธีตามหาถึงจะถูกนะเจ้าคะ ยามที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายออกไป ดวงตาแดงก่ำเลยละเจ้าค่ะ บ่าวเป็นห่วงเหลือเกินเจ้าค่ะ…” กุ้ยซ่าวบอกกล่าว
หลี่หมิงอวินทอดสายตามองไปยังผืนป่าที่อยู่ในความมืดสลัว หากไม่ใช่เพราะพวกกุ้ยซ่าวกำลังยืนอยู่เบื้องหน้า เขาก็อยากจะเขกศีรษะตนเองแรงๆ จริงๆ หลันเอ๋อร์จะต้องเสียใจอย่างยิ่งแน่นอน ทว่าควรไปตามหาที่ไหนดีล่ะ จิ่นซิ่วเจ้าเด็กสาวซื่อๆ นี่ ก็ไม่รู้จักวิ่งกลับมาส่งข่าวคราวสักหน่อยหรือไร
ตงจึกล่าว “เอ้อร์เส้าเหยียขอรับ หรือไม่ข้าน้อยลงไปตีนเข้าเพื่อหาผู้ดูแลที่นี่ดีละขอรับ จะได้ให้เขาพาคนมาช่วยกันตามหา”
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าจะไปสถานที่แห่งหนึ่งก่อน หากที่นั่นตามหาเอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่พบ เจ้าค่อยไปหาผู้ดูแลแล้วกัน” ขณะกล่าว หลี่หมิงอวินก็เดินมุ่งหน้าไปทิศใต้อย่างรวดเร็ว
พระอาทิตย์ใกล้จะลาลับภูเขาลูกโตลงไปแล้ว จิ่นซิ่วไม่อาจมัวรอคอยอยู่ได้อีกต่อไป และไม่สนว่านายหญิงสะใภ้รองจะโกรธนางหรือไม่ จึงตัดสนใจแสดงตัว
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ จะมืดค่ำแล้ว ที่นี่ลมแรงด้วย เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะเจ้าคะ พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าเหยียคงร้อนใจแย่แล้วเจ้าค่ะ” จิ่นซิ่วเกลี้ยกล่อม
หลินหลันตกอกตะใจต่อการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจิ่นซิ่ว จ้องมองนางด้วยความประหลาดใจ “เจ้าตามมาได้อย่างไรกัน”
จิ่นซิ่วปั้นหน้าเศร้าสร้อย “ข้าน้อยจะไม่ตามมาได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ เกิดเอ้อร์เส้าหน่ายเป็นอะไรไป ข้าน้อย..ข้าน้อย ก็คงไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้แล้วเช่นกัน…” จิ่นซิ่วกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้
หลินหลันลุกขึ้นมา แล้วปัดเศษหญ้าที่อยู่บนกระโปรง นางเม้มริมฝีปากแล้วกล่าว “ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้อะไรกัน ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย จะเป็นห่วงอะไรหรือ”
“ข้าน้อยจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไรละเจ้าคะ นี่มันก็จะมืดค่ำแล้ว เกิดพวกเราเจอหมาป่า หมูป่าเข้าล่ะเจ้าคะ เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านก็วิ่งนำไปก่อนแล้วกันเจ้าค่ะ ข้าน้อย ข้าน้อยจะช่วยขวางมันไว้ให้ท่านเจ้าค่ะ”
ทั้งๆ ที่กลัวจะแย่ แต่ดันกล่าวอย่างผู้กล้าหาญ หลินหลันอดไม่ได้ที่จะขำขันไปกับท่าทีของนาง
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครหรือ ถึงได้คิดที่จะขวางหมูป่า หากไปเจอหมูป่า หมาป่าเข้าจริงๆ ลำพังคนตัวเล็กๆ บอบบางอย่างเจ้านี่ ยังไม่พอให้มันกลืนกินเลยด้วยซ้ำ ก็ได้ พวกเรากลับกันเถอะ!”
หลินหลันคิดได้แล้วเช่นกัน การวิ่งหนีออกมาเมื่อรู้สึกโกรธ นั่นมันเป็นวิธีที่เด็กๆ เขาทำกัน ไม่มีความหมายเลยสักนิด ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ออกมาเที่ยวสักครั้ง ต่อให้ทะเลาะกับหมิงอวิน คนที่ต้องไปก็คือเขา ไม่ใช่นาง พรุ่งนี้ยังต้องขึ้นเขาไปขุดหน่อไม้ เด็ดสมุนไพรและผักป่าอีก
จิ่นซิ่วยิ้มกว้างและพยักหน้าอย่างแรง เมื่อเห็นว่าในที่สุดนายหญิงสะใภ้รองก็ยอมกลับเสียที
ทั้งสองคนยังไม่ทันพ้นออกจากป่า ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกของหมิงอวินลอยมาแต่ไกล
“หลันเอ๋อร์…หลันเอ๋อร์…”
“เป็นเสียงเอ้อร์เส้าเหยียเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าเหยียมาตามหาพวกเราแล้ว ไม่สิ มาตามหาเอ้อร์เส้าหน่ายนายแล้วเจ้าค่ะ…” จิ่นซิ่วกล่าวด้วยความดีใจ
หลินหลันรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงนี้ พ่อหนุ่มนี่ยังอุตส่าห์รู้จักมาตามหานาง ทว่า นางกลับไม่หยุดชะงักฝีก้าวแต่อย่างใด
“จิ่นซิ่ว เจ้าไปดักรออยู่เบื้องหน้าเอ้อร์เส้าเหยีย แล้วบอกเขาไปว่าพลัดหลงกันแล้ว”
จิ่นซิ่วอ้าปากค้าง เผยสีหน้าตะลึงงัน “ทำไมกันเจ้าคะ หากข้าน้อยพูดเช่นนี้ เอ้อร์เส้าเหยียจะไม่ฆ่าข้าน้อยเลยหรือเจ้าคะ…”
หลินหลันหัวเราะเบาๆ “เอ้อร์เส้าเหยียตระกูลเจ้าเป็นคนโหดเหี้ยมประเภทนั้นหรือไร ทำตามที่ข้าบอกก็พอ เจ้าแค่แบกรับความไม่ยุติธรรมไปหน่อย ไว้กลับไปข้าจะมอบรางวัลชดเชยให้เจ้า”
“แล้ว…เอ้อร์เส้าหน่ายนายล่ะเจ้าคะ” จิ่นซิ่วเอ่ยถามด้วยความลังเล
หลินหลันเผยรอยยิ้มมุมปาก ขณะมองไปยังทิศทางเสียงที่ลอยมา “ข้าจะเดินเส้นทางอ้อมกลับไปบ้านพัก”
หลินหลันรำพึงรำพันในใจ ในเมื่อเจ้าทำเป็นโกรธเคืองข้า ข้าก็จะทำให้เจ้าร้อนใจแทบแย่ไปเลย