ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 311-2 โกรธเคืองอย่างยิ่ง
“หลันเอ๋อร์ ยังโกรธข้าอยู่อีกหรือ อย่าโกรธกันเลย เรื่องวันนี้เป็นข้าเองที่ทำไม่ถูก ข้าขอโทษเจ้าอย่างยิ่ง ข้ารับประกันว่าจากนี้จะไม่ทำให้เจ้าโกรธอีกแล้ว ตกลงหรือไม่ รีบเปิดประตูเร็วเข้า บรรดาข้ารับใช้มองดูกันอยู่ มันน่าอายเสียยิ่งอะไรดี...” หลี่หมิงอวินส่งเสียงอ้อนวอน
หลินหลันพลิกตัว คลุมโปงให้ตนเองหนาแน่นยิ่งกว่าเดิม อย่าคิดว่าเขาพูดดีเข้าหน่อยสองสามประโยคก็จะเป็นอันหายกัน เขามีอารมณ์หงุดหงิด นางก็มีอารมณ์หงุดหงิดได้ไม่น้อยเช่นกัน นางถามตนเองว่าทำตรงไหนผิดไปแม้แต่เล็กน้อยหรือไม่ อุตส่าห์ทุ่มเทสุดหัวใจเช่นนี้เพื่อเขา ต่อสู้กับแม่มดชรา ต่อสู้กับพ่อผู้ไร้ยางอาย ต่อสู้กับไท่โฮ่ว ต่อสู้กับตระกูลฉิน ทั้งหมดทั้งมวลเพื่อเขา นางไม่เคยปริปากบ่นเลยสักนิดแม้ต้องเผชิญอันตรายมากมาย เพราะนางรักเขา เพราะนางคิดว่าเขามีจิตใจและความนึกคิดเช่นเดียวกับนาง ยามนี้ กลับเพื่อเรื่องที่ไม่ใช่ความผิดของนางเลยแม้แต่น้อย เพื่อคำพูดประโยคเดียวที่เกิดจากความโมโห เขาทอดทิ้งนาง ปล่อยให้นางร้องไห้ปวดใจตามลำพัง บุรุษประเภทนี้ ไม่สั่งสอนสักหน่อยจะได้เรื่องหรือ
“หลันเอ๋อร์ เปิดประตูเร็วเข้าเถอะ! ตอนนี้ข้าทั้งหนาว ทั้งหิว ทั้งเหนื่อย ข้าสำนึกผิดแล้ว เจ้าให้โอกาสข้าแก้ตัวสักครั้งได้หรือไม่ ถึงอย่างไรเจ้าก็คงไม่ตัดสินโทษข้าถึงขั้นประหารชีวิตเพียงเพราะข้ากระทำผิดครั้งเดียวหรอกใช่หรือไม่ อีกอย่าง สามีภรรยากัน มีที่ไหนแยกห้องนอนกันเล่า! หลันเอ๋อร์ เปิดประตูเถอะ!” หลี่หมิงอวินอ้อนวอนด้วยเสียงบางเบา
ตงจึที่แอบฟังอยู่ด้านนอกเอ่ยรำพึงรำพัน “คราวนี้เอ้อร์เส้าเหยียแย่จริงๆ แล้วละ”
“ก็นั่นน่ะสิ ข้าไม่เคยเห็นเอ้อร์เส้าหน่ายนายโกรธเคืองเพียงนี้มาก่อนเลย” หรูอี้กล่าวเสริม
“ข้าว่าต่อให้เอ้อร์เส้าเหยียพูดอีกเท่าใดก็เปล่าประโยชน์ เอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่ให้อภัยเอ้อร์เส้าเหยียโดยง่ายเป็นแน่” จิ่นซิ่วกล่าวด้วยความมั่นใจ
กุ้ยซ่าวถอนหายใจ “ไม่รู้เหมือนกันว่าเอ้อร์เส้าเหยียไปทำอีท่าไหนเอ้อร์เส้าหน่ายนายถึงขุ่นเคืองใจเอาได้ เฮ้อ! ตอนที่มาทุกคนยังสุขใจกันอยู่แท้ๆ อยู่ดีๆ เป็นเช่นนี้ไปเสียได้ พวกเจ้าก็อย่ามัวแอบสอดส่องดูตรงนี้อยู่เลย ตงจึ จิ่นซิ่ว พวกเจ้าสองคนไปเตรียมน้ำได้แล้ว เอ้อร์เส้าเหยียเหงื่อท่วมตัวหมดแล้ว…”
ตงจึยังคงแนบอิงอยู่ตรงนั้นเพื่อสังเกตดู กุ้ยซ่าวจึงเอื้อมมือไปดึงใบหูเขา “รีบไปทำหน้าที่ตนเองเสีย”
ตงจึถึงกับกัดฟันแน่นพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “ปล่อยๆ เจ็บนะขอรับ…”
กุ้ยซ่าวปล่อยมือ จากนั้นจ้องเขม็งใส่เขา
ตงจึจับหูขณะกล่าวโต้เถียง “นี่ข้าก็แค่ห่วงใยเอ้อร์เส้าเหยียเท่านั้นเองขอรับ เอ้อร์เส้าเหยียน่าสงสารจะตายชัก”
หลี่หมิงอวินพูดปะเหลาะจนไม่รู้จะสรรหาคำได้มาพูด พูดจนคอแห้งก็ว่าได้ ด้านในยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย จึงอดหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ “หลันเอ๋อร์ เจ้าไม่สนใจข้าแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่” เขากล่าวอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
ยังคงไร้วี่แววความเคลื่อนไหว หลี่หมิงอวินจึงทำได้เพียงหาทางกู้สถานการณ์ให้ตนเอง “เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนไปก่อนแล้วกัน ข้าจะไปหาอะไรกินหน่อย อีกเดี๋ยวจะมาดูเจ้า”
ท้ายที่สุดก็ไร้เสียงรบกวนเสียที หลินหลันเลิกผ้าห่มเปิดออกแล้วถอนหายใจยาว นางคิดไม่ตกว่า อีกเดี๋ยวหากเขามาเคาะประตู จะเปิดประตูให้หรือไม่เปิดให้ แต่ถ้าเปิดให้แล้ว มิเท่ากับเป็นการใจอ่อนต่อเขาเกินไปหรือ ไม่ จะใจอ่อนไม่ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นเขาก็จะไม่รู้จักจำขึ้นใจ
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หลินหลันจึงคลายปมคิ้วที่ขมวดอยู่ แล้วนอนหลับไปอย่างสบายใจ
หลี่หมิงอวินเรียกหรูอี้มาซักถามหลังรับประทานมื้อเย็น และอาบน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“หรูอี้ เอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับมาด้วยสภาพอารมณ์เช่นไรหรือ”
หรูอี้ครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วจึงกล่าวตอบ “ตอนนี้เอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับมาก็ดูอารมณ์ดีทีเดียวนะเจ้าคะ มื้อเย็นยังรับประทานบะหมี่หน่อไม้ไก่ฉีกไปตั้งหนึ่งชามใหญ่ๆ เจ้าค่ะ”
อารมณ์ดี กินได้อิ่มหนำสำราญ…หลี่หมิงอวินคิดวิเคราะห์ แต่กลับยิ่งปวดสมอง ยิ่งหลันเอ๋อร์แสดงออกอย่างไม่แยแส ก็หมายความว่านางโกรธอย่างยิ่ง แย่แล้ว เห็นทีว่าหลันเอ๋อร์ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่สนใจเขาแล้ว
“เอ้อร์เส้าเหยีย สรุปแล้วท่านกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายเป็นอันใดหรือเจ้าคะ พวกข้าน้อยอยากช่วยพูด แต่ก็ไม่รู้ว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายโกรธเคืองด้วยเรื่องอันใด จึงไม่อาจช่วยพูดเกลี้ยกล่อมได้เจ้าค่ะ” หรูอี้ทำใจกล้าเอ่ยถาม
หลี่หมิงอวินถอนหายใจด้วยความหดหู่ จากนั้นยกมือขึ้นโบก “เรื่องนี้ไม่อาจพูดได้ชัดแจ้งในเวลาอันสั้น ถึงอย่างไรก็เป็นข้าเองที่ไม่ดี ช่างเถอะ เจ้าออกไปก่อนเถอะ!”
หรูอี้เดินไปได้สองฝีก้าวก็หันกลับมา แล้วเอ่ยถามอย่างลังเล “เอ้อร์เส้าเหยีย อีกประเดี๋ยวท่านยังต้องไปหาเอ้อร์เส้าหน่ายนายหรือเจ้าคะ”
หลี่หมิงอวินยิ้มเจื่อน เผยสีหน้าไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ
หรูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “เอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าหน่ายนายกำลังโกรธเคือง คงไม่ยอมเจอท่านเป็นแน่ ท่านต้องคิดหาวิธีอื่นดูหน่อยนะเจ้าคะ”
วิธีอื่น? วิธีอะไรล่ะ เขาพูดปะเหลาะก็แล้วไม่รู้เท่าใด หลันเอ๋อร์ล้วนทำหูทวนลมใส่
“เอ้อร์เส้าเหยีย ท่านฉลาดเพียงนี้ แล้วยังจะคิดวิธีอื่นไม่ออกอีกหรือเจ้าคะ ข้าน้อยคิดว่า ในใจเอ้อร์เส้าหน่ายนายแยแสเอ้อร์เส้าเหยียมากที่สุดนะเจ้าคะ” หรูอี้กล่าว
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วขณะครุ่นคิด ทันใดนั้นก็มีความนึกคิดบางอย่าง เขาตวัดสายตามองหรูอี้ขณะเผยรอยยิ้มระรื่น
หรูอี้รู้สึกขนลุกขนชันเมื่อถูกคุณชายรองจ้องมองด้วยแววตาเช่นนั้น “เอ้อร์เส้าเหยีย...”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หรูอี้ หากเอ้อร์เส้าเหยียหายโกรธแล้ว เราจะมีรางวัลอย่างงามให้เจ้า”
“เอ๋?” หรูอี้ได้แต่รู้สึกประหลาดใจชอบกล “แต่ว่าข้าน้อยไม่มีวิธีทำให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่โกรธนะเจ้าคะ”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจุดประกายความคิดให้เราแล้วอย่างไรล่ะ”
หลี่หมิงอวินกวักมือเรียกหรูอี้ แสดงสัญญาณให้นางเอี้ยวหูเข้ามา แล้วกระซิบกระซาบข้างใบหูนางชั่วขณะหนึ่ง หรูอี้พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันตั้งใจว่าจะนอนหลับ แต่กลับพลิกไปพลิกมาอย่างข่มตาหลับไม่ลง เมื่อบอกกล่าวตนเองว่า อย่าได้ไปสนใจพ่อหนุ่มนั่น แต่ก็ไม่อาจควบคุมหัวใจของตนเองได้ พ่อหนุ่มนี่ แค่รับประทานอาหารมันจะยาวนานอะไรเพียงนี้หรือ
ก๊อกๆๆ มีคนเคาะประตู
หลินหลันแอบอมยิ้ม
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ เอ้อร์เส้าหน่ายนาย…” เป็นเสียงของหรูอี้ ดูเหมือนจะร้อนใจไม่น้อยทีเดียวเชียว
หลินหลันครุ่นคิดในใจ หรือว่าเขาให้หรูอี้มาเรียกที่หน้าประตู จึงแสร้งไม่หือไม่อือ
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ แย่แล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่เอ้อร์เส้าเหยียเป็นลมล้มพับไปเจ้าค่ะ” หรูอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน “บรรดาข้าน้อยตกใจกันแย่แล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันดีดตัวลุกขึ้นมานั่งทันที เป็นลม? คิดจะหลอกกันหรือ เขาแข็งแรงกำยำอย่างกับกระทิงด้วยซ้ำ มีหรือจะเป็นลมง่ายๆ ได้ เป็นบุรุษยังหนุ่มยังแน่น แล้วยังจะแสร้งสำออยอีกหรือ
หรูอี้กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือราวกับร้องไห้ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านรีบไปดูเถอะนะเจ้าคะ! ยามที่เอ้อร์เส้าเหยียกลับมา ศีรษะก็เต็มไปด้วยเลือด จิ่นซิ่วเอ่ยว่าเอ้อร์เส้าเหยียตามหาเอ้อร์เส้าหน่ายนายด้วยความร้อนใจ ไม่ทันระวังฝีก้าว จึงไถลกลิ้งลงมาจากเนิน ศีรษะไปกระแทกบางอย่างเข้าจนศีรษะแตก ข้าน้อยช่วยพันแผลให้เอ้อร์เส้าเหยียแล้ว แต่เมื่อครู่เอ้อร์เส้าเหยียก็เป็นลมหมดสติไปเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าหน่ายนาน ท่านรีบไปดูหน่อยเถอะนะเจ้าคะ! เกรงว่าเอ้อร์เส้าเหยียจะได้รับการกระทบกระเทือนที่สมองอย่างรุนแรงแล้วกระมังเจ้าคะ…”
การพูดเป็นตุเป็นตะเช่นนี้ ผนวกกับเสียงราวกับร้องห่มร้องไห้ด้วยความร้อนรนใจของหรูอี้ หลินหลันจึงอดไม่ได้ที่จะหลงเชื่อเสียสนิทใจ การเดินตามเส้นทางภูเขาที่มืดสลัวเดิมทีก็ไม่ปลอดภัยอยู่แล้ว บวกกับเขาที่กำลังร้อนรนใจ ไม่หกล้มสิถึงแปลกน่าดู! ถึงขั้นกลิ้งตกลงไปจากเนินเขา อย่าได้สมองกระทบกระเทือนไปจริงๆ เชียวนะ
หลินหลันรีบลงจากเตียงเพื่อไปเปิดประตู แต่ด้วยภายในห้องมืดมิด จึงไปชนเข้ากับมุมเก้าอี้ หลินหลันหาได้มัวสนใจความเจ็บปวดไม่ นางพุ่งตรงไปหน้าประตู แล้วปลดกลอนประตู ก่อนเปิดประตูทันที แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “เอ้อร์เส้าเหยียอยู่ไหนหรือ”
ทว่าที่ยืนตระหง่านอยู่ด้านนอกนี่ เป็นหลี่หมิงอวินเห็นๆ และไม่ใช่สภาพชวนสะเทือนใจอย่างที่หรูอี้กล่าวว่าศีรษะแตกเลือดไหลอะไรนั่นด้วย แต่กลับเป็นเขาที่กำลังยืนอมยิ้มขณะมองนาง ด้วยสีหน้าท่าทีสบายใจเฉิบ
หลินหลันตั้งสติกลับคืนมาได้ นี่นางถูกหลอกเข้าแล้ว ให้ตายสิหรูอี้ กล้าดีถึงขั้นหลอกลวงนางจนได้ หลินหลันเตรียมปิดประตู แต่หลี่หมิงอวินไวกว่านางหนึ่งก้าว โดยการส่งเท้าข้างหนึ่งเข้าไปกั้นไว้
“เจ้าออกไปนะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ให้เจ้าอยู่ กลับไปห้องของตนเองไป” หลินหลันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ ก็ว่าแล้วว่าไม่ควรใจอ่อน คราวนี้เป็นอย่างไรล่ะ นางอุตส่าห์เป็นห่วงเขา ร้อนรนใจเพราะเขาแทบแย่ เขาคงพึงพอใจแล้วสินะ!
หลี่หมิงอวินกล่าวขณะใบหน้าแต่งแต้มไว้ด้วยร้อยยิ้ม “นี่ก็คือห้องของข้า ข้าจึงกลับห้องของข้า” ขณะกล่าว สองเท้าก็เดินเหยียบเข้ามาด้านใน
หลินหลันต้องการปิดประตูแต่ไม่อาจปิดได้ ต้องการขับไล่คนเขาไปก็ไม่ยอมไป จึงง้างบานประตูเปิดออก แล้วเอ่ย “เจ้าไม่ไป ข้าไปเอง”
ทันใดนั้นกลับถูกคนเขากอดไว้แนบแน่น “หลันเอ๋อร์ อย่าโกรธอีกเลย เป็นข้าเองที่ไม่ดี ข้าขอโทษเจ้าอย่างยิ่ง”
หลี่หมิงอวินโอบกอดนางไว้อยู่หมัด ใช้เพียงเท้าเดียวถีบบานประตูให้ปิดลง สองสามีภรรยาปิดประตูพูดคุยกัน อะไรต่อมิอะไรน่าจะง่ายดายขึ้น
หลินหลันขัดขืนสุดกำลัง “เจ้าถอยออกไปนะ ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีกแล้ว”
“หลันเอ๋อร์ อย่าเป็นเช่นนี้เลย ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะปรับปรุงตัว ตกลงหรือไม่ จากนี้เจ้าพูดอันใดข้าก็ว่าไปตามนั้น ข้าล้วนตามใจเจ้าทั้งหมดเลย จะไม่ทำให้เจ้าโกรธอีก บนโลกใบนี้นอกจากท่านแม่ข้า ก็มีแต่เจ้าที่ห่วงใยข้าที่สุด ทำดีต่อข้ามากที่สุด ข้าจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ควรกระทำ ไม่ควรพูดจาไร้สาระ เป็นข้าเองที่เลอะเลือน ข้าไม่ควรใส่อารมณ์กับเจ้า ตามจริงพอข้าเดินพ้นประตูออกมา ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที จริงๆ นะ ข้าเสียใจอย่างยิ่ง พอรู้ว่าเจ้าหายตัวไป วิญญาณข้าแทบจะล่องลอยออกจากร่าง ข้าไปตามหาจนทั่วทั้งป่าท้อ หากมิใช่ตงจึมาบอกกล่าว ข้าก็เตรียมลงเขาไปตามหาเจ้าแล้ว หากหาตัวเจ้ากลับมาไม่ได้ ชั่วชีวิตนี้ข้าคงไม่อาจให้อภัยตนเองได้ หรูอี้ก็ไม่ได้โกหกเจ้าด้วย ข้าหกล้มแล้วจริงๆ พลิกไปตั้งหลายสิบตลบ โชคดีที่ต้นไม้กั้นไว้ มิเช่นนั้นคงร่วงหล่นหน้าผาไปแล้ว เจ้าดูนี่สิ แล้วก็นี่ด้วย…” หลี่หมิงอวินถลกแขนเสื้อที่ปรากฏคราบเลือดและรอยฟกช้ำให้นางดู
“หลันเอ๋อร์ ข้ากลัวจริงๆ ว่าจะสูญเสียเจ้าไป ตอนนั้นที่พี่สะใภ้ใหญ่คลอดลำบาก ข้าตื่นกลัวแทบแย่ ข้าก็เลยคิดว่า หากเป็นเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์คลอดลำบากเช่นนั้น ข้าไม่รู้ว่าข้าจะแบกรับได้ไหวหรือไม่ หลันเอ๋อร์ หากจะโทษก็คงต้องโทษที่ข้าห่วงใยเจ้าเกินไป ข้าคิดเพียงแค่อยากอยู่เคียงคู่เจ้าชั่วฟ้าดินสลาย…” หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างเศร้าสร้อย
หลินหลันมองดูร่องรอยบาดแผลบนท่อนแขนเขา และจินตนาการถึงความอันตรายในตอนนั้น นางจึงเกิดความหวาดกลัวสิ่งที่จะตามมาภายหลังขึ้นทันที หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับหมิงอวินจริงๆ เช่นนั้นนางคงไม่อาจให้อภัยตนเองได้ตลอดกาล ล้วนเป็นนางเองที่ไม่ได้เรื่อง สนใจแต่ความรู้สึกตนเอง แต่ไม่เคยนึกถึงเขาที่ต้องตามหานางอยู่ในป่ามืดมิดว่าจะอันตรายเพียงใด หลินหลันนึกตำหนิตนเอง อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
“หลันเอ๋อร์ อย่าร้องไห้เลย พอเจ้าร้องไห้ ข้าก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี” หลี่หมิงอวินปาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาจากดวงตาไม่ขาดสายอย่างทะนุถนอม เขารู้สึกลนลานจนทำอะไรไม่ถูก
หลินหลันผลักเขาออกอย่างเบามือ แล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา “ข้าจะไปหยิบกล่องยา ข้าจำได้ว่าข้านำกล่องยาติดมาด้วย”