ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่103ซื่อบื้อ
เมื่อฮานชิวเยว่เอ่ยให้หลิวอี๋เหนี่ยงเลือกก่อน หมิงจูจึงลุกพรวดขึ้นแล้วสะบัดชายแขนเสื้ออย่างไม่พอใจ “ข้าไม่ต้องการแล้ว” หลังจากนั้นก็เดินออกไปด้วยความโกรธเคือง
ฮานชิวเยว่เผยสีหน้าเอือมระอาเล็กน้อย ขณะที่หลิวอี๋เหนี่ยงแสดงออกอย่างไม่สบายใจ “เป็นข้าน้อยที่ไม่ดีเอง ข้าน้อยควรให้เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะได้เลือกก่อน”
ฮานชิวเยว่อมยิ้ม “จะได้อย่างไรกัน เดิมทีครั้งนี้ที่นำคนเข้ามาก็เพื่อเจ้าโดยเฉพาะ”
หลังจากนั้นหลิวอี๋เหนี่ยงถึงได้เลือกเด็กสาวเยาว์วัยออกมาสองคน ส่วนที่เหลืออีกสองคนมีอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีเห็นจะได้ ฮานชิวเยว่ให้ชุ่ยจือนำพวกนางไปยังเรือนหลี่หมิงจู หากนางไม่ต้องการก็ให้หญิงชราคนกลางที่นำมาพากลับไปเสีย
เมื่อเรื่องนี้เสร็จสิ้นเรียบร้อย แววตาอันสงบนิ่งของฮานก็กวาดสายตาไปยังมองหลินหลันและติงหลั้วเหยียน “พรุ่งนี้เป็นวันหยุดงานของเหล่าเหยียพอดี จะได้จัดการเรื่องพิธีการรับอนุภรรยาเข้ามาให้เรียบร้อย หากพวกเจ้าไม่มีเรื่องอื่นอันใดต้องทำก็มาเข้าร่วมพิธีด้วยกันเถอะ!”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวอย่าลังเลใจ “พี่สะใภ้ของลูกเพิ่งให้กำเนิดบุตรเมื่อคืนจากที่เดิมทีบอกว่ายังเหลืออีกเจ็ดแปดวันถึงจะคลอดเจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตระกูลติงได้เพิ่มสมาชิกใหม่ขึ้นมาอีกคนถือเป็นเรื่องน่ายินดี ชุนซิ่ง รีบไปเตรียมของขวัญอย่างดีเอาไว้หนึ่งชุด พรุ่งนี้ให้ต้าเส้าหน่ายนายนำติดตัวไป” หลังจากนั้นก็หันไปเอ่ยกับติงหลั่วเหยียนอีกครั้ง “เจ้านำของขวัญไปมอบให้ก่อน ไว้รอข้าจัดการเรื่องในบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่อยไปแสดงความยินดีถึงที่”
ติงหลั้วเหยียนโค้งตัวก้มลงอย่างอ่อนน้อม เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ผู้เป็นแม่สามีเข้าอกเข้าใจ
หลินหลันรู้ดีแก่ใจว่าการที่ติงหลั้วเหยียนจะกลับไปบ้านท่านแม่ของนางเพื่อมอบของขวัญให้ จะไปเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้นมิใช่หรือ เหตุใดไม่รอให้งานแต่งตั้งอนุภรรยาเสร็จสิ้นไปแล้วค่อยไปช้าหน่อยก็ได้เช่นกัน ต่างก็อยู่ในเมืองเดียวกันใกล้ๆ แค่นี้ นั่งรถม้าเพียงชั่วประเดี๋ยวก็เป็นอันถึงแล้ว นี่จะต้องเป็นการน้อมรับคำประสงค์ของแม่มดชรามาอย่างแน่แท้ แม่มดชราคงอยากทำให้วันพรุ่งนี้มีแต่ความเงียบเหงาสินะ
“หลินหลัน เจ้าล่ะ” ฮานชิวเยว่เอ่ยถามหลินหลัน
หลินหลันกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “พรุ่งนี้หมิงอวินต้องไปเข้าสอนในราชวัง ทว่าลูกไม่มีธุระอันใดต้องทำ เช่นนั้นจักต้องไปเข้าร่วมพิธีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ คนเยอะเข้าไว้จะได้ครึกครื้นเจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่หัวเราะแล้วกล่าวขึ้น “งั้นก็ดีจ้ะ”
ทางด้านหลิวอี๋เหนี่ยงซึ่งเผยรอยยิ้มบนใบหน้าเล็กน้อยภายใต้ท่าทีมีความสุขอย่างอยู่ตลอดเวลา นั่นทำให้คนอื่นๆ ไม่อาจมองทะลุความนึกคิดของนางได้
หลินหลันพาเหวินลี่และอวิ๋นอิงกลับมายังเรือนหลั้วเซี๋ยจายแล้วส่งมอบพวกนางให้แม่โจวเพื่อจัดสรรภาระงานต่อไป ส่วนตนเองก็ไปนั่งดูสมุดบัญชีอีกครั้ง หลังจากไล่ดูสมุดบัญชีหลายเล่มจนครบ หลินหลันก็พบปัญหาบางอย่าง แม้ว่าอสังหาริมทรัพย์ของหลี่หมิงอวินจะมีมากโข ทว่าที่สามารถทำผลกำไรออกมาให้ได้มีเพียงดอกเบี้ยอันน้อยนิดของหมู่บ้านหยินและห้องแถวร้านค้าจำนวนหนึ่งที่ซูโจวกับหางโจวเท่านั้น ตลอดทั้งปีทำเงินได้ราวๆ หนึ่งหมื่นห้าพันหกร้อยเหลี่ยงเท่านั้นเอง รายจ่ายภายในบ้านส่วนมากล้วนเบิกจ่ายจากห้องบัญชีในจวนแห่งนี้ หากไม่เพียงพอค่อยเพิ่มเติมส่วนของตนเองเข้าไปอีกเล็กน้อย ถือว่าไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด แต่นี่คือในกรณีที่ยังไม่ได้แยกบ้านออกไป หากเมื่อใดแยกบ้านออกไป เงินจำนวนนี้ก็ไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายภายในบ้านเสียแล้ว และจะคอยพึ่งพาเงินทางตระกูลเยี่ยไปตลอดก็คงไม่ดีนัก หรือจะกินสมบัติเก่าของตนเองยิ่งแล้วใหญ่…หลินหลันนึกถึงห้องแถวสิบแปดห้องที่ตงหยาเหมินแล้วยังมีหมู่บ้านนอกเมืองอีกสองแห่ง ลองคิดๆ ดูแล้วผลกำไรต่อปีที่เข้ากระเป๋าแม่มดชรานั่นมันไม่ใช่น้อยๆ เลย หลินหลันรู้สึกอึดอัดใจ เห็นทีว่าจะต้องรีบขับไล่แม่มดชราออกไปให้โดยเร็วไวที่สุด และนำของของหมิงอวินกลับคืนมาให้หมด รู้เอาไว้ซะ ว่าส่วนหนึ่งในนั้นมันมีของนางอยู่ด้วยครึ่งหนึ่ง!
กว่าหลี่หมิงอวินจะกลับมาหลินหลันถึงกับรอจนเหงือกแห้ง
ป๋ายฮุ่ยคอยปรนนิบัติเขาจนกระทั่งเขาเข้าไปยังห้องน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา
หลินหลันยื่นน้ำชาร้อนๆ ให้อย่างรู้งาน หลังจากนั้นก็ให้ทุกคนออกไปจนหมดก่อนจะปิดบานประตูลง
หลี่หมิงอวินมองดูสีหน้าอันระแวะระวังของนางราวกับมีเรื่องลับลมคมในอันใหญ่ลวง เขาได้แต่แอบขำกับตนเองแล้วถือถ้วยน้ำชาไปนั่งลงที่เก้าอี้นวมตัวยาว
หลินหลันนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เหตุใดถึงมอบของเหล่านั้นให้แก่ข้า”
หลี่หมิงอวินกระหยิ่มยิ้มย่องขณะมองนาง “ตอนอยู่บนภูเขามิใช่ข้าเคยพูดไว้แล้วหรอกหรือ เจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องดูแลจัดการเรื่องในบ้านได้แล้ว”
“แต่ว่า…เราไม่ได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ สักหน่อย เจ้าเอาของสำคัญทั้งบ้านส่งมอบให้ข้า หากข้าเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ขึ้นมาล่ะ”
หลี่หมิงอวินอมยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกมา “เจ้าไม่เชื่อมั่นในตนเองขนาดนี้เชียวหรือ”
หลินหลันกรอกตาอย่างเอือมระอา “ใครจะไม่เชื่อมั่นในตนเองกันเล่า! ข้าแค่ไตร่ตรองในกรณีที่เป็นตัวเจ้าต่างหาก”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลใจไปหรอก ข้ายังเชื่อมั่นในสายตาของข้า” ขณะเอ่ยหลี่หมิงอวินก็วางมือหนึ่งข้างลงบนหน้าตักของเขา ขณะที่อีกมือพาดลงบนหมอนอิงขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ด้านหลัง ภายใต้ท่าทางผ่อนคลายแต่ยังคงไว้ซึ่งความสง่างาม
เอ่อ! ในเมื่อเขาเชื่อมั่นในตัวนางขนาดนี้ เช่นนั้นนางจึงได้แต่จำยอมรับตำแหน่งผู้ดูแลบ้านอย่างไม่เต็มใจไปโดยปริยาย อย่างไรก็ตาม จะให้ทำงานฟรีๆ ก็คงมิได้หรอกใช่ไหม ทันใดนั้นสีหน้าของหลินหลันก็กลับมาแต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง นางหัวเราะฮี่ๆ ขณะเขยิบตัวเข้าไปเอ่ยถาม “งั้น…ข้าช่วยเจ้าดูแลบ้าน แล้วเรื่องเงินเดือนล่ะคิดอย่างไรหรือ”
หลี่หมิงอวินถึงกับต้องเงยหน้ามองเพดานห้อง ทั้งโกรธทั้งตลก เขากำลังแคลงใจอย่างยิ่งว่าสรุปแล้วหลินหลันเป็นคนฉลาดหรือซื่อบื้อกันแน่
เขานำทั้งหมดในบ้านที่มีมอบให้แก่นางแล้ว ให้นางดูแลบ้าน ซึ่งนั่นมันยังไม่กระจ่างชัดแจ้งพออีกหรือ ในยุคสมัยโบราณผู้ชายรับบทบาทสำคัญในงานนอกบ้าน ส่วนผู้หญิงเป็นใหญ่ในบ้าน ให้เป็นใหญ่ในบ้านดีๆ กลับไม่เข้าใจ ดันจะผลักตนเองให้กลายเป็นคนทำงานไปได้แล้วยังถามเขาถึงเรื่องเงินค่าตอบแทนอีก นี่มันหมายความง่าไงหรือ
หลี่หมิงอวินอึ้งกิมกี่ไปชั่วขณะ หลังจากนั้นก็กัดฟันเค้นคำพูดออกมาสองคำที่ว่า “ซื่อบื้อ”
หลินหลันถลึงตาใส่เขาแล้วบ่นอุบอิบ “ใครซื่อบื้อห๊ะ ข้าแค่รับค่าแรงตามเนื้องานที่ปฏิบัติจริงก็เท่านั้นเข้าใจไหม สิ่งเหล่านี้ถือเป็นธุรกิจนอกเหนือจากเรื่องที่ตกลงกันไว้ในสัญญา”
หลี่หมิงอวินรู้สึกหงุดหงิดจนหายใจหายคอไม่สะดวก “เจ้าอยากได้เท่าไหร่เอาไป ถึงอย่างไรของทั้งหมดก็มอบให้เจ้าแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
หลินหลันเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “จะได้อย่างไรกัน เจ้าต้องบอกตัวเลขมา ข้ามิใช่คนที่โลภมากไม่รู้จักพอสักหน่อย”
หลี่หมิงอวินหันหลังให้นางแล้วก้มลงสวมใส่รองเท้าก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไป
“นี่…เจ้าจะไปไหนน่ะ”
หลี่หมิงอวินไม่ตอบกลับแต่อย่างใด เขาเปิดบานประตูแล้วออกไปทันที
หลินหลันรู้สึกอึดอัดใจชอบกล เหตุใดพูดคุยกันอยู่ดีๆ ก็ลุกไปหน้าตาเฉยแบบนี้ล่ะ ที่นางต้องการก็แค่ให้เหมาะสมก็เท่านั้น ไม่ได้จะต่อรองราคาอะไรเสียหน่อย เขาอยากจะให้เท่าไหร่ก็ได้ทั้งนั้น แล้วใยเขาจะต้องไม่พอใจด้วย กะอีแค่เจราทำไมมันถึงยากเย็นเสียจริงนะ
เมื่อถึงเวลามื้ออาหาร หลี่หมิงอวินก็ยังไม่กลับมา พอถามผู้อื่นดูถึงได้รู้ว่าหลี่หมิงอวินออกไปข้างนอกกับตงจึแล้ว และไม่บอกด้วยว่าออกไปแห่งหนใดกัน
หลินหลันรู้สึกโกรธเคืองอย่างมาก ก็แค่ถามเขาเกี่ยวกับเงินเดือนเท่านั้นเองมิใช่หรือ ยังมีหน้ามาโกรธเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้เชียว
หลี่หมิงอวินออกจากบ้านไปพร้อมความกลัดกลุ้ม จึงมาหาเฉินจื่ออวี้ที่จวนเฉินเก๋อเหล่า
เฉินจื่ออวี้ซึ่งออกมาต้อนรับด้วยตนเอง เมื่อเห็นเขาสวมใส่ชุดไปรเวทสบายๆ ภายใต้สีหน้าบึ้งตึงจึงอดหยอกล้อไม่ได้ “โอ๊ะ! เหตุใดสีหน้าท่านจอหงวนถึงเป็นทุกข์ขนาดนั้น คงมิได้ถูกภรรยาขับไล่ออกมาหรอกใช่ไหม”
หลี่หมิงอวินอัดอั้นพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จึงได้แต่กล่าวเพียงห้วนๆ “สุราชั้นดีเหล่านั้นที่เจ้าสะสมไว้ล่ะ”
เฉินจื่ออวี้กล่าวด้วยความแปลกใจ “อะไรกัน หนักหนาสาหัสขนาดนี้เชียวหรือ ถึงขั้นต้องดื่มเหล้าย้อมใจกันเลย?”
หลี่หมิงอวินจ้องเขม็งไปที่เขาและกล่าวภายใต้สีหน้าดุดัน “เจ้าช่วยหยุดทักษะจินตนาการอันโล้ดโผนของเข้าไว้ก่อนจะได้ไหม”
เฉินจื่ออวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็ได้ๆ ไปดื่มกัน เดี๋ยวนะ มิใช่ว่าเจ้าดื่มสุราไม่ได้หรอกหรือ”
หลี่หมิงอวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตอนนี้ต้องพบปะสังสรรค์มากพอตัว เจ้าก็รู้ว่าในสถานการณ์เช่นนั้นจะปฏิเสธก็คงไม่ได้ ดังนั้นเลยตั้งใจมาฝึกฝนทักษะการดื่มสุรากับเจ้าเป็นการเฉพาะ”
เฉินจื่ออวี้หัวเราะลั่น พลางตบลงไปที่บ่าของหลี่หมิงอวิน “ในที่สุดก็ถึงบางอ้อแล้วสินะ! ข้าบอกเจ้าตั้งนานแล้วว่า บุรุษอย่างเราๆ ไม่ดื่มสุราจะได้อย่างไรกัน ไปเถอะ ข้าซ่อนเหล้าหมักอายุสามปีเอาไว้สองสามขวด โชคดีที่ข้าเก็บซ่อนไว้อย่างแน่นหนา มิเช่นนั้นถูกหนิงซิ่งเจ้าเด็กหนุ่นนั่นหอบไปดื่มนานแล้ว เจ้าเด็กนั่นไม่ต่างจากสุขนัข จมูกไวเป็นบ้า…”
ชั้นบนของอาคารขนาดย่อม หน้าต่างทุกบานถูกเปิดอ้า สายลมพัดผ่านทะลุปรุโปร่ง เวลานี้ยังคงมีแสงพอให้เห็นเงารำไรของต้นไผ่ กลิ่นหอมหวนจากอาหารสองสามอย่างและสุรารสเลิศหนึ่งโถ หลังจากสุราไหลลงกระเพราะไปถึงสองแก้ว กล่องแห่งความอัดอั้นตันใจก็ค่อยๆ เปิดออก
“จื่ออวี้ เจ้าว่าเหตุใดจิตใจของสตรีถึงได้อยากที่จะเข้าใจนัก”
เฉินจื่ออวี้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก “ท่านพี่หลี่ เจ้าเริ่มอยากทำความเข้าใจสตรีตั้งแต่เมื่อใดกัน”
หลี่หมิงอวินยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยขึ้น “มันมีอะไรน่าประหลาดใจล่ะ ในเมื่อมีผู้หญิงลายล้อมข้างกายตั้งมากมาย จะทำความเข้าใจไว้หน่อยไม่ได้หรือ”
เฉินจื่ออวี้หัวเราะขึ้นมาแล้วเอ่ย “งั้นหรอกหรือ จิตใจของสตรีไม่ต่างจากเข็มในก้นมหาสมุทร หากเจ้าอยากจะเข้าใจแจ่มแจ้ง ก็ไม่ต่างจากการงมหาเข็มในก้นมหาสมุทร”
หลี่หมิงอวินเห็นด้วยกับประโยคนี้อย่างยิ่ง จะว่าไปเขากับหลินหลันมีความเข้าอกเข้าใจกันโดยปริยายในทุกๆ เรื่อง ยกเว้นก็แต่เรื่อง “ความรัก”
การเอ่ยถึงสตรี นั่นเป็นจุดแข็งของเฉินจื่ออวี้ โดยเฉินจื่ออวี้สามารถพร่ำพรรณนาได้อย่างเป็นเรื่องธรรมชาติ “ผู้หญิงน่ะ! ชอบทำตัวลึกลับซับซ้อนเป็นที่สุด ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่เปิดเผยออกมาทั้งหมด หรือไม่ก็จะไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น สักแต่จะให้ผู้ชายอย่างเราๆ ไปคาดเดากันเอง ทว่าพวกเรามีญาณทิพย์เสียที่ไหนกัน และก็ไม่ใช่พยาธิตัวกลมในท้องพวกนางด้วย แล้วจะไปเดาออกได้อย่างไรกัน ผู้หญิงมักปากอย่างใจอย่าง ทั้งๆ ที่ในใจครุ่นคิดอะไรต่อมิอะไร ทว่าปากกับพูดว่าไม่มีอะไร…หากเจ้าหลงเชื่อคำพูดนางล่ะก็ ความพังพินาจมาเยือนเจ้าแน่…”
หลี่หมิงอวินถึงกับตกตะลึงด้วยความหวั่นใจ น่ากลัวขนาดนี้เชียวหรือ
“หากถามข้า ข้าว่าผู้หญิงเกิดมาเพื่อทรมานผู้ชายอย่างพวกเราล้วนๆ ” เฉินจื่ออวี้กล่าวอย่างหมดอะไรตายอยาก
หลี่หมิงอวินแกล้งแหย่เขา “แต่เจ้าก็ยังหลงรักมันเสียยิ่งกว่าอะไรดี”
เฉินจื่ออวี้ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เจ้ากำลังเข้าใจผิดไปแล้ว ผู้หญิงถือเรื่องการพิชิตใจผู้ชายเป็นหน้าที่ ในขณะที่ผู้ชายมีความสุขในการพิชิตใจผู้หญิง”
หลี่หมิงอวินหัวเราะอย่างเยาะเย้ย “เจ้าเองก็พิชิตใจมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เมื่อใดจะได้ดื่มสุรามงคลของเจ้ากับเผยจื่อชิ่งเสียทีล่ะ”
เฉินจื่ออวี้ยิ้มเจื่อนๆ “กำลังพยายาม กำลังพยายาม มาๆ ดื่มเถอะ…”
“ข้าได้ยินมาว่าเมื่อคืนพี่สะใภ้โดดเด่นไม่เบาเชียวนะ!” เฉินจื่ออวี้กล่าว ด้วยการรับข่าวสารอันรวดเร็วฉับไวของเขา ทั้งนอกและในราชสำนัก หรือกระทั่งนอกและในราชวังไม่มีเรื่องอะไรที่เขาจะไม่รับรู้
หลี่หมิงอวินยังคงไม่เขาใจ “โดดเด่นอย่างไร”
เฉินจื่ออวี้กล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้าไม่รู้หรอกหรือ”
หลี่หมิงอวินส่ายหน้า เมื่อคืนเขาแสร้งเมาหลับเป็นตาย วันนี้ก็ออกไปสอนวิชาให้แก่ลูกหลานเชื้อพระวงศ์ในราชวังตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อกลับมาบ้านหลินหลันก็พูดคุยกับเขาเรื่องเงินเดือน หลังจากนั้นก็หนีออกมาอย่างที่เห็นเสียแล้ว
“ก็บรรดาสาวๆ ที่หลงใหลได้ปลื้มเจ้ารวมหัวกันจะเล่นงานพี่สะใภ้ให้ขาหน้า ที่ไหนได้ผลสุดท้ายกลับถูกพี่สะใภ้ตอกกลับเสียหน้าหงายกันไปเรียบร้อย ฮ่าๆ โดยเฉพาะเสี่ยวเจี่ยะแห่งตระกูลเว่ยท่านนั้น ข้าเดาว่านางคงออกจากบ้านไม่ได้ไปอีกหลายเดือนเลยล่ะ…” เฉินจื่ออวี้กล่าวและหัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย
“ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ตงจึซึ่งนั่งอยู่บริเวณขั้นบันไดกำลังกอดอกพลางบ่นพึมพำกับตนเอง เส้าเหยียประหลาดชอบกล แต่ไหนแต่ไรมาผู้อื่นมาชวนเขาไปดื่มสุรา เขากลับบอกปฏิเสธสุดชีวิต พอวันนี้กลับมาหาตนถึงหน้าประตูเพื่ออกมาดื่มสุราเสียนี่
เสียงหัวเราะลอยมาจากชั้นบนของอาคาร ตงจึชะโงกมองดูอย่างหดหู่ใจผ่านช่องหน้าต่าง “แย่แล้ว แย่แล้ว ดื่มสุราจนสนุกสนานไปกันใหญ่ เส้าเหยียชักถเลไถลเสียแล้ว…คงต้องให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายจัดการเส้าเหยียสักหน่อยถึงจะเป็นการดี”
“ที่แท้พี่สะใภ้ก็ร้ายกาจใช่ย่อย ข้ามองไม่ออกจริงๆ พี่หลี่…คงไม่ใช่เจ้าสอนนางหรอกใช่ไหม” เฉินจื่ออวี้กล่าวอยากหยอกล้อ
“ข้าเนี่ยนะสอนนาง?” หลี่หมิงอวินยิ้มเยาะตนเอง ไม่ถูกนางสั่งสอนเข้าให้ก็เป็นอันต้องขอบคุณฟ้าดินแล้วต่างหากล่ะ ฝีปากของนาง การจิกกัด พูดอย่างตรงไปตรงมาและมีเหตุมีผล ต่อให้เป็นผู้ชายก็ยังถูกนางเถียงจนหูดับตับแล่บได้
“ดูเจ้ากำยำเสียขนาดนี้ ลำพังสาวชาวบ้านผู้หนึ่งมิใช่ว่ากำราบไม่ได้หรอกกระมัง” เฉินจื่ออวี้กล่าวปนเย้ยหยัน
หลี่หมิงอวินจ้องเขม็งไปที่เขา “เจ้าก็เป็นคนช่างพูดช่างจา จะช่วยพูดให้รื่นหูกว่านี้สักหน่อยไม่ได้หรือไรกัน”
เฉินจื่ออวี้หาได้แยแสไม่ “ตอนนี้ไม่มีคนนอกอยู่ด้วยเสียหน่อย จะแสร้งรักษาภาพพจน์อะไรอีก ข้าพูดจริงๆ นะ! ข้าคิดว่าพี่สะใภ้ผู้นี้มิใช่ธรรมดาๆ หากเจ้ากำราบไม่ได้ งั้นข้าช่วยสอนให้ เรื่องตำราข้าไม่ชำชองเท่าเจ้า แต่เรื่องผู้หญิงน่ะ…ข้าเข้าใจมากกว่าเจ้าอย่างแน่นอน”
หลี่หมิงอวินครุ่นคิดก่อนจะกล่าวออกไป “หากเจ้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างมาก ไม่สิ…อันที่จริงเจ้าได้ปฏิบัติอย่างชัดเจนมากพอแล้ว ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงไม่อาจเข้าใจ เช่นนั้นควรทำอย่างไรหรือ”
เฉินจื่ออวี้กุมขมับ “เดี๋ยวนะๆ …อะไรที่ว่าเข้าใจไม่เข้าใจ เจ้าอ้อมค้อมจนข้ามึนไปหมดแล้ว”
หลี่หมิงอวินตวัดสายตามองขา “เจ้าดื่มมากไปแล้วสินะ!”
เฉินจื่ออวี้ขมวดคิ้วระหว่างพยายามคิดแยะแยกแล้วจึงเอ่ยออกไป “หากมิใช่วิธีของเจ้าไม่ถูกต้อง งั้นอีกฝ่ายก็คงซื่อบื้อมากเกินไป”
หลี่หมิงอวินเห็นด้วยอย่างยิ่ง อีกฝ่ายซื่อบื้อมากจริงๆ
“สำหรับคนที่สมองไม่ฉับไหวเช่นนี้ เจ้าอยากให้นางรับรู้ด้วยตนเองคงเป็นการยากเกินไป วิธีเดียวก็คือพูดออกไปตามตรงเท่านั้น” เฉินจื่ออวี้กล่าวอย่างตรงประเด็น และตามด้วยการกำชับอีกหนึ่งประโยค “เชื่อข้าไม่มีผิดเป็นแน่”
ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยสักถาม “พี่หลี่ ที่เจ้าเอ่ยถึงคนซื่อบื่อนั่นคงมิใช่พี่สะใภ้หรอกนะ”
หลี่หมิงอวินเอือมระอาเล็กน้อย วางสุรากระแทกลงเบื้องหน้าเขา “เจ้าสิซื่อบื่อ”
เฉินจื่ออวี้เผยท่าทีอย่างไร้เดียงสา เขาหวังดีช่วยคิดวิเคราะห์แท้ๆ แต่ไหงดันถูกดุว่าเป็นคนซื่อบื้อไปได้ นี่มันหมายความว่าอะไร