ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่109 ถูกหัวเราะเยาะ
ตามกิจวัตรของการเป็นเจ้าหน้าที่ราชสำนัก ขุนนางจะได้หยุดหนึ่งวันในทุกๆ ห้าวัน หากมีธุระเร่งด่วนก็ยังมีวันลาเฉพาะกินให้ โดยในหนึ่งปีวันลาเฉพาะกิจจะใช้ได้ไม่เกินหกสิบวัน อีกทั้งยังมีวันลาเยี่ยมญาติ วันลาสำหรับพิธัไว้อาลัย ซึ่งถือว่าค่อนข้างยุติธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ราชสำนักอยู่พอตัว แต่สำหรับหลี่หมิงอวินซึ่งเป็นขุนนางระดับสูงที่เข้ามาใหม่และเป็นน้ำพักน้ำแรงสำคัญในการฝึกฝนคนในราชสำนัก ในที่สุดวันหยุดพักวันแรกหลังจากทำงานติดต่อกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนก็มาถึงเสียที เดิมทีหลี่หมิงอวินรับปากนางไว้ว่าหลังจากเข้าสอบเตี้ยนซื่อเสร็จสิ้นแล้วจะพานางไปชมป่าเมเปิ้ล ผลสุดท้ายเขากลับไม่มีเวลาว่างเลย และในตอนนี้ก็เกรงว่าต้นเมเปิ้ลคงผลัดใบจนร่วงหล่นลงพื้นหมดแล้ว ซึ่งนั่นยังจะเหลืออะไรให้น่าเชยชมอีกหรือ ทว่าวันหยุดทั้งทีจะอยู่แต่ในบ้านคงไม่เหมาะกระมัง! “หมิงอวิน เจ้าว่าพรุ่งนี้พวกเราจะทำอะไรกันดี” หลินหลันกำลังฝนหมึกขณะมองไปยังหลี่หมิงอวินด้วยดวงตาอันเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง หลี่หมิงอวินสะบัดปลายพู่กันอย่างคล่องแคล่วราวกับสายน้ำที่กำลังไหลผ่าน เขากล่าวขึ้นอย่างผ่อนคลาย “เจ้าอยากทำอะไรล่ะ” หลินหลันเงยขึ้นมองคานไม้ของเพดานห้องพลางครุ่นคิด “ข้ามาปักกิ่งก็หลายเดือนมากแล้ว ซึ่งตามหลักข้าควรไปเยี่ยมเยียนท่านลุงตั้งนานแล้ว ของขวัญที่ข้าเตรียมไว้ก็ยังไม่ได้ให้พวกเขาเลย…” หลี่หมิงอวินยังคงตวัดปลายพู่กันไปเรื่อย และดูเหมือนตัวอักษรที่เขาเขียนมันจะใหญ่ไปเสียแล้ว “ภรรยาท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวนเรียนเชิญข้าก็หลายครั้ง บอกให้ข้าไปนั่งเล่นด้วยกัน บุตรชายตัวน้อยของตระกูลจิ้งปั๋วโหว์ก็ยิ่งน่ารักขึ้นไปทุกวัน ข้าอยากไปเชยชมเขามากๆ เลยล่ะ แล้วข้าก็อยากไปเป็นหมอกระดิ่งสักพัก มิเช่นนั้นทักษะการรักษาที่ติดตัวข้าคงไม่ได้ใช้ประโยชน์ซึ่งนั่นมันไม่น่าเสียดายหรอกหรือ จะได้ถือโอกาสไปเดินเล่นแถวๆ ร้านยาด้วย…” หลินหลันพูดความนึกคิดของตนเองออกมายาวเหยียดในรวดเดียว จะไปร้านยาพูดให้กลายเป็นจะไปเดินเล่นแถวๆ ร้านยา เห็นทีว่าใต้หล้านี้คงมีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้น หลี่หมิงอวินแอบรำพึงรำพันในใจ “จ้าอยากทำเรื่องทั้งหมดนี้ภายในวันเดียวน่ะหรือ” หลี่หมิงอวินมองนางอย่างสุขุม หลินหลันกล่าวอย่างกระมิดกระเมี้ยน “เหมือนจะจัดลำดับไม่ลงตัวสินะ” คิ้วเรียวยาวของหลี่หมิงอวินเลิกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาแฝงเอาไว้ซึ่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “ทางด้านท่านลุงไว้อีกสักระยะค่อยไปแล้วกัน บุตรสาวคนโตของท่านลุงกำลังจะแต่งงานแล้ว พวกเราค่อยถือโอกาสไปมอบของขวัญให้ในคราเดียวกัน ส่วนเรื่องไปจวนแม่ทัพฮ๋วยหยวนและจิ้งปั๋วโหว์ เจ้าอยากไปเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น หนิงซิ่งกลับมาวันพรุ่งนี้ ซึ่งพวกเรายังคงติดค้างน้ำใจของพวกเขาอยู่ เอาอย่างนี้แล้วกัน! ช่วงกลางวัน ข้าจะติดตามเจ้าไปเป็นหมอกระดิ่ง ส่วนมื้อค่ำ จองโต๊ะอาหารที่โรงเตี๊ยมอี้เซียงจูสักโต๊ะเพื่อเลี้ยงอาหารแด่หนิงซิ่งและเฉินจื่ออวี้ เจ้าว่าไง” ลำดับการส่วนท้ายๆ หลินหลันไม่มีกะจิตกะใจสดับรับฟังเท่าไหร่นัก ด้วยสติทั้งหมดไปจดจ่ออยู่ที่เรื่องเยี่ยซินเอ๋อร์กำลังจะแต่งงาน เดาว่าแม่โจวคงไปบอกกล่าวอะไรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านลุงถึงได้ลงดาบจัดการเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นนางเหม่อลอย หลี่หมิงอวินจึงใช้ด้ามพู่กันเขกลงไปที่ศีรษะของนาง “มัวเหม่อลอยอะไรอยู่หรือ” หลินหลันดึงสติกลับมา ดวงตากลมโตกะพริบปริบปริบ “ได้สิ ตกลงตามนี้แหละ” หลี่หมิงอวินคว้ากระดาษที่เขาเขียนตัวอักษรไว้ครึ่งเดียวเมื่อครู่นี้ขยำ หลินหลันรีบเข้าไปแย่งมาในทันที “เขียนสวยขนาดนี้ เหตุใดต้องขยำทิ้งด้วย” “มันใช้ไม่ได้แล้ว” หลี่หมิงอวินคลี่กระดาษม้วนใหม่อีกครั้ง “คืนนี้เจ้าขยำทิ้งไปสามแผ่นแล้ว กระดาษพวกนี้ล้วนเป็นกระดาษชั้นเยี่ยม เจ้าสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว” หลี่หมิงอวินมองนางอย่างไม่รู้สึกรู้สา ก็มิใช่เพราะเจ้าคอยส่งเสียงเจื้อยแจ่วอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาหรอกหรือ หลินหลันคว้ากระดาษที่กลายเป็นขยะไปแล้วมาคลี่เป็นแผนบางๆ แล้ววางทับซ้อนกันก่อนจะเก็บมันลงกล่องขนาดย่อมไว้อย่างดีราวกับเป็นของล้ำค่า “เจ้าจะเก็บพวกมันไว้ทำไม” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความสงสัย “อักษรฝีมือเจ้ามีราคาขนาดนี้ จะให้สูญเปล่าไปได้ไง ไว้อนาคตข้างหน้าเจ้ากลายเป็นครอบครัวใหญ่แล้ว ขยะพวกนี้ก็จะเป็นของล้ำค่า” หลินหลันกล่าวแล้วหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข หลี่หมิงอวินหมดคำพูดอย่างสิ้นเชิง สาวน้อยผู้นี้หลงใหลในทรัพย์สมบัติมากเพียงใดกัน วันรุ่งขึ้น หลินหลันตื่นนอนแต่เช้าตรู่หลังจากนั้นนางก็คลุกตัวอยู่ในห้องน้ำนานเนิ่นนาน ขนาดที่หลี่หมิงอวินเกือบจะทีบประตูเข้าไปเสียแล้ว กระทั่งนางออกมา หลี่หมิงอวินมองดูการแต่งกายของหลินหลันจนลืมความกังวลใจเมื่อครูไปเป็นปลิดทิ้ง “เป็นไง ข้าดูเหมือนคุณชายรูปงามที่แสนอ่อนโยนหรือไม่” หลินหลันหมุนตัวหนึ่งรอบด้วยความภูมิใจ เป็นป๋ายฮุ่ยที่ช่วยนางจัดสรรชุดนี้มาให้ มันคือชุดของหลี่หมิงอวินเมื่อสี่ปีก่อน ถึงจะดูใหญ่ไปหน่อย แต่ระดับความสั้นยาวกำลังดีและยังดูใหม่เอี่ยมอยู่ด้วย! หลี่หมิงอวินยังคงไม่ละสายตาออกไปจากเรือนร่างของนาง เขากวาดสายตามองจากบนลงล่างอยู่เช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนท้ายสุดหยุดชะงักลงบริเวณหน้าหน้าอกที่เผยให้เห็นความนูนเด่นขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ทันใดนั้นมุมปากของเขาก็ค่อยๆ ยกขึ้นแสดงให้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หลินหลันรู้สึกเขินอายในทันทีทันใด ก่อนจะแสร้งกล่าวขึ้นด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย “ข้าใช้ผ้าผันไว้แล้ว” หลี่หมิงอวินพยายามอย่างหนักในการกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ เขาพยักหน้ารัวๆ และกล่าวอย่างจริงใจ “อืม เช่นนี้ก็มองไม่ออกแล้วล่ะ” ทว่าในใจกลับเอ่ย มันแตกต่างไปจากเดิมตรงไหน หลินหลันมองค้อนใส่เขาสองครา และเริ่มรู้สึกแคลงใจในท่าทางจริงใจของเขา หลี่หมิงอวินรีบเข้าห้องน้ำไปแล้วปิดประตูทันที ทันใดนั้นหลินหลันก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากด้านใน นั่นทำให้นางโมโหจนต้องกำหมัดทุบประตูรัวๆ “หลี่หมิงอวิน เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้นะ” กระทั่งออกไปข้างนอก หลินหลันยังคงรู้สึกหงุดหงิดไม่หาย ตอนที่นางส่องดูตนเองผ่านกระจกก็คิดว่าชุดที่สวมใส่นี่ดูหล่อเหลาเสียยิ่งกะไร เดิมทียังหวังด้วยซ้ำว่าจะได้รับคำเชยชมจากเขา กลับถูกหัวเราะเยาะใส่เสียนี่ หน้าอกแบนแล้วยังไงหรือ ถึงแม่นางอย่างข้าจะหน้าอกแบน แต่จิตใจใหญ่โตเสียยิ่งกว่าพวกไร้สมองซึ่งมีแค่หน้าอกคลื่นใหญ่ๆ พวกนั้น อย่างไรก็ตาม นางก็อยากมีเนินภูเขาขนาดย่อมอยู่บนหน้าอกนี่สักหน่อยเช่นกันล่ะนะ…ฮื้อๆๆ หลี่หมิงอวินรู้ดีแก่จะว่าเมื่อครู่เขาทำผิดมหันต์ ดังนั้นจึงพูดจาอย่างระมัดระวังและแบกกล่องยาเดินตามนางอยู่ด้านหลังอย่างเชื่อฟัง “หลินหลัน เจ้าช่วยเดินให้ช้าๆ หน่อย” หลี่หมิงอวินวิ่งเยาะๆ สองก้าวเพื่อขึ้นไปเดินเคียงข้างนาง หลินหลันรีบเร่งฝีก้าวฉับไวขึ้นเพื่อเดินเว้นระยะห่างจากเขา ขณะที่หลี่หมิงอวินก็ตามนางขึ้นมาติดๆ “ข้าขอโทษเจ้าด้วย” “พูดเช่นนี้เท่ากับเจ้ายอมรับแล้วสินะว่าเจ้าหัวเราะเยาะข้า” หลินหลันมองเขาด้วยความขุ่นเคือง เขาเหยียบย่ำความเป็นสตรีของนางอย่างรุนแรง “เปล่า ข้าจะหัวเราะเยาะเจ้าได้อย่างไรกัน เพียงแค่คิดว่าเจ้าแต่งตัวเป็นบุรุษแล้วดูน่าสนใจดี มิได้หัวเราะเยาะเจ้าจริงๆ จริงๆ นะ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม การแสดงออกของข้าอาจทำให้เจ้าคิดเลยเถิดไปนั่นจึงเป็นความผิดของข้า ดังนั้นข้าถึงขอโทษเจ้ายังไงล่ะ” หลี่หมิงอวินอธิบายอย่างเจ้าเล่ห์ภายใต้สีหน้าจริงจังและจริงใจ เมื่อเห็นนางไม่มีท่าทีว่าจะเชื่อในสิ่งที่เขาเอ่ย หลี่หมิงอวินจึงยกมือขวาขึ้น “ข้าสาบานได้” “เลอะเทอะ สาบานแล้วช่วยอะไรได้ พระเจ้ากำลังยุ่งจะแย่ ใครเขามีเวลามาฟังคำพูดไร้สาระของเจ้า” หลินหลันถลึงตาใส่เขา แล้วเดินสะบัดก้นหนีไปไม่สนใจ หลี่หมิงอวินรู้สึกเสียใจภายหลังอย่างสุดซึ้งแล้วจริงๆ ความจริงแล้วเขาไม่ได้เยาะเย้ยอะไรนางทั้งนั้น ก็แค่รู้สึกว่ามันน่าสนใจดี ถึงนางจะไม่มีส่วนนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย อย่างมากก็แค่รุ่นลูกๆ อาจขาดทุนสักหน่อย เพียงแต่คาดไม่ถึงว่านางดันโกรธเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้ “หลินหลัน อย่าโมโหเลย โมโหจะทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นได้ง่ายนะ…” “หลินหลัน เจ้าเดินให้ช้าๆ หน่อย มิเช่นนั้นคนอื่นเขาจะคิดว่าเจ้าตามทวงหนี้อยู่นะ…” “หลินหลัน…” “เจ้าช่วยพูดให้มันน้อยๆ หน่อยได้ไหม เราออกมาทำหน้าที่หมอกระดิ่ง มิใช่มาพูดคุยเล่นกัน” หลินหลันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ หลี่หมิงอวินชี้ไปที่กระดิ่งในมือหลินหลันและกล่าวอย่างเจี๊ยมเจี้ยม “เจ้าลืมสั่นกระดิ่ง…” เอ่อะ! มิน่าล่ะเดินมาตั้งหลายถนนแล้วยังไม่มีใครเรียกใช้บริการ หลินหลันยัดกระดิ่งใส่มือเขาด้วยความอารมณ์หงุดหงิด “เจ้าสั่นกระดิ่งด้วย” หลังจากนั้นหลินหลันก็เดินนำโดยเอามือไพล่หลังอย่างสบายอกสบายใจ หลี่หมิงอวินหน้าหงิกงอ แบกกล่องยาพลางสั่นกระดิ่งเดินตามหลังไปอย่างกระชันชิด ในตรอกลึกสายหนึ่ง บานประตูเปิดออก มีหญิงวัยกลางคนอายุราวๆ ห้าสิบกว่าเดินออกมาร้องเรียกทั้งสอง “ท่านหมอ เมื่อครู่ลูกสาวบ้านข้าอาเจียนไม่หยุดหย่อน เรียนเชิญท่านหมอช่วยตรวจดูให้หน่อยนะเจ้าคะ” หลินหลันรีบตามเข้าไปด้านในทันที เห็นเพียงผู้ป่วยนางหนึ่งที่มีอายุราวๆ สี่ยิบต้นๆ หน้าตาสระสวย เพียงแต่สีหน้าซีดเสียว มือแตะบริเวณหน้าอกเป็นระยะๆ ภายใต้อาการสะอิดสะเอียน หลินหลันเอ่ยถามสองสามคำถามแล้วจึงทำการจับชีพจร “ยินด้วยด้วย ฮูหยินตั้งครรภ์แล้ว” หญิงสาวผู้นั้นเผยสีหน้าตกตลึงด้วยความดีใจ “ท่านหมอตรวจละเอียดแล้วใช่ไหมเจ้าคะ” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลักษณะชีพจรที่เต้นราบรื่นไม่ติดขัด เมื่อใช้นิ้วสัมผัสจะรู้สึกเหมือนสัมผัสไข่มุก หมายถึงการตั้งครรภ์อย่างแน่นอน” สตรีผู้นั้นดีใจเป็นอย่างยิ่งจนลืมอาการคลื่นไส้ไปสนิท แล้วบอกให้หญิงวัยกลางคนรีบนำเงินออกมาให้เป็นค่าตอบแทน หลินหลันลองชั่งน้ำหนักด้วยความรู้สึกดู ซึ่งเป็นน้ำหนักที่ไม่เบาทีเดียว กิจการนี้ถือว่าไม่เลวเลย ทั้งไม่เปลืองแรงแล้วยังสร้างความสุขใจให้ด้วย ขณะที่นางเตรียมจะโอ้อวดต่อหลี่หมิงอวินสักหน่อยกลับเห็นเขาจ้องมองอักษรบนกำแพงราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “นี่! มัวมองอะไรอยู่ ไปได้แล้ว…” หลินหลันกล่าวพลางกระตุกชายแขนเสื้อของเขา ตามมาด้วยเสียงคนตะโกนอยู่บริเวณภายนอก “นายท่านมาแล้ว…” สีหน้าของหลี่หมิงอวินเปลี่ยนไปในทันทีทันใด เขาดึงหลินหลันให้รีบเดินโดยเร็วไวพลางก้มหน้าและงอตัวเดินหลบอยู่ด้านหลังของหลินหลัน หลินหลันอดรู้สึกงุนงงสงสัยมิได้ พ่อหนุ่มนี้กำลังเล่นอะไรของเขาอยู่ ชายวัยกลางคนที่ถูกขนานนามว่านายท่านเมื่อครู่นี้เดินผ่านหลินหลันไปก่อนจะหยุดชะงักชั่วขณะ รู้สึกว่าเรือนร่างของหนึ่งคนในนั้นดูคุ้นตาเล็กน้อยแต่ก็นึกไม่ออก หลี่หมิงอวินปาดเหงื่อหลังพ้นออกจากประตูบ้านไปแล้ว ตามด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกยาวอย่างโล่งอก “เมืองหลวงนี่มันแคบเกินไปแล้ว วันหลังข้าไม่กล้าติดตามเจ้าออกมารักษาผู้อื่นอีกแล้ว” หลินหลันนึกประหลาดใจ “หรือว่าเจ้ารู้จักสตรีท่านนั้น” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้าเกร็งๆ “สตรีท่านนั้นข้าจะไปรู้จักได้อย่างไร แต่ว่าบิดาของเด็กในท้องนางข้ารู้จักเป็นอย่างดีเลยล่ะ นี่! สถานการณ์เมื่อครู่ทำข้าเหงื่อออกท่วมตัวจริงๆ นะ หากให้เขาพบข้าเข้า ต่างฝ่ายต่างก็ต้องรู้สึกทำตัวไม่ถูกอย่างแน่นอน” “เป็นผู้ใดกันหรือ ถึงได้ทำให้เจ้าตื่นตกใจจนเป็นเช่นนี้ได้” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หัวหน้าสูงสุดของฝ่ายข้าเอง” หลินหลันตกตะลึงและนางก็เข้าใจได้ในทันที ทว่าบ้านหลังเล็กหลังน้อยเช่นนี้ แน่นอนว่าคงมิใช่บ้านของผู้เป็นเจ้านายหมิงอวินอย่างแน่นอน คาดว่าคงจะเป็นบ้านเล็กอีกหลัง บุรุษในยุคสมัยโบราณเรื่องการมีภรรยาสามนางบำเรอสี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่ก็มีบางกรณีที่ไม่กล้าเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้ง จึงทำได้เพียงแอบเลี้ยงดูไว้ ณ บ้านภายนอกอีกหลัง เรื่องประเภทนี้ทุกคนต่างรู้ดีแต่หาได้พูดออกมาไม่ ทว่าหากให้คนใต้บังคับบัญชาตนเองมาพบเห็นเข้า เกรงว่าจะเป็นการทำตัวไม่ถูกไปเปล่าๆ หลินหลันมองไปที่เขาพลางส่ายหน้าพัลวัน “ถือว่าเจ้าโชคยังดีเหลือเกิน” หลี่หมิงอวินบ่นอุบอิบในใจ ถือว่าข้าโชคร้ายล่ะสิไม่ว่า! เจ้ารู้หรือไรว่าหัวหน้าผู้นี้เป็นใคร เขาคือถังถังเผยขุนนางระดับสูงซึ่งมีหน้าที่คอยช่วยเหลืองานถวายฮ่องเต้ และยังเป็นว่าที่พ่อตาของเฉินจื่ออวี้ด้วย! หลังหลุดพ้นออกมาจากสถานการณ์อันไม่คาดคิดนี้แล้ว เมื่อหลินหลันรับตรวจผู้ป่วยอีกรายหลี่หมิงอวินกลับไม่ยินยอมติดตามเข้าไปด้านในด้วยอีกแล้วเพราะเกรงว่าจะเผชิญเรื่องที่ไม่ควรเผชิญขึ้นมาอีก หลินหลันทำได้เพียงไล่ให้เขาไปรอยังร้านน้ำชาเล็กๆ บริเวณใกล้เคียง ส่วนตนเองไปทำหน้าที่หมอเพียงลำพัง หลินหลันสั่นกระดิ่งไปตลอดทางเดินพลางเอ่ยตะโกน “ฮว่าถัว [1] กำเนิดเกิดใหม่ เปี่ยนเชวี่ย [2] ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง…เชี่ยวชาญในการรักษาโรคที่ว่ายากเย็น ทำให้ผู้ป่วยกลับมาแข็งแรงเสมือนหนุ่มสาว…” ประโยคนี้เริ่มแรกที่พูดออกไปหลินหลันยังคงรู้สึกเขินอายอยู่เล็กน้อย แต่พอค่อยๆ ผ่านไปความเขินอายพวกนั้นก็หายไปหมดสิ้น ไม่ส่งเสียงตะโกน ไม่เอ่ยเชยชมตนเอง แล้วผู้ใดจะมาสนใจเจ้าหรือ ทีหมอดูเหล่านั้นยังบอกว่าพวกเขาคือเจียงไท่กงกลับชาติมาเกิดเลย! ทันใดนั้นก็มีเสียงระฆังดังขึ้นจากฝั่งตรงข้าม “เชี่ยวชาญในการรักษาโรคที่ว่ายากเย็น ทำให้ผู้ป่วยกลับมาแข็งแรงเสมือนหนุ่มสาว…” เอ่อ! พบเจอผู้ร่วมสายงานเดียวกันเข้าแล้ว หลินหลันทอดสายตามองออกไป เห็นเพียงชายหนุ่มซึ่งอยู่ในชุดสีน้ำเงิน ในมือของเขากำลังสั่นกระดิ่งและเดินไปอย่างใจเย็น ด้านหลังของเขายังมีเด็กถือกล่องยาคนหนึ่งติดตามอยู่ด้วย หลินหลันเขาไปหาเข้าด้วยรอยยิ้มอย่างมีมรรยาท “ข้าเพิ่งมาจากทางด้านนั้น ทางด้านนั้นไม่มีผู้คนต้องการรับการรักษาเลยน่ะ” จากลักษณะของชายหนุ่มผู้นั้นอายุน่าจะราวๆ ยี่สิบต้นๆ คิ้วของเขาเรียวยาวรับกับดวงตาคู่สวยที่ดูกลมโตและมีเสน่ห์ สองมือของเขายกขึ้นประสานกันแสดงทีท่าคาราวะให้แด่หลินหลัน “ขอบใจน้องชายที่บอกกล่าวกันล่วงหน้า” หลังจากนั้นเขาก็ชี้ไปยังทิศทางด้านหลังของตน “ข้าเพิ่งมาจากทางนั้นก็ไม่มีผู้ใดเรียกใช้บริการเช่นกัน” หลินหลันหัวเราะแฮะๆ “เห็นทีพวกเราต้องเปลี่ยนสถานที่กันเสียแล้ว” ชายหนุ่มผู้นั้นยกสองมือขึ้นคาราวะอีกครั้งแล้วเดินเฉียดหัวไหล่ของหลินหลันไป ก่อนจะได้ยินเพียงเสียงเด็กชายที่รับหน้าที่ถือกล่องยาเอ่ยนินทา “เส้าเหยียขอรับ คนผู้นั้นดูไร้ยางอายไม่ใช่ย่อยถึงได้กล้าเรียกตนเองว่าเป็นถึงฮว่าถัว เป็นเปี่ยนเชวี่ยกลับชาติมาเกิด ขนาดนายท่านและนายท่านผู้เฒ่าล้วนไม่กล้ากล่าวชมตนเองเช่นนี้เลยนะขอรับ…” “ชูว์…การติฉินนินทาผู้อื่นเป็นเรื่องต้องห้าม เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือตนยังมียอดคน เมืองหลวงแห่งนี้ อาจมีผู้เก่งกาจมากความสามารถแอบซ่อนอยู่ ข้าอยากรู้เช่นกันว่าเขาจะมีความสามารถสักเพียงใด…” เสียงดังกล่าวค่อยๆ เลือนรางไปพร้อมกับเขาคนนั้นที่ไกลออกไป หลินหลันหันกลับมองชายหนุ่มผู้นั้นและนึกรำพึงรำพันในใจ ผู้ร่วมสายงานเดียวกันท่านนี้นิสัยไม่เลวเลยทีเดียว ——
ตามกิจวัตรของการเป็นเจ้าหน้าที่ราชสำนัก ขุนนางจะได้หยุดหนึ่งวันในทุกๆ ห้าวัน หากมีธุระเร่งด่วนก็ยังมีวันลาเฉพาะกินให้ โดยในหนึ่งปีวันลาเฉพาะกิจจะใช้ได้ไม่เกินหกสิบวัน อีกทั้งยังมีวันลาเยี่ยมญาติ วันลาสำหรับพิธัไว้อาลัย ซึ่งถือว่าค่อนข้างยุติธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ราชสำนักอยู่พอตัว แต่สำหรับหลี่หมิงอวินซึ่งเป็นขุนนางระดับสูงที่เข้ามาใหม่และเป็นน้ำพักน้ำแรงสำคัญในการฝึกฝนคนในราชสำนัก ในที่สุดวันหยุดพักวันแรกหลังจากทำงานติดต่อกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนก็มาถึงเสียที
เดิมทีหลี่หมิงอวินรับปากนางไว้ว่าหลังจากเข้าสอบเตี้ยนซื่อเสร็จสิ้นแล้วจะพานางไปชมป่าเมเปิ้ล ผลสุดท้ายเขากลับไม่มีเวลาว่างเลย และในตอนนี้ก็เกรงว่าต้นเมเปิ้ลคงผลัดใบจนร่วงหล่นลงพื้นหมดแล้ว ซึ่งนั่นยังจะเหลืออะไรให้น่าเชยชมอีกหรือ ทว่าวันหยุดทั้งทีจะอยู่แต่ในบ้านคงไม่เหมาะกระมัง!
“หมิงอวิน เจ้าว่าพรุ่งนี้พวกเราจะทำอะไรกันดี” หลินหลันกำลังฝนหมึกขณะมองไปยังหลี่หมิงอวินด้วยดวงตาอันเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
หลี่หมิงอวินสะบัดปลายพู่กันอย่างคล่องแคล่วราวกับสายน้ำที่กำลังไหลผ่าน เขากล่าวขึ้นอย่างผ่อนคลาย “เจ้าอยากทำอะไรล่ะ”
หลินหลันเงยขึ้นมองคานไม้ของเพดานห้องพลางครุ่นคิด “ข้ามาปักกิ่งก็หลายเดือนมากแล้ว ซึ่งตามหลักข้าควรไปเยี่ยมเยียนท่านลุงตั้งนานแล้ว ของขวัญที่ข้าเตรียมไว้ก็ยังไม่ได้ให้พวกเขาเลย…”
หลี่หมิงอวินยังคงตวัดปลายพู่กันไปเรื่อย และดูเหมือนตัวอักษรที่เขาเขียนมันจะใหญ่ไปเสียแล้ว
“ภรรยาท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวนเรียนเชิญข้าก็หลายครั้ง บอกให้ข้าไปนั่งเล่นด้วยกัน บุตรชายตัวน้อยของตระกูลจิ้งปั๋วโหว์ก็ยิ่งน่ารักขึ้นไปทุกวัน ข้าอยากไปเชยชมเขามากๆ เลยล่ะ แล้วข้าก็อยากไปเป็นหมอกระดิ่งสักพัก มิเช่นนั้นทักษะการรักษาที่ติดตัวข้าคงไม่ได้ใช้ประโยชน์ซึ่งนั่นมันไม่น่าเสียดายหรอกหรือ จะได้ถือโอกาสไปเดินเล่นแถวๆ ร้านยาด้วย…” หลินหลันพูดความนึกคิดของตนเองออกมายาวเหยียดในรวดเดียว
จะไปร้านยาพูดให้กลายเป็นจะไปเดินเล่นแถวๆ ร้านยา เห็นทีว่าใต้หล้านี้คงมีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้น หลี่หมิงอวินแอบรำพึงรำพันในใจ
“จ้าอยากทำเรื่องทั้งหมดนี้ภายในวันเดียวน่ะหรือ” หลี่หมิงอวินมองนางอย่างสุขุม
หลินหลันกล่าวอย่างกระมิดกระเมี้ยน “เหมือนจะจัดลำดับไม่ลงตัวสินะ”
คิ้วเรียวยาวของหลี่หมิงอวินเลิกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาแฝงเอาไว้ซึ่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “ทางด้านท่านลุงไว้อีกสักระยะค่อยไปแล้วกัน บุตรสาวคนโตของท่านลุงกำลังจะแต่งงานแล้ว พวกเราค่อยถือโอกาสไปมอบของขวัญให้ในคราเดียวกัน ส่วนเรื่องไปจวนแม่ทัพฮ๋วยหยวนและจิ้งปั๋วโหว์ เจ้าอยากไปเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น หนิงซิ่งกลับมาวันพรุ่งนี้ ซึ่งพวกเรายังคงติดค้างน้ำใจของพวกเขาอยู่ เอาอย่างนี้แล้วกัน! ช่วงกลางวัน ข้าจะติดตามเจ้าไปเป็นหมอกระดิ่ง ส่วนมื้อค่ำ จองโต๊ะอาหารที่โรงเตี๊ยมอี้เซียงจูสักโต๊ะเพื่อเลี้ยงอาหารแด่หนิงซิ่งและเฉินจื่ออวี้ เจ้าว่าไง”
ลำดับการส่วนท้ายๆ หลินหลันไม่มีกะจิตกะใจสดับรับฟังเท่าไหร่นัก ด้วยสติทั้งหมดไปจดจ่ออยู่ที่เรื่องเยี่ยซินเอ๋อร์กำลังจะแต่งงาน
เดาว่าแม่โจวคงไปบอกกล่าวอะไรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านลุงถึงได้ลงดาบจัดการเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นนางเหม่อลอย หลี่หมิงอวินจึงใช้ด้ามพู่กันเขกลงไปที่ศีรษะของนาง “มัวเหม่อลอยอะไรอยู่หรือ”
หลินหลันดึงสติกลับมา ดวงตากลมโตกะพริบปริบปริบ “ได้สิ ตกลงตามนี้แหละ”
หลี่หมิงอวินคว้ากระดาษที่เขาเขียนตัวอักษรไว้ครึ่งเดียวเมื่อครู่นี้ขยำ
หลินหลันรีบเข้าไปแย่งมาในทันที “เขียนสวยขนาดนี้ เหตุใดต้องขยำทิ้งด้วย”
“มันใช้ไม่ได้แล้ว” หลี่หมิงอวินคลี่กระดาษม้วนใหม่อีกครั้ง
“คืนนี้เจ้าขยำทิ้งไปสามแผ่นแล้ว กระดาษพวกนี้ล้วนเป็นกระดาษชั้นเยี่ยม เจ้าสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว”
หลี่หมิงอวินมองนางอย่างไม่รู้สึกรู้สา ก็มิใช่เพราะเจ้าคอยส่งเสียงเจื้อยแจ่วอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาหรอกหรือ
หลินหลันคว้ากระดาษที่กลายเป็นขยะไปแล้วมาคลี่เป็นแผนบางๆ แล้ววางทับซ้อนกันก่อนจะเก็บมันลงกล่องขนาดย่อมไว้อย่างดีราวกับเป็นของล้ำค่า
“เจ้าจะเก็บพวกมันไว้ทำไม” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความสงสัย
“อักษรฝีมือเจ้ามีราคาขนาดนี้ จะให้สูญเปล่าไปได้ไง ไว้อนาคตข้างหน้าเจ้ากลายเป็นครอบครัวใหญ่แล้ว ขยะพวกนี้ก็จะเป็นของล้ำค่า” หลินหลันกล่าวแล้วหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
หลี่หมิงอวินหมดคำพูดอย่างสิ้นเชิง สาวน้อยผู้นี้หลงใหลในทรัพย์สมบัติมากเพียงใดกัน
วันรุ่งขึ้น หลินหลันตื่นนอนแต่เช้าตรู่หลังจากนั้นนางก็คลุกตัวอยู่ในห้องน้ำนานเนิ่นนาน ขนาดที่หลี่หมิงอวินเกือบจะทีบประตูเข้าไปเสียแล้ว กระทั่งนางออกมา หลี่หมิงอวินมองดูการแต่งกายของหลินหลันจนลืมความกังวลใจเมื่อครูไปเป็นปลิดทิ้ง
“เป็นไง ข้าดูเหมือนคุณชายรูปงามที่แสนอ่อนโยนหรือไม่” หลินหลันหมุนตัวหนึ่งรอบด้วยความภูมิใจ เป็นป๋ายฮุ่ยที่ช่วยนางจัดสรรชุดนี้มาให้ มันคือชุดของหลี่หมิงอวินเมื่อสี่ปีก่อน ถึงจะดูใหญ่ไปหน่อย แต่ระดับความสั้นยาวกำลังดีและยังดูใหม่เอี่ยมอยู่ด้วย!
หลี่หมิงอวินยังคงไม่ละสายตาออกไปจากเรือนร่างของนาง เขากวาดสายตามองจากบนลงล่างอยู่เช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนท้ายสุดหยุดชะงักลงบริเวณหน้าหน้าอกที่เผยให้เห็นความนูนเด่นขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ทันใดนั้นมุมปากของเขาก็ค่อยๆ ยกขึ้นแสดงให้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
หลินหลันรู้สึกเขินอายในทันทีทันใด ก่อนจะแสร้งกล่าวขึ้นด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย “ข้าใช้ผ้าผันไว้แล้ว”
หลี่หมิงอวินพยายามอย่างหนักในการกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ เขาพยักหน้ารัวๆ และกล่าวอย่างจริงใจ “อืม เช่นนี้ก็มองไม่ออกแล้วล่ะ” ทว่าในใจกลับเอ่ย มันแตกต่างไปจากเดิมตรงไหน
หลินหลันมองค้อนใส่เขาสองครา และเริ่มรู้สึกแคลงใจในท่าทางจริงใจของเขา
หลี่หมิงอวินรีบเข้าห้องน้ำไปแล้วปิดประตูทันที
ทันใดนั้นหลินหลันก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากด้านใน นั่นทำให้นางโมโหจนต้องกำหมัดทุบประตูรัวๆ “หลี่หมิงอวิน เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
กระทั่งออกไปข้างนอก หลินหลันยังคงรู้สึกหงุดหงิดไม่หาย ตอนที่นางส่องดูตนเองผ่านกระจกก็คิดว่าชุดที่สวมใส่นี่ดูหล่อเหลาเสียยิ่งกะไร เดิมทียังหวังด้วยซ้ำว่าจะได้รับคำเชยชมจากเขา กลับถูกหัวเราะเยาะใส่เสียนี่ หน้าอกแบนแล้วยังไงหรือ ถึงแม่นางอย่างข้าจะหน้าอกแบน แต่จิตใจใหญ่โตเสียยิ่งกว่าพวกไร้สมองซึ่งมีแค่หน้าอกคลื่นใหญ่ๆ พวกนั้น อย่างไรก็ตาม นางก็อยากมีเนินภูเขาขนาดย่อมอยู่บนหน้าอกนี่สักหน่อยเช่นกันล่ะนะ…ฮื้อๆๆ
หลี่หมิงอวินรู้ดีแก่จะว่าเมื่อครู่เขาทำผิดมหันต์ ดังนั้นจึงพูดจาอย่างระมัดระวังและแบกกล่องยาเดินตามนางอยู่ด้านหลังอย่างเชื่อฟัง
“หลินหลัน เจ้าช่วยเดินให้ช้าๆ หน่อย” หลี่หมิงอวินวิ่งเยาะๆ สองก้าวเพื่อขึ้นไปเดินเคียงข้างนาง
หลินหลันรีบเร่งฝีก้าวฉับไวขึ้นเพื่อเดินเว้นระยะห่างจากเขา ขณะที่หลี่หมิงอวินก็ตามนางขึ้นมาติดๆ “ข้าขอโทษเจ้าด้วย”
“พูดเช่นนี้เท่ากับเจ้ายอมรับแล้วสินะว่าเจ้าหัวเราะเยาะข้า” หลินหลันมองเขาด้วยความขุ่นเคือง เขาเหยียบย่ำความเป็นสตรีของนางอย่างรุนแรง
“เปล่า ข้าจะหัวเราะเยาะเจ้าได้อย่างไรกัน เพียงแค่คิดว่าเจ้าแต่งตัวเป็นบุรุษแล้วดูน่าสนใจดี มิได้หัวเราะเยาะเจ้าจริงๆ จริงๆ นะ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม การแสดงออกของข้าอาจทำให้เจ้าคิดเลยเถิดไปนั่นจึงเป็นความผิดของข้า ดังนั้นข้าถึงขอโทษเจ้ายังไงล่ะ” หลี่หมิงอวินอธิบายอย่างเจ้าเล่ห์ภายใต้สีหน้าจริงจังและจริงใจ
เมื่อเห็นนางไม่มีท่าทีว่าจะเชื่อในสิ่งที่เขาเอ่ย หลี่หมิงอวินจึงยกมือขวาขึ้น “ข้าสาบานได้”
“เลอะเทอะ สาบานแล้วช่วยอะไรได้ พระเจ้ากำลังยุ่งจะแย่ ใครเขามีเวลามาฟังคำพูดไร้สาระของเจ้า” หลินหลันถลึงตาใส่เขา แล้วเดินสะบัดก้นหนีไปไม่สนใจ
หลี่หมิงอวินรู้สึกเสียใจภายหลังอย่างสุดซึ้งแล้วจริงๆ ความจริงแล้วเขาไม่ได้เยาะเย้ยอะไรนางทั้งนั้น ก็แค่รู้สึกว่ามันน่าสนใจดี ถึงนางจะไม่มีส่วนนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย อย่างมากก็แค่รุ่นลูกๆ อาจขาดทุนสักหน่อย เพียงแต่คาดไม่ถึงว่านางดันโกรธเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้
“หลินหลัน อย่าโมโหเลย โมโหจะทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นได้ง่ายนะ…”
“หลินหลัน เจ้าเดินให้ช้าๆ หน่อย มิเช่นนั้นคนอื่นเขาจะคิดว่าเจ้าตามทวงหนี้อยู่นะ…”
“หลินหลัน…”
“เจ้าช่วยพูดให้มันน้อยๆ หน่อยได้ไหม เราออกมาทำหน้าที่หมอกระดิ่ง มิใช่มาพูดคุยเล่นกัน” หลินหลันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
หลี่หมิงอวินชี้ไปที่กระดิ่งในมือหลินหลันและกล่าวอย่างเจี๊ยมเจี้ยม “เจ้าลืมสั่นกระดิ่ง…”
เอ่อะ! มิน่าล่ะเดินมาตั้งหลายถนนแล้วยังไม่มีใครเรียกใช้บริการ หลินหลันยัดกระดิ่งใส่มือเขาด้วยความอารมณ์หงุดหงิด “เจ้าสั่นกระดิ่งด้วย”
หลังจากนั้นหลินหลันก็เดินนำโดยเอามือไพล่หลังอย่างสบายอกสบายใจ หลี่หมิงอวินหน้าหงิกงอ แบกกล่องยาพลางสั่นกระดิ่งเดินตามหลังไปอย่างกระชันชิด
ในตรอกลึกสายหนึ่ง บานประตูเปิดออก มีหญิงวัยกลางคนอายุราวๆ ห้าสิบกว่าเดินออกมาร้องเรียกทั้งสอง “ท่านหมอ เมื่อครู่ลูกสาวบ้านข้าอาเจียนไม่หยุดหย่อน เรียนเชิญท่านหมอช่วยตรวจดูให้หน่อยนะเจ้าคะ”
หลินหลันรีบตามเข้าไปด้านในทันที เห็นเพียงผู้ป่วยนางหนึ่งที่มีอายุราวๆ สี่ยิบต้นๆ หน้าตาสระสวย เพียงแต่สีหน้าซีดเสียว มือแตะบริเวณหน้าอกเป็นระยะๆ ภายใต้อาการสะอิดสะเอียน หลินหลันเอ่ยถามสองสามคำถามแล้วจึงทำการจับชีพจร “ยินด้วยด้วย ฮูหยินตั้งครรภ์แล้ว”
หญิงสาวผู้นั้นเผยสีหน้าตกตลึงด้วยความดีใจ “ท่านหมอตรวจละเอียดแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลักษณะชีพจรที่เต้นราบรื่นไม่ติดขัด เมื่อใช้นิ้วสัมผัสจะรู้สึกเหมือนสัมผัสไข่มุก หมายถึงการตั้งครรภ์อย่างแน่นอน”
สตรีผู้นั้นดีใจเป็นอย่างยิ่งจนลืมอาการคลื่นไส้ไปสนิท แล้วบอกให้หญิงวัยกลางคนรีบนำเงินออกมาให้เป็นค่าตอบแทน
หลินหลันลองชั่งน้ำหนักด้วยความรู้สึกดู ซึ่งเป็นน้ำหนักที่ไม่เบาทีเดียว กิจการนี้ถือว่าไม่เลวเลย ทั้งไม่เปลืองแรงแล้วยังสร้างความสุขใจให้ด้วย ขณะที่นางเตรียมจะโอ้อวดต่อหลี่หมิงอวินสักหน่อยกลับเห็นเขาจ้องมองอักษรบนกำแพงราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“นี่! มัวมองอะไรอยู่ ไปได้แล้ว…” หลินหลันกล่าวพลางกระตุกชายแขนเสื้อของเขา
ตามมาด้วยเสียงคนตะโกนอยู่บริเวณภายนอก “นายท่านมาแล้ว…”
สีหน้าของหลี่หมิงอวินเปลี่ยนไปในทันทีทันใด เขาดึงหลินหลันให้รีบเดินโดยเร็วไวพลางก้มหน้าและงอตัวเดินหลบอยู่ด้านหลังของหลินหลัน หลินหลันอดรู้สึกงุนงงสงสัยมิได้ พ่อหนุ่มนี้กำลังเล่นอะไรของเขาอยู่
ชายวัยกลางคนที่ถูกขนานนามว่านายท่านเมื่อครู่นี้เดินผ่านหลินหลันไปก่อนจะหยุดชะงักชั่วขณะ รู้สึกว่าเรือนร่างของหนึ่งคนในนั้นดูคุ้นตาเล็กน้อยแต่ก็นึกไม่ออก
หลี่หมิงอวินปาดเหงื่อหลังพ้นออกจากประตูบ้านไปแล้ว ตามด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกยาวอย่างโล่งอก “เมืองหลวงนี่มันแคบเกินไปแล้ว วันหลังข้าไม่กล้าติดตามเจ้าออกมารักษาผู้อื่นอีกแล้ว”
หลินหลันนึกประหลาดใจ “หรือว่าเจ้ารู้จักสตรีท่านนั้น”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้าเกร็งๆ “สตรีท่านนั้นข้าจะไปรู้จักได้อย่างไร แต่ว่าบิดาของเด็กในท้องนางข้ารู้จักเป็นอย่างดีเลยล่ะ นี่! สถานการณ์เมื่อครู่ทำข้าเหงื่อออกท่วมตัวจริงๆ นะ หากให้เขาพบข้าเข้า ต่างฝ่ายต่างก็ต้องรู้สึกทำตัวไม่ถูกอย่างแน่นอน”
“เป็นผู้ใดกันหรือ ถึงได้ทำให้เจ้าตื่นตกใจจนเป็นเช่นนี้ได้”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หัวหน้าสูงสุดของฝ่ายข้าเอง”
หลินหลันตกตะลึงและนางก็เข้าใจได้ในทันที ทว่าบ้านหลังเล็กหลังน้อยเช่นนี้ แน่นอนว่าคงมิใช่บ้านของผู้เป็นเจ้านายหมิงอวินอย่างแน่นอน คาดว่าคงจะเป็นบ้านเล็กอีกหลัง บุรุษในยุคสมัยโบราณเรื่องการมีภรรยาสามนางบำเรอสี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่ก็มีบางกรณีที่ไม่กล้าเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้ง จึงทำได้เพียงแอบเลี้ยงดูไว้ ณ บ้านภายนอกอีกหลัง เรื่องประเภทนี้ทุกคนต่างรู้ดีแต่หาได้พูดออกมาไม่ ทว่าหากให้คนใต้บังคับบัญชาตนเองมาพบเห็นเข้า เกรงว่าจะเป็นการทำตัวไม่ถูกไปเปล่าๆ
หลินหลันมองไปที่เขาพลางส่ายหน้าพัลวัน “ถือว่าเจ้าโชคยังดีเหลือเกิน”
หลี่หมิงอวินบ่นอุบอิบในใจ ถือว่าข้าโชคร้ายล่ะสิไม่ว่า! เจ้ารู้หรือไรว่าหัวหน้าผู้นี้เป็นใคร เขาคือถังถังเผยขุนนางระดับสูงซึ่งมีหน้าที่คอยช่วยเหลืองานถวายฮ่องเต้ และยังเป็นว่าที่พ่อตาของเฉินจื่ออวี้ด้วย!
หลังหลุดพ้นออกมาจากสถานการณ์อันไม่คาดคิดนี้แล้ว เมื่อหลินหลันรับตรวจผู้ป่วยอีกรายหลี่หมิงอวินกลับไม่ยินยอมติดตามเข้าไปด้านในด้วยอีกแล้วเพราะเกรงว่าจะเผชิญเรื่องที่ไม่ควรเผชิญขึ้นมาอีก
หลินหลันทำได้เพียงไล่ให้เขาไปรอยังร้านน้ำชาเล็กๆ บริเวณใกล้เคียง ส่วนตนเองไปทำหน้าที่หมอเพียงลำพัง
หลินหลันสั่นกระดิ่งไปตลอดทางเดินพลางเอ่ยตะโกน “ฮว่าถัว [1] กำเนิดเกิดใหม่ เปี่ยนเชวี่ย [2] ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง…เชี่ยวชาญในการรักษาโรคที่ว่ายากเย็น ทำให้ผู้ป่วยกลับมาแข็งแรงเสมือนหนุ่มสาว…”
ประโยคนี้เริ่มแรกที่พูดออกไปหลินหลันยังคงรู้สึกเขินอายอยู่เล็กน้อย แต่พอค่อยๆ ผ่านไปความเขินอายพวกนั้นก็หายไปหมดสิ้น ไม่ส่งเสียงตะโกน ไม่เอ่ยเชยชมตนเอง แล้วผู้ใดจะมาสนใจเจ้าหรือ ทีหมอดูเหล่านั้นยังบอกว่าพวกเขาคือเจียงไท่กงกลับชาติมาเกิดเลย!
ทันใดนั้นก็มีเสียงระฆังดังขึ้นจากฝั่งตรงข้าม “เชี่ยวชาญในการรักษาโรคที่ว่ายากเย็น ทำให้ผู้ป่วยกลับมาแข็งแรงเสมือนหนุ่มสาว…”
เอ่อ! พบเจอผู้ร่วมสายงานเดียวกันเข้าแล้ว หลินหลันทอดสายตามองออกไป เห็นเพียงชายหนุ่มซึ่งอยู่ในชุดสีน้ำเงิน ในมือของเขากำลังสั่นกระดิ่งและเดินไปอย่างใจเย็น ด้านหลังของเขายังมีเด็กถือกล่องยาคนหนึ่งติดตามอยู่ด้วย
หลินหลันเขาไปหาเข้าด้วยรอยยิ้มอย่างมีมรรยาท “ข้าเพิ่งมาจากทางด้านนั้น ทางด้านนั้นไม่มีผู้คนต้องการรับการรักษาเลยน่ะ”
จากลักษณะของชายหนุ่มผู้นั้นอายุน่าจะราวๆ ยี่สิบต้นๆ คิ้วของเขาเรียวยาวรับกับดวงตาคู่สวยที่ดูกลมโตและมีเสน่ห์ สองมือของเขายกขึ้นประสานกันแสดงทีท่าคาราวะให้แด่หลินหลัน “ขอบใจน้องชายที่บอกกล่าวกันล่วงหน้า” หลังจากนั้นเขาก็ชี้ไปยังทิศทางด้านหลังของตน “ข้าเพิ่งมาจากทางนั้นก็ไม่มีผู้ใดเรียกใช้บริการเช่นกัน”
หลินหลันหัวเราะแฮะๆ “เห็นทีพวกเราต้องเปลี่ยนสถานที่กันเสียแล้ว”
ชายหนุ่มผู้นั้นยกสองมือขึ้นคาราวะอีกครั้งแล้วเดินเฉียดหัวไหล่ของหลินหลันไป ก่อนจะได้ยินเพียงเสียงเด็กชายที่รับหน้าที่ถือกล่องยาเอ่ยนินทา “เส้าเหยียขอรับ คนผู้นั้นดูไร้ยางอายไม่ใช่ย่อยถึงได้กล้าเรียกตนเองว่าเป็นถึงฮว่าถัว เป็นเปี่ยนเชวี่ยกลับชาติมาเกิด ขนาดนายท่านและนายท่านผู้เฒ่าล้วนไม่กล้ากล่าวชมตนเองเช่นนี้เลยนะขอรับ…”
“ชูว์…การติฉินนินทาผู้อื่นเป็นเรื่องต้องห้าม เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือตนยังมียอดคน เมืองหลวงแห่งนี้ อาจมีผู้เก่งกาจมากความสามารถแอบซ่อนอยู่ ข้าอยากรู้เช่นกันว่าเขาจะมีความสามารถสักเพียงใด…”
เสียงดังกล่าวค่อยๆ เลือนรางไปพร้อมกับเขาคนนั้นที่ไกลออกไป
หลินหลันหันกลับมองชายหนุ่มผู้นั้นและนึกรำพึงรำพันในใจ ผู้ร่วมสายงานเดียวกันท่านนี้นิสัยไม่เลวเลยทีเดียว
——