ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่164จิตใจสารเลว
ผู้ดูแลร้านผ้าไหมแห่งตระกูลเยี่ยเมื่อได้ทราบข่าวคราวจึงรีบไปรายงานนายท่านใหญ่เยี่ย เมื่อป้ายร้านเพิ่งนำขึ้นแขวนเป็นที่เรียบร้อย นายท่านใหญ่เยี่ยก็เดินทางมาถึงพอดี
“มิเห็นได้ยินเสียงเฉลิมฉลองรื่นเริง ข้ายังคิดว่าผู้ดูแลร้านหลอกข้าแล้วเสียอีก คาดมิถึงเลยว่าจะเป็นความจริง” เยี่ยเต๋อฮ๋วยเงยหน้ามองดูแผนป้ายทองคำหุยชุนถางด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและอิจฉา “เป็นพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได! ตระกูลเยี่ยเราได้รับป้ายร้านนี้เช่นกันเมื่อใด ตายไปก็มิเสียดายแล้วละ”
หลินหลันปิดปากขณะหัวเราะขึ้นมาเบาๆ “ข้าก็แค่อาศัยบารมีของหมิงอวินเจ้าค่ะ ฮ่องเต้ทรงเห็นความสำคัญของหมิงอวินถึงได้พระราชทานของขวัญให้เจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินชายตามองนางแล้วหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย “เดี๋ยวนี้เจ้ารู้จักถ่อมตนกับเขาแล้วหรือ เดิมทีฮ่องเต้จะมอบรางวัลเพื่อยกย่องเจ้าที่บริจาคยาให้โดยการป่าวประกาศคุณงามความดี ทว่าหลังได้ลองคิดๆ ดู ยามนี้โรคฝีดาษระบาดในมณฑลส่านซี ก็มีร้านยาอื่นๆ ร่วมบริจาควัตถุดิบยาด้วยเช่นกัน แล้วเหตุใดถึงให้รางวัลเจ้าเพียงผู้เดียว นี่จึงเป็นความโปรดปรานพิเศษที่มีต่อพวกเรา ดังนั้นข้าเลยต้องเปลืองแรงกล่าวอยู่พักใหญ่ ถึงทำให้ฮ่องเต้ทรงทำให้เรื่องราวไม่เอิกเกริกไป” หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วอย่างภาคภูมิใจ มองดูแผ่นป้ายพลางกล่าวอย่างเนิบๆ “หุยชุนถาง อักษรไม่กี่ตัวนี้ช่างดีเสียจริง ผู้ที่ไม่รู้คงได้คิดจริงๆ ว่าเจ้าเป็นหมอที่มีความสามารถมากจนรักษาผู้ป่วยที่ใกล้ตายให้หายเป็นปกติได้เหมือนเดิมได้”
หลินหลันแอบบิดเนื้อบนท่อนแขนของเขาอย่างแรงพลางกล่าวเสียงกระซิบด้วยรอยยิ้มจนตาหยี “อย่างแรก ข้าถ่อมตนเพื่อปลอบใจท่านลุง มิเห็นท่านลุงอิจฉาจนเกือบน้ำตาตกลงมาแล้วหรือ อย่างที่สอง การจัดการอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนของเจ้าเป็นเรื่องที่พึงกระทำอยู่แล้ว อย่างที่สาม รางวัลพระราชทานอักษรสองสามตัวนี้เป็นความจริงที่สมดั่งชื่อแน่นอน ภรรยาเจ้าอย่างข้า มิทำให้เสียชื่อแน่นอน เข้าใจไหม”
หลี่หมิงอวินสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เข้าใจๆ…”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยถอนหายใจอยู่สักพัก หลังปรับสภาพอารมณ์กลับคืนสู่ปกติจึงกล่าวขึ้น “วันนี้เป็นวันดีครั้งยิ่งใหญ่ ต้องฉลองกันให้เต็มที่เสียหน่อย ค่ำคืนนี้ลุงเป็นเจ้าภาพเอง พวกเราจัดเลี้ยงสักสามสี่โต๊ะ จะได้เฉลิมฉลองไปด้วยกัน จริงสิ ยังต้องรีบส่งข่าวดีให้ท่านยายและท่านตาเจ้ารับรู้ด้วย”
หมิงอวินยกสองมือขึ้นระดับหน้าอกในท่าคารวะแล้วกล่าว “ท่านลุงขอรับ เรื่องเลี้ยงฉลองอย่างไรก็ต้องจัดแน่นอนขอรับ ทว่าเจ้าภาพนี่ ให้เป็นหน้าที่ของหลานจะดีกว่านะขอรับ เอาเป็นพรุ่งนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ที่โรงเตี๊ยมอี้เซียงจู เรียนเชิญท่านลุงและพี่ใหญ่นะขอรับ” ขณะกล่าวหมิงอวินปรับลดระดับเสียงลงกะทันหัน “จะได้พูดคุยเรื่องสำคัญกันด้วยขอรับ”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยตระหนักได้ในทันที หมิงอวินต้องการหาโอกาสพูดคุยกับเขาเรื่องทางด้านเทียนจิน เขาจึงทำทีหัวเราะแล้วกล่าวออกไป “ก็ได้ เช่นนั้นก็พรุ่งนี้แล้วกัน!” แล้วจึงหันไปกล่าวกับหลินหลัน “หลานสะใภ้ เจ้าเป็นตัวอย่างที่ดี เฮ้อ! น่าเสียดาย หมิงอวินมิได้สกุลเยี่ย”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถึงหมิงอวินจะมิได้ใช้สกุลเยี่ย แต่ครึ่งหนึ่งก็เป็นคนตระกูลเยี่ยเจ้าค่ะ”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยรู้สึกดีใจขึ้นมาอีกครั้ง เขาตบลงบนบ่าของหมิงอวินอย่างเบามือ “ยอดเยี่ยมๆ พูดได้เข้าท่า ข้อดีหมิงอวินของเจ้า ล้วนเสมือนตระกูลเยี่ยของพวกเรา”
หมิงอวินถูกตบไหล่จนเอนไหวไปตามแรง ทว่ายังคงเห็นถึงความอิจฉาและความหมั่นไส้ของท่านลุงว่ามีอานุภาพรุนแรงเพียงใด
หลินหลันพยายามอย่างหนักเพื่อกลั้นหัวเราะ ท่านลุงช่างขี้แกล้งเกินไปแล้ว
ภายในจวนหลี่ หมิงจูออกมาจากเรือนเวยอวี่ มุ่ยปากด้วยความอึดอัดใจ “ช่วงนี้นับวันยิ่งไม่สนุกเอาเสียเลย พี่ใหญ่ต้องเตรียมตัวสอบ พี่สะใภ้ก็เอาแต่ทำหน้าเศร้าสร้อยเหม่อลอยทั้งวัน เห็นหน้านางแล้วรู้สึกหดหู่ชะมัด อวี๋เหลียนก็ไม่ออกมาเล่นบ้างเลย ระยะนี้ชีวิตมันน่าเบื่อเสียจริง เบื่อจะแย่แล้ว”
อาเซียงกล่าวเสนอแนะ “เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะ หรือไม่พวกเราไปเล่นว่าวในสวนดีหรือไม่เจ้าคะ ท่านดูสิเจ้าคะ วันนี้อากาศดีทีเดียวเลยเจ้าค่ะ”
หมิงจูเงยหน้ามองผืนฟ้าสดใสประดุจหยกสีน้ำเงิน จึงเริ่มรู้สึกคล้อยตาม “ว่าวของปีที่แล้วยังอยู่หรือ”
อาเซียงกล่าวทันควัน “อยู่เจ้าค่ะ! ข้าน้อยเก็บไว้อย่างดิบดี ข้าน้อยกลับไปเอามาตอนนี้เลยนะเจ้าคะ”
หมิงจูโบกมือเป็นสัญญาณตอบรับ “เจ้าไปเถอะ! ข้าไปเดินเล่นในสวนก่อนแล้วกัน”
“เจ้าค่ะ…” อาเซียงเดินไปอย่างสำราญใจ
หมิงจูเดินมุ่งไปในสวนตามลำพัง เป็นช่วงกลางเดือนสามแล้ว ดอกไม้ภายในสวนจึงพากันผลิบาน ดอกกุหลาบสีเหลืองอ่อนปกคลุมกำแพงระดับเตี้ย ดอกต้นกานพลูสีม่วง กุหลาบเย่ว์จี้สีแดงสด ดอกท้อสีชมพูสะพรั่ง ทั้งหมดนี้ช่วยเติมเติมสีสันจนเต็มทั่วทั้งสวน หมิงจูเลือกเด็ดดอกโบตั๋นแล้วนำมาถือเล่นบนมือ
“ข้าได้ยินว่าเหล่าไท่ไทต้องการสรรหาอนุภรรยาให้เอ้อร์เส้าเหยียละ!”
“เจ้าได้ยินผู้ใดกล่าวมาหรือ เอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายเพิ่งแต่งงานกันยังไม่ถึงครึ่งปีเลย! ก็จะต้องสรรหาภรรยาแล้วหรือ”
บทสนทนาหลังภูเขาจำลองดึงดูดความสนใจของหมิงจูในทันทีทันใด หมิงจูเดินย่องเข้าไปใกล้อีกนิดแล้วเอี้ยวหูแอบฟัง
“นี่มีอันใดให้ประหลาดใจไป ต้าเส้าเหยียแต่งงานไปเพิ่งเท่าใดกันเชียว มิใช่ว่าก็รับเว่ยเหนียงเหนียงมาเช่นกันหรือ ข้าได้ว่าเหล่าไท่ไทเกรงว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายเปิดร้านยาแล้วจะยุ่งจนไม่มีเวลาสนใจเอ้อร์เส้าเหยีย ถึงได้คิดสรรหาอนุภรรยาให้เอ้อร์เส้าเหยีย…”
“เอ้อร์เส้าเหยียมีความรู้ความสามารถโดดเด่นกว่าใครๆ อีกทั้งยังรูปลักษณ์หล่อเหลา มิรู้ว่าผู้ใดจะโชคดีถึงเพียงนั้นจึงเข้ามาเป็นอนุภรรยาของเอ้อร์เส้าเหยียได้”
“เฮ้อ…เจ้าก็อย่าฝันหวานไปเลย ต่อให้เอ้อร์เส้าเหยียรับอนุภรรยามาเป็นร้อยคนก็ไม่มีทางตกมาถึงเจ้าหรอก”
“ข้าแค่อิจฉาเสียหน่อยจะเป็นไรไป! นี่! จะว่าไปแล้ว เหล่าไท่ไทหมายปองผู้ใดไว้หรือ ในจวนเราหรือด้านนอก”
“อันนี้ข้าก็มิแน่ใจ ทว่าสองสามวันก่อนเหล่าไท่ไทมักเรียกอวี๋เสี่ยวเจี่ยะไปพูดคุย และข้ารู้เพียงเอ้อร์เส้าเหยียกล่าวว่า หากอนุภรรยาเป็นเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะ เขาถึงจะตอบรับ”
“เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะ? เป็นไปมิได้กระมัง! ครั้งก่อนเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะได้รับโทษ มิใช่เพราะเอ้อร์เส้าเหยียโมโหหรอกหรือ”
“ก็นั่นสิ! ดังนั้นข้าก็มิเข้าใจเช่นกัน”
“ข้ารู้แล้ว…”
“เจ้ารู้อันใดหรือ”
“คงเพราะเอ้อร์เส้าหน่ายนายโกรธแค้นเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะแล้วแน่ๆ เลยตั้งใจให้เอ้อร์เส้าเหยียรับเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะเป็นอนุภรรยา แล้วหลังจากนั้นก็จะเล่นงานเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะได้ตลอดเท่าที่ใจต้องการ เจ้าลองคิดดูสิ! ทันทีที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายเหยียบเข้าบ้านมา เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะก็ทำให้นางขายหน้า แล้วเอ้อร์เส้าหน่ายนายจะไม่โกรธแค้นไปได้อย่างไรกัน”
หมิงจูแทบควันออกหูเมื่อได้ยินดังกล่าว นางขยี้กลีบดอกโบตั๋นในมือจนไม่เหลือชิ้นดีพลางก่นด่าภายในใจ นังหลินหลันตัวดี จิตใจชั่วร้ายเสียจริง ครั้งก่อนก็สาดเสียเทเสียใส่ข้า ครานี้ยิ่งเพิ่มความเลวทรามขึ้นไปอีกสินะ
“เสี่ยวเจี่ยะ เสี่ยวเจี่ยะ…” เสียงร้องเรียกจากอาเซียงล่องลอยมาแต่ไกล
หมิงจูตื่นตกใจและเท้าลื่นจนเกือบสะดุดล้ม จึงส่งเสียงร้อง ‘ว้าย’ ดังขึ้นมา
ผู้ที่อยู่หลังหินทรงภูเขาจำลองร้องตื่นตระหนก “แย่แล้ว…” แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วทันทีทันใด
เดิมทีหมิงจูอยากจับสองคนนั้นมาซักถามให้ละเอียด ทว่าพวกนางกลับหนีไปเสียแล้ว จึงยิ่งรู้สึกโกรธเกรี้ยวกระทืบเท้าลงพื้น
อาเซียงวิ่งเข้ามา ชูว่าวโบกไปมาด้วยความกระตือรือร้น “เสี่ยวเจี่ยะ ท่านดูสิเจ้าคะ ว่าวนี้ยังสภาพดีๆ อยู่เลยเจ้าค่ะ”
หมิงจูจ้องเขม็งใส่นางอย่างดุดัน “ดีบ้าบออะไร เป็นเพราะเจ้า ร้องแหกปากโวยวาย เรียกผีสางหรืออย่างไรกัน…”
อาเซียงไม่รู้ว่าตนเองทำอันใดให้คุณหนูเล็กโกรธอีกแล้ว นางได้แต่เบ้ปากด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและก้มหน้าไม่กล้าพูดจาใดๆ อีก
หมิงจูหงุดหงิดอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าสาวใช้สองคนเมื่อครู่นั้นเป็นใคร ฟังเสียงก็ฟังไม่ออก ช่างเถอะ หลินหลันนังสารเลว คิดจะทำร้ายข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าให้เสวยสุขเช่นกัน
แม่โจวกำลังเดินกระวนกระวายไปมาภายในลานบ้าน เมื่อเห็นอวิ๋นอิงและเหวินลี่วิ่งหน้าตั้งกลับข้ามาจึงรีบเดินเข้าไปเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง สำเร็จหรือไม่”
อวิ๋นอิงตบหน้าอกของตนเองเพื่อสงบจิตสงบใจที่กำลังเต้นระรัว แล้วจึงกล่าวตอบ “พวกเราสะกดรอยตามเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะไปถึงสวนดอกไม้แล้วนำคำพูดที่ท่านกล่าวไว้ถ่ายถอดออกไปได้ประมาณเจ็ดแปดส่วน หากมิใช่อาเซียงเข้ามาเสียก่อนจนส่งผลให้เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะตื่นตกใจ พวกเราคงได้นำคำพูดกล่าวออกไปจนหมดเจ้าค่ะ ทว่าประเด็นสำคัญๆ พวกเราล้วนพูดออกไปหมดแล้วเจ้าค่ะ”
แม่โจวเหยียบบนธรณีประตูแล้วชะโงกมองออกไปด้านนอก “พวกเจ้ามิได้ถูกเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะเห็นเข้าหรอกกระมัง”
เหวินลี่กล่าว “พวกเราวิ่งอย่างรวดเร็ว เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะน่าจะมิเห็นพวกเราหรอกเจ้าค่ะ”
แม่โจววางใจแล้วจึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าอบอุ่น “งานครั้งนี้พวกเจ้าทำได้ดีเยี่ยม ระยะนี้พวกเจ้าสองคนออกไปข้างนอกให้น้อยๆ หน่อยแล้วกันและมิต้องพูดคุยถึงประเด็นนี้อีก”
ทั้งสองขานรับ
แม่โจวเผยรอยยิ้มเย็นชา เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะผู้ไร้มันสมองคนนี้กลับเป็นหมากที่มิเลวทีเดียว แผนการของนายหญิงน้อยจะสำเร็จได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับนางแล้ว เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะ ท่านจะต้องแสดงให้ดีๆ หน่อยล่ะ อย่าทำให้คนเขาผิดหวังถึงจะเป็นการดี แม่มดชรา อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้ว่ากรรมใดใครก่อกรรมนั้นคืนสนองเป็นเช่นไร
หมิงจูวิ่งลุกลี้ลุกลนไปหาแม่มดชรา
“ท่านแม่…” หมิงจูแสดงท่าทีออดอ้อนภายใต้อารมณ์น้อยเนื้อต่ำใจ
นางฮานกำลังพูดคุยเรื่องดอกเบี้ยกับนายซุน เมื่อเห็นหมิงจูวิ่งพรวดพราดเข้ามาจึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ นางจึงหันไปกล่าวกับนายซุน “ก็ทำตามที่ข้าว่า ยื้อไปอีกสักระยะ เดี๋ยวเดือนหน้าก็เบาลงแล้ว”
นายซุนโน้มตัวลงพร้อมกล่าวลาแล้วถอยออกไปอย่างรู้งาน
แม่เจียงส่งเขาออกไปแล้วจึงปิดบานประตู
“เจ้าเป็นไรไปอีกแล้วหรือ มิเห็นหรือไรว่าแม่กำลังพูดคุยธุระอยู่ ถึงได้วิ่งพรวดพราดเข้ามาเช่นนี้” นางฮานกล่าวตำหนิเบาๆ
หมิงจูเบ้ปากจนปากยื่นปากยาวพลางหย่อนตัวลงนั่งข้างมารดา “ท่านแม่ พี่รองเขาต้องการให้ข้าไปเป็นอนุภรรยาจริงหรือเจ้าคะ”
นางฮานตกตะลึง “เจ้าได้ยินคำพูดไร้สาระมาจากแห่งหนไหนหรือ”
หมิงจูกล่าวอย่างหงุดหงิด “ท่านยังจะปิดยังข้าอีกหรือ ภายในจวนล้วนพูดกันให้ทั่วแล้วนะเจ้าคะ”
นางฮานมองดูแม่เจียง ซึ่งแม่เจียงเองก็ประหลาดใจเช่นกัน “เมื่อวานก็มีแค่บ่าวและแม่จู้ สาวใช้คนอื่นล้วนอยู่ด้านนอกทั้งสิ้น! แล้วเป็นผู้ใดกันที่นำคำพูดแพร่งพรายออกไปได้เจ้าคะ”
นัยน์ตานางฮานเปล่งประกายความเย็นชา นางขบฟันแน่นด้วยความโกรธแค้นแล้วกล่าวขึ้น “ยังมีจะผู้ใดได้อีก ต้องเป็นสารเลวสองคนนั่นแน่นอน ข้าคาดไม่ถึงเรื่องจริงๆ ว่าจะเล่นไม้นี้ สารเลว! สารเลวจริงๆ! รู้ทั้งรู้ว่าข้ากำลังหาคู่ครองให้หมิงจู พวกเขากลับจงใจปล่อยข่าวลือว่าต้องการรับหมิงจูเป็นอนุภรรยา ประโยคนี้หากแพร่งพรายออกไปข้างนอก คนภายนอกจะพากันคิดอย่างไร”
แม่เจียงถึงกับเหงื่อตก ไม่ยากที่จะคาดเดาเลย คนภายนอกคงได้คิดว่าคุณชายรองกับคุณหนูหมิงจูมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน แล้วยังจะมีตระกูลไหนต้องการคุณหนูหมิงจูอีกหรือ
ก่อนหน้าหมิงจูมาถึงที่นี่หาได้ตระหนักถึงความเลวร้ายนี้ไม่ ยามนี้ยิ่งคิดยิ่งหวาดกลัว ยิ่งคิดยิ่งกระวนกระวาย นางเขย่าแขนผู้เป็นมารดาอย่างลนลาน “ท่านแม่ เช่นนั้นตอนนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ จะให้พวกเขาทำลายชื่อเสียงลูกมิได้นะเจ้าคะ”
นางฮานแตะๆ มือของหมิงจู “เจ้าวางใจได้ แม่มิปล่อยให้พวกเขาสมดั่งปรารถนาหรอก แม่เจียง เจ้าไปตรวจสอบดูสิว่ามีผู้ใดแอบพูดถึงประเด็นนี้หรือไม่ หากจับได้ มิว่าเป็นผู้ใด นำมาลงโทษโบยให้ตายไปเสีย จะได้ทำให้เป็นแบบอย่าง”
แม่เจียงปาดเหงื่อแล้วกล่าวทันควัน “บ่าวจะไปตรวจสอบดูเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ พี่รองรังแกกันเช่นนี้ ท่านพ่อจะไม่สนใจเลยหรือเจ้าคะ ข้าก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเช่นกันนี่นา!” หมิงจูร้องไห้กระจองงอแงขึ้นมา
นางฮานฉีกยิ้มขมขื่น “ท่านพ่อเจ้าน่ะหรือ ยามนี้ท่านพ่อเจ้าแทบจะยกยอปอปั้นหมิงอวินเหนือฟ้า ปลื้มปิติหมิงอวินเสียยิ่งกระไรดี และเอาแต่ปั้นหน้าตาบึงตึงใส่พี่ชายของเจ้า ในใจเขามีพวกเราสามแม่ลูกที่ไหนกัน”
“เช่นนั้นไปฟ้องท่านย่าก็ได้นี่เจ้าคะ ท่านย่าไม่มีทางไม่สนใจอย่างแน่นอน หากแม้แต่ท่านย่าก็มิสนใจ เช่นนั้นข้าจะยังวางตนเป็นลูกพี่ลูกน้องแบกรับความไม่ยุติธรรมนี้ไปเพื่ออันใดหรือ ข้าเองก็ไม่สนใจแล้วเช่นกัน ประกาศให้โลกรู้ไปเลยว่าข้าเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของหลี่จิ้งเสียน บ้านนี้จะได้พังพินาศไปเลย พวกเราก็กลับไปบ้านเกิดของพวกเรา ถึงอย่างไรที่นั่นก็มีที่นามีบ้านให้อยู่อาศัย ข้าจะได้มิต้องลำบากมาเป็นลูกพี่ลูกน้องอะไรนี่อีก” หมิงจูโกรธหน้ามืดตามัวจนไม่อยากสนใจใดๆ ทั้งสิ้น
นางฮานกล่าวเกลี้ยกล่อมทันที “เจ้าอย่าได้ทำอันใดเลอะเทอะไปเชียว การฉีกหน้าเผยความจริงหาได้เป็นเรื่องยากเย็นไม่ ทว่าพวกเรามิอาจปล่อยให้มันเอาเปรียบอย่างสบายๆ เมื่อพวกเราไปแล้ว ทรัพย์สมบัติกองโตนี่มิเป็นอันต้องตกไปเป็นของคนสารเลวคู่นั้นหรือ แล้วไหนจะอนาคตหน้าที่การงานของพี่ชายเจ้าอีก”
หมิงจูรู้สึกจนปัญญา กล่าวด้วยความหดหู่ “เช่นนั้นจะทำอย่างไรหรือเจ้าคะ”
“เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป ยามนี้คงต้องทนลำบากเอาหน่อย ไว้รอพี่ชายเจ้าสอบหมิงจิ้งผ่าน ต่อด้วยการสอบฝ่ายขุนนางให้ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นจะได้โดดเด่นขึ้นมาอย่างช้าๆ ถึงยามนั้นจิตใจของพ่อเจ้าต้องหันกลับมาอย่างแน่นอน”
“หากพี่ใหญ่สอบมิผ่านล่ะเจ้าคะ” หมิงจูเอ่ยถามด้วยความกังวลใจ
นางฮานตวัดสายตามองนาง “เจ้านี่ปากพล่อยเสียจริง!”
หมิงจูหน้าสลด นางฮานจึงถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้นอีกครั้ง “หากเดินไปถึงขั้นนั้นจริงๆ ข้าก็คงต้องหาโอกาสแล้วค่อยฉีกหน้าเผยธาตุแท้บ้านนี้เสีย”