ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่223-1ช่วงเวลาของการได้พบกันอีกครั้ง
หญิงชราดวงตาลุกวาว มุมปากกระตุก พยายามอย่างหนักด้วยความต้องการจะพูดแต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
แม่จู้จึงปลอบประโลมหญิงชรา “ใจเย็นๆ เจ้าค่ะ ค่อยๆ พูดนะเจ้าคะ”
“หมิง…อวิน...” หญิงชราพ่นทีละคำออกมาอย่างยากลำบาก
แม่จู้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าเหยียมาแล้วเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าเหยียมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ”
ขณะเอ่ย หลี่หมิงอวินสาวเท้ายาวๆ เข้ามาจนถึงเบื้องหน้าเตียงของหญิงชรา หลี่หมิงอวินหันคารวะให้นาง “ท่านย่า หลานมาเยี่ยมขอรับ”
หลังจ้องมองหมิงอวินครู่หนึ่ง หยาดน้ำตาก็ไหลรินออกจากหางตาของหญิงชรา นางพยายามอย่างหนักที่จะยกมือขึ้น ทว่ามือไม้กลับไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย นอกจากนนั้นยังสั่นเทิ้มตลอดเวลา
หลี่หมิงอวินเห็นนางในอาการเช่นนี้จึงเดินก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว กอบกุมมือผู้เป็นย่าแล้วหย่อนตัวนั่งลงบนขอบเตียง
หญิงชรากอบกุมมือของหลานชาย ความรู้สึกต่างๆ นานาที่เปี่ยมล้นมากยิ่งขึ้นส่งผลให้หยาดน้ำตาไหลรินจากหางตาและไหลซึมเข้าสู่ไรผมขาว
แม่จู้ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยซับหยาดน้ำตาให้นางแล้วกล่าวเสียงบางเบาขณะที่ดวงตารู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเช่นกัน “เหล่าไท่ไท เอ้อร์เส้าเหยียมาเยี่ยมท่าน ท่านดีใจหรือไม่เจ้าคะ”
หญิงชราพยักหน้าตามด้วยเสียงพึมพำ “ดี...ใจ…”
หลี่หมิงอวินมองดูใบหน้าชราที่นองไปด้วยหยาดน้ำตาของผู้เป็นย่า ภายในใจจึงเกิดความรู้สึกหลากหลายนับไม่ถ้วน ต่อผู้เป็นย่า เขาเคยรู้สึกโกรธเคือง ซึ่งไม่ว่าตอนนั้นนางจะรู้สึกหรือไม่ การไม่ไยดีของย่าที่ปฏิบัติต่อมารดา เข้าข้างนางฮาน ปฏิบัติต่อตระกูลเยี่ยอย่างดูถูกเหยียดหยาม ปฏิบัติต่อเขาอย่างคนอื่นคนไกล ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการที่ตระกูลหลี่เดินมาถึงสถานการณ์เช่นวันนี้ ผู้เป็นย่าคือส่วนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบด้วย ทว่าตอนนี้เห็นนางล้มป่วยติดเตียง พูดจาปกติไม่ได้ จึงเกิดความรู้สึกสงสารนางอย่างยิ่ง
หญิงชราออกแรงสุดความสามารถขณะกอบกุมมือหมิงอวิน ริมฝีปากที่บิดเบี้ยวพะงาบขึ้นออกเสียงพึมพำไม่ชัดเจน สีหน้าอารมณ์ดูร้อนใจนัก ดวงตาเต็มไปด้วยการรอคอย เสมือนต้องการคำชี้แจง ต้องการขอร้อง
หลี่หมิงอวินมองเห็นดังกล่าวจึงเอ่ยขึ้น “ท่านย่าวางใจเถิดขอรับ หลานจะต้องคิดหาวิธีช่วยพี่ใหญ่ออกมาให้จงได้แน่นอนขอรับ”
หญิงชราดูเหมือนสงบนิ่งลงได้ชั่วขณะ แต่แล้วก็เผยท่าทีกระวนกระวายขึ้นมาอีกระลอก
แม่จู้เข้าใจความนึกคิดของหญิงชราเป็นอย่างดี หญิงชราหวังว่านายน้อยรองจะช่วยเหลือนายท่านใหญ่ แม่จู้จึงมองนายน้อยรองด้วยความลำบากใจ
หลี่หมิงอวินอมยิ้มเล็กน้อยและแตะมือของผู้เป็นย่า “วันนี้ท่านย่าเหนื่อยมากแล้วเช่นกัน ท่านย่าพักผ่อนแต่หัววันเถิดขอรับ ไว้พรุ่งนี้หลานจะมาเยี่ยมท่านอีกครั้ง” เขาปล่อยมือของผู้เป็นย่าแล้วยืนขึ้นพลางเอ่ย ทำเพียงมองดูนัยน์ตาของผู้เป็นย่าที่ฉายให้เห็นถึงความผิดหวัง การช่วยบิดาให้หลุดพ้นจากความลำบาก เขาทำไม่ได้จริงๆ นั่นเป็นบทลงโทษที่บิดาควรได้รับ
ดวงตาทั้งคู่ของหญิงชราค่อยๆ หม่นหมองพร้อมกับท่าทีที่สงบนิ่งลงอย่างช้าๆ เช่นกัน จะมีก็แต่หยาดน้ำตาที่ยังคงไหลรินไม่ขาดสาย
แม่จู้จึงรีบกล่าวต่อหญิงชราทันที “เหล่าไท่ไท บ่าวออกไปส่งเอ้อร์เส้าเหยียนะเจ้าคะ”
เมื่อออกพ้นโถงจาวฮุย แม่จู้กล่าวด้วยท่าทีลังเลใจ “เอ้อร์เส้าเหยีย ท่านอย่าถือโทษโกรธเคืองเหล่าไท่ไทเลยนะเจ้าคะ ไม่มีแม่คนไหนจะอดทนมองดูลูกตนเองทุกข์ระทมได้หรอกเจ้าค่ะ ต่อให้ภายในใจนางก็โกรธเคืองไม่แพ้กันก็ตาม”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มให้แม่จู้เล็กน้อย “ท่านเป็นคนดี คนดีจะได้รับการตอบแทนที่ดี”
แม่จู้ชะงักไปชั่วขณะ นายน้อยรองตอบไม่ตรงคำถามเห็นๆ
หลี่หมิงอวินเงยหน้ามองดูพระจันทร์สว่างจ้าเคียงคู่กับดวงดาวที่กำลังพร่างพราวบนผืนนภาอันมืดมิด และกล่าวขึ้น “แน่นอนว่า คนชั่วก็ควรได้รับโทษทัณฑ์ที่ควรได้รับเช่นกัน นี่เป็นกฎธรรมชาติแห่งสวรรค์” หลี่หมิงอวินโน้มตัวลงเบื้องหน้าเล็กน้อยหลังเอ่ยจบ แล้วเดินก้าวยาวจากไป
แม่จู้ตกอยู่ในภวังค์ไปเนิ่นนานพอตัวก่อนจะส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา นางรู้ดีแก่ใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนายน้อยรองไม่มีทางช่วยเหลือนายท่านใหญ่เป็นแน่
ยามที่หลี่หมิงอวินกลับถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย แม่โจวกำลังนำทุกคนจัดเก็บข้าวของ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายไปส่งแขกเจ้าค่ะ” อวิ๋นอิงกล่าว
หรูอี้เดินเข้ามารายงาน “เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ น้ำร้อนกับใบส้มโอเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้า ยามที่พ้นคุกออกมาหมาดๆ ฮ่องเต้ประทานน้ำร้อนเพื่อใช้ในการอาบน้ำเป็นพิเศษให้เขาเพื่อนำไปชำระล้างสิ่งชั่วร้าย แม้เอ่ยว่าเป็นน้ำร้อนที่ได้รับพระราชทานมา ทว่าในน้ำนั่นไม่รู้ว่าผ่านมือใครต่อใครมากบ้างแล้ว จึงอาบโดยไม่รู้สึกสบายเท่าใดนัก แต่มันก็เป็นพระเมตตาอย่างหนึ่ง หากให้พูดถึงความสบาย มีหรือจะสู้อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่บ้านได้
หลี่หมิงอวินลงไปแช่น้ำด้วยความผ่อนคลาย กระทั่งเขาออกมา หลินหลันผ่านการอาบน้ำแบบธรรมดาทั่วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางเปลี่ยนมาอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีชมพูเทา กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่บนโต๊ะหนังสือเขียนอะไรบางอย่าง
“กำลังเขียนอันใดหรือ” หลี่หมิงอวินสอดมือโอบกอดรอบเอวของนางจากทางด้านหลังและวางคางไว้บนบ่าของนางอย่างเบาๆ แล้วจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันแสนอ่อนโยน
กลิ่นลมหายใจของบุรุษที่คุ้นเคยผสมกับกลิ่นหอมของใบส้มโอลอยเข้าสู่จมูก ภายในใจหลินหลันจึงรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย “ตระกูลฮว๋าขอยืมหมอจากทางด้านข้าจำนวนหนึ่ง ข้าก็เลยร่างรายชื่อไว้ให้ศิษย์พี่รองช่วยจัดการ” นางกล่าวด้วยเสียงบางเบา
หลี่หมิงอวินส่งเสียงอ้อด้วยการลากหากเสียงยาวแล้วโอบกอดนางอย่างสงบเงียบ รอคอยนางร่างรายชื่อให้เสร็จสิ้นด้วยความอดทน
หลินหลันนำแผ่นกระดาษพับอย่างดิบดีแล้วใส่เข้าไปในซองจดหมาย เตรียมเอ่ยปากร้องเรียกคนเข้ามา แต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเรียกคนเข้ามาเห็นเขาที่กำลังกอดนางเช่นนี้มีหวังได้อับอายแย่ จึงส่งมือดันเขาออกห่าง “ข้าจะเรียกคนเข้ามาหน่อย”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มระรื่นก่อนยอมปล่อยมือด้วยความเสียดาย แล้วไปหย่อนตัวลงนั่งด้านข้างอย่างว่านอนสอนง่าย ระหว่างนั้นเขาหยิบฝาถ้วยน้ำชาที่หลินหลันช่วยเตรียมไว้ให้มาถือเล่นไปพลางๆ
หลินหลันตะโกนเรียกหยินหลิ่ว นำจดหมายส่งให้นางแล้วบอกกล่าวสองสามประโยค หลังจากนั้นจึงส่งหยินหลิ่วออกไปจากห้อง เมื่อหันกลับมา นางมองเห็นเส้นผมของหลี่หมิงอวินยังคงเปียกชื้นอยู่เล็กน้อยจึงไปหยิบผ้าสะอาดมาผืนหนึ่ง
“ดูเจ้าสิ ผมเผ้ายังไม่แห้งเลยด้วยซ้ำ” หลินหลันเดินไปหยุดข้างกายเขาแล้วช่วยเช็ดผมให้เขาอย่างเบามือ
หลี่หมิงอวินปิดเปลือกตาลงด้วยความรู้สึกอบอุ่นและกล่าว “ได้กลับบ้านมานี่มันดีจริงๆ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “เจ้าไปเยี่ยมท่านย่ามาแล้วหรือ”
“อืม ท่านย่าสีหน้าดูดีขึ้นมาก” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“นางฟื้นฟูกลับมาเป็นสภาพเช่นนี้ได้นับว่าไม่เลวแล้ว แต่หากคิดจะดีขึ้นไปมากกว่านี้อีกขั้น เกรงว่าคงเป็นการยากเสียแล้ว” หลินหลันกล่าว
หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ไม่ใช่เพราะรู้สึกแย่ เพียงแต่รู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย ผู้เป็นย่าตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว ยังคงคิดถึงแต่ท่านพ่อของเขา ทว่าท่านพ่อคิดถึงแต่ตัวเขาเองเท่านั้น
วันนี้เป็นวันแห่งความสุข คงจะดีกว่าหากไม่เอ่ยถึงเรื่องราวชวนหมดอารมณ์แห่งความสุขเหล่านี้ หลินหลันจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดพวกเจ้าถึงเลิกงานเลี้ยงแต่หัวค่ำเพียงนี้ล่ะ”
หลี่หมิงอวินนึกถึงคำพูดของลูกพี่ลูกน้องชาย ภายในใจจึงเกิดความเร่าร้อนปะทุขึ้นมา เขาคว้ามือของนางที่กำลังยุ่งอยู่บนศีรษะเขาแล้วดึงนางลงมานั่งบนหน้าตัก “ไม่ต้องเช็ดแล้วละ ให้ข้าได้กอดเจ้าให้เต็มที่เสียหน่อย”
หลินหลันแนบอิงซบอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างสงบ ได้ช่วงเวลาอันสงบสุขเช่นนี้กลับคืนมาครอบครองอีกครั้ง ทำให้นางรู้สึกราวกับหลุดออกไปอยู่อีกดินแดนหนึ่ง ราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน มันงดงามจนดูไม่เหมือนความจริง ทว่าข้างใบหูยังคงได้ยินเสียงจังหวะหัวใจเต้นของเขาอย่างชัดเจน จมูกยังคงได้กลิ่นลมหายใจอันชวนหลงใหลที่คุ้นเคย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่บอกนางได้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจริง นางฉีกยิ้มกว้างขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว นางไม่เคยรู้สึกถึงคำว่าความสุขได้ชัดเจนเท่านาทีนี้มาก่อน
“หลันเอ๋อร์ ทำให้เจ้าลำบากเสียแล้ว” เจ้าของเรือนร่างที่นั่งอยู่บนตักน้ำหนักเบาขึ้นมาไม่น้อย รอบเอวของนางก็บางคอดยิ่งขึ้นเช่นกัน ไม่ยากที่จะจินตนาการได้เลยว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้นางต้องเผชิญความยากลำบากมากเพียงใด หลี่หมิงอวินกระชับมือแน่นด้วยความรู้สึกสงสารที่เกิดขึ้นภายในใจ
หลินหลันส่ายหน้าเล็กน้อย “ขอเพียงเจ้าปลอดภัย ต่อให้ได้รับความยากลำบากเพียงใด เศร้าเสียใจเพียงใด มันล้วนคุ้มค่าทั้งนั้น”
หลี่หมิงอวินจรดจุมพิตลงไปที่หน้าผากซึ่งให้ความรู้สึกเย็นเล็กน้อยด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วส่งเสียงกระซิบอย่างอ่อนโยน “ชั่วชีวิตนี้ของคนอย่างข้าหลี่หมิงอวิน มีเพียงเรื่องเดียวที่นับว่าประสบความสำเร็จที่สุด นั่นก็คือการได้แต่งงานกับเจ้า”
หลินหลันเผยรอยยิ้มขณะเงยหน้า จ้องมองไปยังนัยน์ตาคู่อบอุ่นซึ่งฉายความรู้สึกรักใคร่อย่างไร้ที่สิ้นสุด หลังเวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่งนางจึงเอ่ยถามเขา “หากไท่โฮ่วนำชะตาชีวิตข้ามาข่มขู่เจ้าจริงๆ เจ้าจะแต่งงานกับอู่หยางจวิ้นจู่หรือไม่”
หลี่หมิงอวินกล่าวตอบจริงจังโดยไม่แม้แต่จะครุ่นคิด “ไม่มีทาง”
หลินหลันตกตะลึงปนประหลาดใจ “แล้วข้าล่ะ จะทำอย่างไร”
หลี่หมิงอวินสัมผัสมือลงบนพวงแก้มที่มีผิวพรรณละเอียดนุ่มของนาง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรักอันลึกซึ้ง “ข้าไม่มีทางยอมให้เกิดอันใดกับเจ้า และไม่มีทางแต่งกับผู้อื่นใดทั้งสิ้น ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรทำอย่างไร แต่ข้าคิดว่าถึงอย่างไรมันก็ต้องมีสักวิธี” เขาหยุดชะงักไปชั่วครู่แล้วจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “หากเดินไปถึงทางตันจริง เช่นนั้นสิ่งเดียวที่ข้าทำได้ก็คือยินยอมตายไปดีกว่าทำร้ายจิตใจเจ้า ข้าตายแล้ว เจ้าก็จะไม่มีความหมายใดๆ ต่อไท่โฮ่วอีก”
หลินหลันอดรู้สึกตระหนกตกใจไม่ได้ นางรีบยกมือขึ้นปิดปากของเขาแล้วกล่าวออกไปภายใต้หน้านิ่วคิ้วขมวด “ห้ามพูดเรื่องเป็นๆ ตายๆ เด็ดขาด ขอเพียงข้ายังมีรากฐานที่มั่นคงดำรงอยู่ การยอมพ่ายแพ้ชั่วครู่ชั่วคราวไม่อาจส่งผลกระทบหรือทำอันใดได้ทั้งนั้น”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อยและคว้าฝ่ามือคู่เล็กของนางวางทาบลงบนแผงอก สายตาล้ำลึกประดุจท้องทะเลเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ดวงหน้าหล่อเหลาค่อยๆ ก้มลงประทับจุมพิตลงบนกลีบปากที่เขาโหยหามาเนิ่นนาน ตามด้วยเสียงพึมพำขณะคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปากอย่างหลงใหล “หลันเอ๋อร์ คิดถึงข้าหรือไม่”
คำถามนี่มันออกจะเป็นคำถามไร้สาระเห็นๆ หลินหลันจึงใช้การแสดงออกเพื่อเป็นการบอกเขาว่านางคิดถึงเขามากเพียงใด คิดถึงจนเจ็บปวดใจ คิดถึงจนแทบเป็นบ้า นางออกแรงกลืนกินกลีบปากของเขาอย่าง ‘ดุดัน’ ก่อนส่งลิ้นนุ่มสีชมพูสดที่เคลื่อนไหวอย่างว่องไวและเร่าร้อนเข้าสำรวจ โดยการตวัดรัดลิ้นอุ่นร้อนของเขา
ความร้อนแรงของนางเสมือนคบเพลิงที่กำลังลุกโชน ทำให้โลหิตในกายของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นาง ‘คิดถึง’ เขาเพียงนี้เชียว แล้วเขาจะยอมน้อยหน้าได้อย่างไรกัน การโต้กลับอย่างดุเดือดจึงเริ่มขึ้นเพื่อทำให้นางรับรู้ว่าความ ‘คิดถึง’ ของเขามันรุนแรงเพียงใด ยิ่งกว่านางก็ว่าได้
ท้ายที่สุดหลินหลันคงต้องยอมรับอย่าง ‘ตรงไปตรงมา’ ว่าบุรุษที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสะสมมาเป็นเวลาสองเดือนกว่า ทั้งยังมีสภาพร่างกายดีเยี่ยมและอยู่ในวัยเลือดร้อนกำลังพลุ่งพล่านมันเป็นเรื่องหนึ่งที่อันตรายมากเพียงใด