ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่263สร้างข่าวลือ
ที่นั่งอยู่ในโถงรับแขกเวลานี้คือสองแม่ลูกเผยจื่อชิ่ง วันก่อนเผยจื่อชิ่งได้แวะเวียนมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ด้วยเผยฮูหยินต้องการมาพบปะหลินหลันให้ได้ ดังนั้นวันนี้จึงตั้งใจมาเป็นเพื่อนมารดาอีกครั้ง
เผยฮูหยินเห็นหลินหลันอยู่ในชุดไว้ทุกข์ รูปร่างซูบผอมไปกว่าเดิม ดวงตาทั้งสองก็เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยที่เกิดจากการอดหลับอดนอน จึงอดกล่าวด้วยความหดหู่ใจไม่ได้ “หากพ่อสามีเจ้าไม่ได้ก่อปัญหาขึ้น อย่างน้อยๆ เหล่าไท่ไทก็คงไม่ด่วนจากไปเร็วเพียงนี้…ทุกวันนี้แต่ละเรื่องราวล้วนต้องเป็นเจ้า สะใภ้เยาว์วัยผู้หนึ่งมาแบกรับ ช่างเป็นอะไรที่สร้างความลำบากให้เจ้าจริงๆ…”
การล่มสลายของตระกูลหลี่มาอย่างกะทันหันและรุนแรง ทำให้ผู้คนรู้สึกเหนือความคาดหมายไม่น้อยทีเดียว นอกจากรู้สึกเหนือความคาดหมาย ก็คือความรู้สึกเศร้าเสียใจ ใต้เท้าหลี่และเหล่าเหยียแห่งตระกูลตนเองแม้กล่าวไม่ได้ว่าเป็นเพื่อนรักกัน ทว่าความสัมพันธ์ที่มีนี้ก็สนิทสนมมากกว่าคนรอบข้างคนอื่นๆ เล็กน้อย ผนวกกับสามีนางถูกชะตาหมิงอวินเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นเคยมีใจอยากจับเผยจื่อชิ่งให้คู่กับเขา…เฮ้อ! หากไม่ใช่ตอนนั้นหมิงอวินและนางเยี่ยออกจากบ้านไปกะทันหัน ไม่แน่ว่า สองตระกูลคงได้กลายเป็นครอบครัวเกี่ยวดองกันแล้วก็เป็นได้ เผยฮูหยินระลึกถึงมิตรภาพของทั้งสองตระกูล และเห็นว่าทุกวันนี้ตระกูลหลี่ล้วนพึ่งพิงหลินหลันเพื่อจัดการทุกสิ่งอย่างเพียงคนเดียว จึงรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ
หลินหลันเผยรอยยิ้มสมเพชตนเอง “โชคดีที่มีท่านลุงท่านป้าสะใภ้ตระกูลเยี่ยส่งคนมาช่วยเหลือเจ้าค่ะ มิเช่นนั้น ดวงตาข้าทั้งสองข้างคงดำไปหมดแล้ว และคงไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำเช่นไรถึงจะเป็นการดีเจ้าค่ะ”
นี่เป็นความจริงที่สำคัญยิ่ง ขั้นตอนของพิธีศพในยุคสมัยโบราณซับซ้อนมากมายเกินกว่าที่หลินหลันรู้ และในนั้นมีความพิถีพิถันอย่างมาก หากทำไม่เหมาะสมแม้ส่วนเดียวก็จะถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เอาได้ แม้จะมีคนของตระกูลเยี่ยช่วยเหลือ หลินหลันก็ไม่กล้าประมาทเลินเล่ออยู่ดี
“นี่เป็นสิ่งที่สร้างความลำบากให้เจ้ามากพอตัว อย่าว่าแต่เจ้าที่เป็นสะใภ้เยาว์วัยคนหนึ่งซึ่งไร้ประสบการณ์เรื่องสำคัญประเภทนี้เลย ต่อให้คนเฒ่าคนแก่ที่มีประสบการณ์ก็ต้องยุ่งวุ่นวายหัวปั่นเช่นกัน หรือไม่…ป้าส่งคนมาช่วยอีกสักสามสี่คนด้วย?” เผยฮูหยินกล่าวด้วยความปรารถนาดี
หลินหลันปฏิเสธด้วยความเกรงใจ “ขอบคุณความปรารถนาดีของท่านป้านะเจ้าคะ ทว่ากำลังคนในตอนนี้เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ”
เผยจื่อชิ่งกล่าว “ท่านแม่ เรื่องนี้ข้าได้ถามไถ่หลินหลันไปก่อนหน้านี้แล้วเจ้าค่ะ แล้วยังเป็นการกำชับพิเศษของไท่กงตระกูลเฉินให้ข้าถามไถ่อีกด้วย นางก็ไม่ตอบตกลงเช่นกันเจ้าค่ะ”
หลินหลันยิ้มเจื่อน นางปฏิเสธน้ำใจของเผยจื่อชิ่งก็มีความลำบากใจเช่นกัน คู่สามีภรรยาลุงใหญ่เสมือนระเบิดเวลาเสียขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะระเบิดขึ้นมาเมื่อใด มีคำกล่าวที่ว่า เรื่องเสื่อมเสียในบ้านไม่ควรแพร่พรายออกนอกบ้าน ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเฉินหรือตระกูลต้องการมาช่วยเหลือ นางล้วนปฏิเสธทั้งนั้น
เผยฮูหยินรู้ดีว่าหลินหลันไม่อยากรบกวนทุกคน มองดูที่นี่ทั้งในและนอก ดำเนินไปอย่างมีขั้นมีตอน นางอดเลื่อมใสในความสามารถของหลินหลันไม่ได้เช่นกัน
ทั้งสามคนพูดคุยกันอีกพักหนึ่ง จากนั้นเผยฮูหยินจึงลุกขึ้นกล่าวลา โดยมีหลินหลันอาสาไปส่งพวกนางจนถึงประตูรอง
ขณะเดินมุ่งหน้ากลับ แม่โจวเดินเข้ามาหาและกระซิบกระซาบข้างใบหูนาง หลินหลันนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่งก่อนกล่าวขึ้น “ให้นางรับปากไป ข้ามีวิธีการจัดการในแบบของข้า”
เรื่องราวไม่จบไม่สิ้นเสียที เมื่อล่วงเลยเข้าสู่วันที่ห้า ด้านนอกปรากฏข่าวลือออกมาว่า คุณชายใหญ่ตระกูลหลี่และสะใภ้รองตระกูลหลี่สมรู้ร่วมคิดกับคนรอบข้างหญิงชราเพื่อกอบโกยมรดกของหญิงชรา ข่าวลือแพร่งพรายอย่างถึงพริกถึงขิง แล้วยังเป็นสาวใช้วัยกลางคนของโรงครัวที่ได้ยินเมื่อตอนออกไปจับจ่ายซื้อวัตถุดิบทำอาหาร เมื่อกลับมาจึงรีบบอกกล่าวแม่เหยาทันควัน แม่เหยาไม่กล้านิ่งนอนใจ จึงมาบอกกล่าวนายหญิงสะใภ้รอง
หลินหลันรับฟังแม่เหยาบอกกล่าวจนจบอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เสมือนไม่ได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด ก่อนเอ่ยอย่างสั้นง่ายได้ใจความ “ปากอยู่บนตัวผู้อื่น พวกเขาอยากพูดอันใดก็ปล่อยให้พูดไปเถอะ!”
ทว่าแม่เหยาไม่คิดเช่นนี้ ในเมื่อสิ่งสำคัญที่สุดของคนเราก็คือชื่อเสียง คนภายนอกไม่รู้สถานการณ์ภายใน แต่ดันกระพือข่าวลือออกไปเป็นวงกว้าง ถึงตอนนั้นคงได้แต่งเรื่องราวเสียๆ หายๆ ให้เจ้าออกไปด้วย คนภายนอกต่างกล่าวว่าตระกูลหลี่ถูกยึดทรัพย์ นายหญิงสะใภ้รองสิ้นเนื้อประดาตัวถึงขึ้นต้องการฮุบสมบัติของหญิงชรา
แม่โจวส่งสายตาให้แม่เหยาเป็นสัญญาณให้นางไม่ต้องพูดมาก แม้ว่าแม่เหยาโอบกอดความไม่ยุติธรรมแทนนายหญิงสะใภ้รอง แต่ก็ทำได้เพียงสงบปากสงบคำอย่างจำใจ
หลังแม่เหยาเดินจากไป ดวงตาของหลินหลันฉายความเย็นชาขึ้นมาชั่ววูบและเอ่ยถาม “รู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใดกันที่ปากพล่อย”
แม่โจวกล่าว “หลายวันมานี้ ฮูหยินใหญ่ไปมาหาสู่กับแม่ครัวเฝิงที่โรงครัวอยู่สามสี่ครั้งเจ้าค่ะ”
หลินหลันสบถฮึอย่างเย็นชา “คนที่มีตาหามีแววไม่ เก็บไว้จะมีประโยชน์อันใด?”
แม่โจวเผยสีหน้าตระหนักเข้าใจได้ “บ่าวจะไปจัดการนางเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
หลินหลันยกมือขึ้น “เรื่องนี้ต้องจัดการให้งดงามเข้าไว้ ในเมื่อประมาทนางไม่ได้ ก็ต้องทำให้ทุกคนรู้ว่านางพูดปด พอจะทำได้หรือไม่”
แม่โจวขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่งก็เกิดความนึกคิดบางอย่างขึ้นมา “บ่าวพอรู้แล้วเจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวจะไปจัดการให้เรียบร้อยเองเจ้าค่ะ”
วันรุ่งขึ้น กุ้ยซ่าวระบุให้แม่ครัวเฝิงไปจับจ่ายวัตถุดิบพร้อมกับสาวใช้วัยกลางคนอีกสองสามคน
ทันทีที่เดินทางไปถึงตลาดสด ทุกคนต่างแยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ของตน ใครซื้อปลาก็ซื้อปลา ใครซื้อผักสดก็ซื้อผักสด ใครซื้อผลไม้ก็ซื้อผลไม้ แม่ครัวเฝิงถูกส่งให้ไปซื้อผักสด นางเดินมุ่งไปยังร้านค้าริมทางของป้าจางซึ่งเป็นคนคุ้นเคยกันดี ต้องการซื้อผักของป้าจางทั้งหมดโดยไม่ต่อรองราคา ซึ่งส่งผลให้บรรดาพ่อค้าแม่ขายผักบริเวณโดยรอบอิจฉาตาร้อนกันเป็นแถว
ป้าจางคำนวณเงินเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นแม่ครัวเฝิงก็หยิบเงินให้อย่างสบายใจเฉิบ ป้าจางแอบยัดเงินใส่มือนางเฝิงเป็นจำนวนสองตำลึงเงินอย่างรู้งาน จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน “ป้าเฝิง ไว้ครั้งหน้ามีความต้องการซื้อขายอันใด คงต้องให้ท่านช่วยนึกถึงกันหน่อยนะ”
ป้าเฝิงรับเงินมาไว้พร้อมฉีกยิ้มจนตาหยี นางลองบีบคลำมัน รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
“นี่ เรื่องที่เกี่ยวกับแย่งชิงทรัพย์สมบัติในจวนพวกเจ้ามันเป็นความจริงหรือ” ป้าจางเขยิบเข้ามาใกล้ แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเบา ป้าจางเป็นหญิงวัยกลางคนที่ปากสว่าง พูดใส่สีตีไข่ไปทั่ว ในแต่ละวันปกติแล้วก็จะพูดติฉินนินทาแต่ละบ้านไปเรื่อยเปื่อย จากนั้นเอาเรื่องบ้านนั้นไปพูดโอ้อวดทางบ้านนี้ เรื่องของจวนหลี่นางได้ยินมาบ้างแล้วเช่นกัน วันนี้ได้เจอะเจอป้าเฝิงมาซื้อผักที่นางพอดิบพอดี แล้วมีหรือนางจะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป นางจึงต้องการซักถามประเด็นภายในที่คนอื่นเขาไม่รู้จากปากป้าเฝิง
ป้าเฝิงได้ยินดังกล่าวจึงส่งเสียงจุ๊ๆ พร้อมกับส่ายหน้า “ก่อกรรมทำเข็ญชัดๆ…นี่เหล่าไท่ไทเพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่เท่าใดเอง เฮ้อ! เจ้าว่าคุณชายใหญ่ตระกูลหลี่กำลังเปิดร้านขายใบชากิจการหุยชุนถาง ฝั่งนายหญิงสะใภ้รองก็กำลังเจริญรุ่งเรือง สมควรที่จะมายึดติดกับสิ่งของแค่นั้นหรือ คิดไม่ตกจริงๆ…” เริ่มแรกป้าเฝิงยังคงกล่าวด้วยเสียงบางเบา เมื่อกล่าวมาถึงช่วงท้ายกลับเสียงดังขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ร้านขายผักด้านข้างได้ยินดังกล่าว จึงเขยิบเข้ามาเช่นกัน
สองดวงตาของป้าจางสว่างพร่างพราว และกล่าวอย่างกระตือรือร้น “พูดเช่นนี้ หมายความว่าข่าวลือล้วนเป็นความจริงหรือ”
“ไอหยา! ข้ามิได้พูดอันใดทั้งนั้นนะ หากให้นายหญิงสะใภ้รองตระกูลหลี่รู้ว่าข้าปากมาก ข้าคงได้ถูกขับไล่เป็นแน่” ป้าเฝิงเห็นว่าพอหอมปากหอมคอแล้วจึงตัดบท ในสถานที่ประเภทนี้ พูดออกไปเพียงสามส่วนก็เพียงพอแล้ว ความคลุมเครือจะมีความลึกลับและน่าดึงดูดมากกว่าอะไรที่กระจ่างชัดเจน คนเหล่านี้ฟังเสียงลมก็คือเสียงฝน เปิดประเด็นให้พวกนางไว้นิดๆ หน่อยๆ พวกนางก็ปลุกปั่นจนเกินกว่าที่จะจินตนาการได้
“เจ้าก็บอกกล่าวพวกเรามาเถอะน่า! พวกเราไม่พูดออกไปเป็นอันขาด” ป้าจางยังคงสงสัยไร้ที่สิ้นสุด จึงให้คำมั่นสัญญาลอยๆ ไปเช่นนั้น
ขณะมองดูดวงตาที่เต็มไปด้วยการอ้อนวอนและความปรารถนา ป้าเฝิงจึงกัดฟันกลั้นใจกล่าว “เช่นนั้นพวกเจ้าอย่าได้พูดว่าได้ยินมาจากข้าเชียวละ”
บรรดาหญิงวัยกลางคนที่ปากสว่างพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เรื่องราวมันมีอยู่ว่า….” ป้าเฝิงเริมเรียบเรียงคำลวงหลอก
“ป้าเฝิง เจ้านี่มันใจกล้าดีจริงๆ ฮูหยินใหญ่รับปากจะให้ผลประโยชน์แด่เจ้าเท่าไหร่หรือ ถึงทำให้เจ้ายอมให้ร้ายนายหญิงสะใภ้รองได้เพียงนี้”
ป้าเฝิงกำลังพูดอย่างถึงพริกถึงขิง กลับมีเสียงตะคอกอย่างรุนแรงดังขึ้นมาจากด้านหลังกะทันหัน นางที่เดิมทีก็จิตใจไม่เป็นสุขอยู่แล้ว จึงหน้าซีดเผือดไปทันทีทันใด ไม่ต้องหันกลับไปมอง นางก็รู้ได้ว่าผู้ใดมาเยือน ก็คือแม่เหยาผู้ดูและเรื่องภายในของจวนหลี่นั่นเอง
ป้าเฝิงหันกลับไปและกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “แม่เหยาเองหรือ! เหตุใดท่านถึงมาสถานที่ประเภทนี้ล่ะ”
แม่เหยาจ้องนางเขม็งอย่างดุดัน จ้องจนป้าเฝิงถึงกับหัวใจเต้นระรัว ซวยแล้ว ถูกแม่เหยาจับได้คาหนังคาเขาเสียแล้ว
บรรดาหญิงวัยกลางคนที่ปากสว่างเหล่านั้น พร้อมใจกันแยกย้ายโดยปริยาย กลับไปประจำหน้าร้านของตนเอง
แม่เหยาไม่ซักไซ้ไล่เลียงอันใดต่อคำพูดที่ป้าเฝิงเพิ่งกล่าวเมื่อครู่นี้ แต่หันไปถามป้าจางเพื่อขอใบรายการผัก และถามราคาโดยรวม ป้าจางจึงบอกกล่าวราคารวมไปอย่างขอไปที แม่เหยาถามไถ่อย่างละเอียดชัดเจน ป้าจางก็ให้คำตอบแต่ละคำถามเช่นกัน
แม่เฝิงถึงกับเหงื่อท่วมตัวด้วยความวิตกกังวล แม่เหยาผู้นี้ชาญฉลาดอย่างยิ่ง เพียงแค่นางถามไถ่นิดๆ หน่อยๆ ก็รู้ได้ทันทีว่าในนี้มีความไม่ชอบมาพากลมากน้อยเพียงใด ครั้งนี้ ต่อให้แม่เหยาไม่ถือโทษเอาความเรื่องที่นางสร้างข่าวที่นี่ ก็คงต้องลงโทษนางที่กระทำความผิดโดยการยักยอกเงินนี้เป็นแน่
ปรากฏว่าเป็นไปดั่งที่คาดการณ์ไว้ หลังแม่เหยาสดับรับฟังจนจบ สีหน้าของนางเพิ่มความดุดันยิ่งขึ้น ก่อนเอ่ยถามป้าจาง “เจ้าให้เงินส่วนต่างนางไปเท่าใดหรือ”
ป้าจางเผยสีหน้าเลิกลัก “คือ…มันมีเรื่องนี้ที่ไหนกันล่ะ”
แม่เหยาแสยะยิ้ม “ไม่มีเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ ราคาผักเหล่านี้ของเจ้าราคาแพงกว่าร้านอื่นทุกชนิด จำนวนรวมๆ กันแล้ว อย่างน้อยๆ ก็แพงกว่าถึงหกเจ็ดตำลึงเงิน เจ้าไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือมิตรสหายกับนาง นางจะมอบผลประโยชน์ให้เจ้าโดยง่ายได้หรือ”
ร้านขายผักโดยรอบเดิมทีก็อิจฉาตาร้อนป้าจางเป็นทุนเดิม พอได้ยินว่าแพงกว่าถึงหกเจ็ดตำลึงเงิน ถึงกับดวงตาแทบถลนออกจากเบ้าตา บางคนถึงกับกล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “นั่นสิป้าจาง ผักกาดขาวของเจ้าสี่ขีดห้าเหรียญเงิน ของพวกเราขายแค่สี่ขีดสองเหรียญเงิน…”
สายตาเย็นชาของแม่เหยาชำเลืองมองป้าเฝิงที่กำลังเผยท่าทีร้อนตัว และกล่าวต่อป้าจาง “หากเจ้าพูดความจริง เช่นนั้นการซื้อขายครั้งนี้ข้าก็จะไม่ถือโทษเอาความอันใด ทว่าหากเจ้าช่วยปิดบังความจริง ข้าจะคืนผักทั้งหมดนี้”
เงินที่ตกมาอยู่ในมือแล้ว ต้องการให้หยิบออกไป ป้าจางไม่มีทางกระทำได้! นี่ต้องขายผักจำนวนเท่าใดถึงทำเงินได้หลายตำลึงเงิน ทันใดนั้น ป้าจางจึงทรยศป้าเฝิงหน้าตาเฉย ถึงอย่างไรวันนี้ป้าเฝิงก็ถูกแม่เหยาจับได้คาหนังคาเขาแล้ว จะได้เป็นคนงานของจวนนี้ต่อไปหรือไม่ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
ป้าจางยื่นมือออกมาสองนิ้ว “สองตำลึงเงิน”
ป้าเฝิงโวยวายเสียงหลงขึ้นมาด้วยความร้อนรนใจ “ป้าจาง เจ้าจะมาพูดจามั่วซั่วไม่ได้นะ ข้ารับสองตำลึงงานจากเจ้ามาเมื่อใดหรือ”
ป้าจางไม่กล้ามองป้าเฝิงด้วยความละอายใจ จะว่าไปแล้ว การที่ตนเองกระทำเช่นนี้ก็ช่างไร้คุณธรรมเกินไป เพราะถึงอย่างไรป้าเฝิงก็ทำให้นางได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว
แม่เหยาแบมือยืนไปทางด้านป้าเฝิง แสดงความหมายว่าให้นางส่งเงินมา
ป้าเฝิงรู้ดีว่าครานี้ไม่อาจหลบหลีกไปได้ จึงหยิบเงินที่กำไว้ไม่ทันร้อนออกมาอย่างจำใจ แล้ววางลงไปบนมือของแม่เหยา
แม่เหยาลองบีบเงินนั่นดู ในยามที่มองไปยังป้าเฝิงอีกครั้ง สายตาของนางเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ป้าเฝิง เจ้าไม่ธรรมดาเลยนี่! อยากได้เงินจนบ้าไปแล้วหรือ! กฎระเบียบในจวนก็ลืมไปหมดสิ้นแล้วหรือ”
ผู้คนเห็นแม่เหยากำลังอบรมสั่งสอนคนใต้คำสั่งที่นี่ ล้วนชะเง้อหน้าจนคอยาวยืด จ้องมองละครสนุกๆ ไม่วางตา
ป้าเฝิงอ้าปากพะงาบๆ อยากสารภาพผิด อยากร้องขอความเห็นใจ ทว่าต่อหน้าผู้คนจำนวนมากมายเพียงนี้ นางเองก็ทำสีหน้าไม่ถูกเช่นกัน อีกทั้งภายในใจยังร้อนรนจะแย่อยู่แล้ว แม่เหยา ท่านต้องการสั่งสอนบ่าว เหตุใดถึงไม่กลับไปแล้วค่อยอบรมสั่งสอนกัน ไยถึงได้ว่ากล่าวกันในสถานที่เช่นนี้…
“ป้าเฝิง หลายวันนี้เจ้าคงยุ่งวุ่นวายอย่างยิ่งสินะ! ยุ่งเสียจนไม่มีเวลาทำความเข้าใจกฎระเบียบใหม่ของจวนที่กำหนดลงมาสินะ!” แม่เหยากล่าว
ป้าเฝิงจ้องมองแม่เหยาอย่างตกตะลึง ในจวนกำหนดกฎระเบียบใหม่ขึ้นมาเช่นนั้นหรือ
แม่เหยากล่าว “แม่ติง เจ้าเป็นผู้ดูแลด้านโรงครัว เจ้ามาบอกกล่าวกฎระเบียบใหม่แก่นางทีสิ”
แม่ติงก้าวขึ้นมาเบื้องหน้าและกล่าว “การจัดซื้อสิ่งของหรือวัตถุดิบ หากมีการยักยอกเงิน ทันทีที่จับได้ ให้คุกเข่าต่อหน้าฝูงชนในสถานที่ที่ยักยอกเงินนั้นๆ เป็นเวลาสามวัน และจดบันทึกการกระทำผิดลงในสมุดบันทึก หากเป็นสาวใช้จะถูกขายออกไปตามกฎหมายในราคาต่ำ หากเป็นข้ารับใช้หญิงวัยกลางคนให้ขับไล่ออกจากตระกูลหลี่ เนื่องจากไร้คุณสมบัติที่สมควรแก่การเลี้ยงดูไว้”
แม่เหยาชำเลืองมองป้าเฝิงอย่างเย็นชา “ได้ยินแล้วหรือไม่ ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าว่าต้องทำเช่นไรหรือไม่”
ป้าเฝิงหน้าซีดเผือดด้วยความตระหนกตกใจ ไม่สนใจว่าต้องรักษาหน้าอะไรทั้งนั้น นางคุกเข่าลงกับพื้น แล้วก้มศีรษะลงคารวะแม่เหยาอย่างจริงจัง
“แม่เหยา บ่าวเพียงแค่หลงผิดไปชั่วครู่เท่านั้น ขอแม่เหยาโปรดเมตาให้อภัยบ่าวสักครั้ง บ่าวไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ”