ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่272การเคลื่อนไหวของตระกูลฉิน
แม้หลินหลันเก็บความเคลือบแคลงนี้ไว้ในใจ ทว่านางยังไม่โง่เขลาถึงขั้นไปหยั่งเชิงซานเอ๋อร์ หากซานเอ๋อร์เป็นผู้ข้ามภพมาคนหนึ่ง เช่นนั้นยามที่หยั่งเชิงถามไถ่ก็จำเป็นต้องเปิดเผยตนเองเช่นกัน ความลับนี้ให้มันมลายอยู่ในท้องไปยังจะดีกว่า ยามนี้หลินหลันรู้สึกได้ว่าแท้จริงการให้ท่านอาจารย์ถางปกปิดเรื่องทุ่นระเบิดในตอนนั้นเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดดีจริงๆ
เมื่อซานเอ๋อร์ไม่อยู่ หลินหลันจึงพักผ่อนอย่างสงบได้สองสามชั่วโมง ระยะนี้เหนื่อยกายเหนื่อยใจไม่ว่า แล้วยังไม่ได้รับประทานสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีก หากไม่ใช่เดิมทีสุขภาพร่างกายนางแข็งแรงอยู่แล้ว เกรงว่าคงได้ล้มหมอนนอนเสื่อไปแล้วเป็นแน่
ระหว่างเคลิบเคลิ้ม ดูเหมือนได้ยินเสียงเล็กๆ ของซานเอ๋อร์ที่ฟังดูประหลาดใจ “ท่านพี่หลันเอ๋อร์ตรวจการบ้านข้าแล้วหรือ”
แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่เจ้าค่ะ! เอ้อร์เส้าหน่ายนายกล่าวชมท่านว่าเขียนสวยด้วยนะเจ้าคะ”
ผ่านไปชั่วครู่ ซานเอ๋อร์ถึงได้พึมพำขึ้นมา “ปกติแล้วไม่เห็นจะตรวจเลย เฮ้อ…ช่างเถอะ!”
หลินหลันหรี่ตาขึ้นมาเล็กน้อย มองดูดวงหน้าเล็กๆ ของซานเอ๋อร์ในท่าทีกลัดกลุ้มจึงลอบยิ้ม เจ้าเด็กน้อยถอนหายใจอันใดหรือ คิดว่าตนเองเขียนได้ไม่ดีพอ เลยทำให้คนเขารู้สึกตกตะลึงไม่ได้ หรือเป็นเพราะคิดว่าตนเองสะเพร่าไม่ทันระมัดระวังไปชั่วขณะหนึ่ง? แต่ก็หวังว่าจะเป็นนางที่คิดมากไปเองแล้วกัน!
หลังรับประทานมื้อค่ำเรียบร้อย แม่เหยาหยิบสมุดบัญชีรายจ่ายภายในจวนสำหรับช่วงหลายวันนี้มาให้
หลังหลินหลันพลิกเปิดดูอย่างละเอียดจึงกล่าวต่อแม่เหยา “ระยะนี้ ทุกคนล้วนเหน็ดเหนื่อยกันมาก เจ้าบอกกล่าวทุกคนทีว่า เงินเดือนของเดือนนี้จะจ่ายให้ทุกคนเป็นเท่าตัว”
แม่เหยากลับไม่ได้แสดงสีหน้าดีใจ แต่กล่าวด้วยความกังวล “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย นี่มันเป็นเรื่องภายในที่บรรดาข้ารับใช้ต้องปฏิบัติอยู่แล้วเจ้าค่ะ จะให้รับรางวัลตอบแทนได้อย่างไรกัน บ่าวรู้ว่ายามนี้ในมือเอ้อร์เส้าหน่ายนายก็ชักหน้าไม่ถึงหลังเช่นกันเจ้าค่ะ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เจ้ารู้ได้อย่างไรหรือว่าข้าชักหน้าไม่ถึงหลัง หากไม่ใช่เพราะเกรงว่าจะทำให้คนเขาอิจฉาตาร้อน อย่าว่าแต่เพิ่มให้หนึ่งเท่าตัวเลย เพิ่มให้เป็นสิบเท่าตัวก็ยังเป็นอะไรที่เล็กน้อยมาก แต่อย่างไรก็ตาม การที่แม่เหยามีจิตใจเช่นนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้พบเห็นกันได้บ่อยนัก
“ต่อให้ชักหน้าไม่ถึงหลังเพียงใด ก็จะขาดตกบกพร่องในส่วนเงินเดือนของทุกคนมิได้ ทุกคนล้วนเป็นผู้ที่ร่วมฝ่าฟันความยากลำบากมาพร้อมกับตระกูลหลี่ ตอนนั้นที่ไม่ได้จ่ายเงินเดือนสักเหรียญเดียวเป็นเวลาสี่เดือนกว่า ทุกคนก็อย่างปฏิบัติกันอย่างสุดแรงกายแรงใจ ไม่เคยบ่นโอดครวญกันสักคำ ข้าเห็นและจดจำไว้ในหัวใจ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลแทนข้าไปหรอก รายจ่ายแค่นี้ข้ายังจ่ายได้ พวกเจ้าจงรักภักดีต่อตระกูลหลี่ ข้าเองจึงไม่อาจเอาเปรียบทุกคนไปได้” หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน
เวลานี้เองแม่เหยาถึงได้ย่อตัวลงและกล่าวขอบคุณ การได้ติดตามเจ้านายที่เป็นเช่นนี้ ถือว่าเป็นความโชคดีของทุกคนเช่นกัน
แม่เหยาเพิ่งเดินจากไปหมาดๆ หยินหลิ่วก็หยิบบัตรเชิญซองหนึ่งเข้ามา
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ นี่เป็นบัตรเชิญที่ชิวฮูหยินส่งมาเจ้าค่ะ คนเขายังรออยู่ด้านหน้าเจ้าค่ะ!”
หลินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย บัตรเชิญนี่ช่างมาได้เวลาจริงเชียว! โลงศพของหญิงชราเพิ่งถูกส่งออกไปหยกๆ!
หลินหลันรับบัตรเชิญมาดู ที่แท้ฮูหยินชิวต้องการเรียนเชิญนางไปช่วยตรวจอาการป่วยให้นี่เอง
ชิวฮูหยินท่านนี้เป็นภรรยาของใต้เท้าชิว ขุนนางผู้บัญชาการแห่งศาลต้าหลี่ ตอนแรกเพราะรู้จักกันผ่านทางเผยจื่อชิ่ง และเคยช่วยจ่ายยาให้นางจำนวนหนึ่ง เป็นยาประเภทปรับสมดุลหยินหยางเลือดลม และบำรุงความงามอะไรทำนองนี้ ว่ากันตามหลักก็คือลูกค้าเก่าแก่คนหนึ่ง จึงควรแวะเวียนไปสักครั้ง ทว่าหลินหลันกลับรู้สึกมีบางอย่างไม่ค่อยสมเหตุสมผล ดูเหมือนตระกูลชิวจะมีความสนิทชิดเชื้อกับนางจาง พระชายาองค์ชายสามนี่! นางยังจดจำได้ดี องค์ชายสามกับองค์รัชทายาทเป็นผู้ลงเรือลำเดียวกัน หลินหลันไตร่ตรองอย่างหนัก จากนั้นให้หยินหลิ่วกลับไปบอกกล่าวคนเขาว่า ณ ตอนนี้นางยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ จึงไม่ไปออกตรวจ
หลินหลันคิดว่าเรื่องนี้จะผ่านเลยไปทั้งอย่างนั้นแล้ว ใครจะรู้ว่าชิวฮูหยินกลับให้คนส่งบัตรเชิญมาอีกในวันรุ่งขึ้น ทั้งยังใช้ข้ออ้างที่ฟังดูจริงจังมากยิ่งขึ้น ทว่าหลินหลันก็ยังคงปฏิเสธไปเช่นเดิม โดยปฏิเสธอย่างต่อเนื่องไปสามครั้ง ทางด้านฮูหยินชิวนั้นถึงเป็นอันยอมวางมือ ทว่าเรื่องราวมันยังไม่จบไม่สิ้นแค่นั้น ฮูหยินชิวเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ไม่กี่วันต่อมา มีคนมาเรียนเชิญนางไปตรวจอาการป่วยกันอีกอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นมีผู้หนึ่งเป็นผู้ที่มีสัมพันธ์อันดีงามกับเฉียวอวิ๋นซี แต่หลินหลันก็ปฏิเสธไปเช่นกัน ในเมื่อฮูหยินชิวเรียนเชิญนางแล้วนางไม่ไป เช่นนั้นสำหรับตระกูลอื่นนางก็ไม่อาจไปได้เช่นกัน
การเชื้อเชิญที่ติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ภายในใจหลินหลันรู้สึกอยู่ไม่สุข นางเก็บตัวไม่ออกไปไหนโดยอาศัยข้ออ้างที่ว่าต้องการไว้ทุกข์ให้นายหญิงชราเป็นเวลาร้อยวัน ขณะเดียวกันก็กำชับทางด้านศิษย์พี่รองและศิษย์พี่ห้าให้ระมัดระวังเข้าไว้ด้วยเช่นกัน
เพื่อป้องการทุกเรื่องราวที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด จะระมัดระวังไว้หน่อยก็หาใช่เรื่องผิดแปลกไม่
ภายในห้องหนังสือจวนฉิน สีหน้าของฉินจงอึมครึมเสมือนหยดน้ำจะพรั่งพรูออกมา สองคนที่ยืนอยู่บริเวณใจกลางห้องพร้อมใจกันก้มหน้า บรรยากาศอึดอัดทำให้พวกเขาไม่กล้าเอื้อนเอ่ยใดๆ
เสียงดัง ‘ปึง’ ฉินจงโยนสาส์นเล่มหนึ่งลงไปอย่างเต็มแรงและกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไอ้พวกผู้เฒ่าเหล่านี้ ว่าแล้วว่ามันต้องซ้ำเติมกัน”
เสียงดังกล่าวทำให้ทั้งสองคนถึงกับสะดุ้งเฮือก หนึ่งคนในนั้นกล่าวด้วยความหวาดเกรง “คราวนี้เฉิงว่างก่อปัญหาครั้งใหญ่ คนของทางด้านองค์ชายสี่นั่นคงต้องคว้าโอกาสนี้มาเล่นงานตระกูลฉินพวกเราเป็นแน่ขอรับ”
อีกคนหนึ่งก็กล่าวด้วยท่าทีหวาดระแวงไม่แพ้กัน “ยามนี้ไท่โฮ่วทรงประชวรหนัก ฮ่องเต้เพื่อเห็นแก่สัมพันธ์ที่มีระหว่างแม่ลูกจึงยังไม่แสดงท่าทีใดๆ เป็นการชั่วคราว เกรงก็แต่ว่าเมื่อใดที่ฮ่องเต้จะลงมือขึ้นมา ตระกูลฉินเราก็คงเป็นอันพังพินาศนะขอรับ”
สีหน้าของฉินจงเคร่งขรมยิ่งขึ้นกว่าเดิม ประเด็นนี้ต่อให้พวกเขาไม่ย้ำเตือน เขาก็เข้าใจดีกว่าใครหน้าไหนทั้งนั้น แม้จะเห็นว่าฮ่องเต้ทรงเข้าไปปรนนิบัติถึงตำหนักบรรทมเช้าเย็น คอยป้อนน้ำแกงป้อนยา บีบนวดให้เสมือนบุตรผู้กตัญญู แต่หากไท่โฮ่วมีอันเป็นไปจริงๆ สิ่งแรกที่ฮ่องเต้จะจัดการก็คือตระกูลฉิน แล้วนับประสาอันใดกับฉินเฉิงว่างไอ้คนไม่เอาไหน แล้วยังสร้างปัญหาใหญ่โตให้ฮ่องเต้เอาผิดจนได้เช่นนี้อีก
เห็นบุตรชายทั้งสองมีท่าทีตื่นกลัว ฉิงจงยิ่งตวัดสายตามองไปอย่างดุดัน “จะตื่นกลัวอันใดนักหนา เรื่องราวยังไม่เดินไปถึงขั้นนั้นเสียหน่อย เฉิงซื่อ ส่งกองกำลังคนออกไป จะต้องกำจัดเขาก่อนที่จะกลับมาเป็นพยานบุคคลที่เมืองหลวง ส่วนที่ว่าจะจัดการเช่นไร เจ้าน่าจะรู้ดี และคิดหาวิธีบอกกล่าวเฉิงว่าง จำเป็นต้องให้เขายืนกรานเด็ดขาดว่าเขาถูกคนใส่ร้าย ต่อให้ถูกถลกหนังก็จำเป็นต้องปิดปากไว้ให้สนิท”
ฉินเฉิงซื่อกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ลูกจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
“เฉิงจ้ง ติดต่อกองกำลังลับแต่ละส่วนที่มีอำนาจให้เตรียมพร้อมตลอดเวลา อีกอย่าง เรื่องงานแต่งของอู่หยาง จำเป็นต้องเร่งรีบจัดการให้เรียบร้อยด้วย” ฉินจงชะงักไปชั่วครู่และกล่าว “จัดงานมงคลเพื่อขจัดเสนียดจัญไรแด่ไท่โฮ่ว ถือเป็นโอกาสหนึ่งที่ไม่เลวทีเดียว”
ฉินเฉิงจ้งน้อมรับคำสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลังบุตรทั้งสองเดินออกไปแล้ว สีหน้าของฉิงจ้งมืดหม่นลง แสดงให้เห็นถึงความอ่อนล้า เขาเอนกายพิงด้านหลังอย่างไร้เรี่ยวแรง ถอนหายใจพลางก่ายหน้าผาก “คาดไม่ถึงเลยว่าตระกูลฉินจะมาถึงขั้นนี้…”
ฉินเฉิงซื่อออกไปจากห้องหนังสือ จากนั้นบอกกล่าวให้ฉินเฉินซู่มาพบโดยด่วน
“เรื่องที่จวนหลี่จัดการไปถึงไหนแล้ว”
ฉินเฉินซู่กล่าวอย่างหดหู่ “สตรีผู้นั้นระมัดระวังตัวอย่างมากขอรับ ไม่ว่าตระกูลไหนไปเรียนเชิญก็ไม่ออกจากจวนทั้งนั้น อีกทั้งข้างกายนายดูเหมือนมีผู้มีฝีมือชั้นสูงคอยประกบซ้ายขวา จึงหาโอกาสลงมือไม่ได้เลยขอรับ”
ฉินเฉิงซื่อขมวดคิ้ว กล่าวตำหนิ “ไม่ได้เรื่องเลยสักตัว เรื่องเล็กแค่นี้ยังไม่มีปัญญาทำให้ดีได้”
ฉินเฉินซู่ถูกตำหนิจนหัวหด มองไปยังบิดาที่กำลังโกรธเกรี้ยวด้วยความเศร้าสลด รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ งานนี้มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ทั้งยังไม่อาจเล่นงานสตรีผู้หนึ่งอย่างโจ่งแจ้งได้ แล้วยังต้องทำเรื่องนี้ให้แยบยลอีกด้วย ทว่าสตรีผู้นั้นดันเป็นผู้ที่ระมัดระวังตัวเสียยิ่งอะไรดี เรื่องราวไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เขาเห็นเลยสักนิด แล้วจะให้เขาทำอย่างไรได้หรือ
“สตรีผู้นั้นไม่ยอมออกจากจวน เจ้าก็ไม่รู้จักลงมือไปที่ตัวบุคคลอื่นหรือ ไอ้คนไร้สมอง” ฉินเฉิงซื่อมองเห็นท่าทีไม่เอาไหนของบุตรชายก็รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาอีกระรอก
เมื่อฉินเฉิงจ้งกลับมาในบ้านของตนเอง ทำเพียงกล่าวต่อภรรยาของเขา “ให้อู่หยางเตรียมออกเรือนเถอะ! ท่านพ่อตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว เรื่องฤกษ์งามยามดีที่ใกล้ที่สุดให้อู่หยางแต่งงานกับองค์ชายเจิ้นหนาน ถือเป็นงานมงคลเพื่อขจัดเสนียดจัญไรแด่ไท่โฮ่ว”
นัยน์ตาฉินฮูหยินปรากฏความทุกข์ระทมขึ้นมาชั่ววูบ ก่อนเปลี่ยนไปเป็นความจนปัญญาอย่างยิ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างหมดอะไรตายยาก
ณ จวนจิ้งปั๋วโหว์
เฉียวอวิ๋นซีกำลังอุ้มหรงเอ๋อร์กล่อมให้หรงเอ๋อร์นอนหลับโดยตบมือลงไปบนเรือนร่างเขาเบาๆ เป็นจังหวะพร้อมกับร้องเพลงกล่อมอย่างนุ่มนวล ไม่นานนักเปลือกตาของหรงเอ๋อร์ก็ปิดสนิท
“คุณชายน้อยคงชอบฟังเพลงที่ฮูหยินร้องอย่างยิ่งเลยนะเจ้าคะ ฮูหยินร้องเพลงกล่อมไม่ทันไร เขาก็นอนหลับไปเสียแล้ว” ฟางฮุ่ยกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาภายใต้สีหน้ายิ้มแย้ม
เฉียวอวิ๋นซีชำเลืองมองนาง “นี่เจ้ากำลังกล่าวชมข้า หรือกำลังตำหนิข้ากันแน่”
ฟางฮุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บ่าวกล่าวชมคุณชายน้อยเจ้าค่ะ คงความจำดีเสียยิ่งอะไรดีเจ้าค่ะ! ตอนอยู่ในครรภ์ฮูหยินก็ฟังเพลงนี้อยู่บ่อยๆ พอได้ยินเข้าหน่อยก็สงบนิ่งลงแล้ว ทุกวันนี้ก็เช่นกัน จะต้องได้ฟังฮูหยินร้องเพลงกล่อมถึงนอนหลับสนิทได้”
เฉียวอวิ๋นซีก้มหน้ามองดูเด็กน้อยผู้น่ารักในอ้อมแขน ภายในใจรู้สึกถึงความอ่อนโยน มุมปากยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ปรากฏรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
สาวใช้ด้านนอกส่งเสียงบอกกล่าว “โหว์เหยียกลับมาแล้วเจ้าค่า”
ฟางฮุ่ยรับคุณชายน้อยไปโอบอุ้มไว้
เฉียวอวิ๋นซีจัดองค์ทรงเครื่องจนเรียบร้อย ขณะเตรียมออกไปต้อนรับ โจวซิ่นจิ้งปั๋วโหว์กลับเป็นฝ่ายก้าวเท้ายาวเดินเข้ามาเสียแล้ว เมื่อเห็นฟางฮุ่ยกำลังอุ้มหรงเอ๋อร์ที่นอนหลับอยู่ จึงผ่อนฝีก้าวให้เนิบช้าลงทันทีทันใด สีหน้าที่เคร่งขรึมในตอนแรกก็เปลี่ยนไปอ่อนโยนขึ้นมาด้วยเช่นกัน “หรงเอ๋อร์หลับแล้วหรือ” เขากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
เฉียวอวิ๋นซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพิ่งหลับไปเองเจ้าค่ะ”
โจวซิ่นลูบผมของบุตรชายอย่างอ่อนโยน กล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “เจ้าเด็กน้อยนี่ นับวันยิ่งดูแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ”
เฉียวอวิ๋นซีแสดงท่าทีให้ฟางฮุ่ยอุ้มหรงเอ๋อร์ออกไป จากนั้นสาวใช้จึงยกน้ำชาเข้ามา วางมันลงอย่างเบามือแล้วถอยออกไป
“โหว์เหยีย วันนี้ดูเหมือนสีหน้าท่านไม่ค่อยดีเท่าใดนักนะเจ้าคะ มีเรื่องกังวลใจอีกแล้วหรือเจ้าคะ”เฉียวอวิ๋นซียื่นน้ำชาร้อนๆ ให้ และกล่าวถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
โจวซิ่นรับน้ำชาไว้ มองงไอความร้อนที่ลอยอวลขึ้นมาจากถ้วยน้ำชา หรี่ดวงตาทั้งสองลงเล็กน้อยโดยางไม่รู้ตัว ตามด้วยถอนหายใจออกมา “ตระกูลฉินเริ่มอยู่ไม่สุขเสียแล้ว”
เฉียวอวิ๋นซีเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ความขัดแย้งในราชสำนักนางเองก็เข้าใจกระจ่างแจ้งเช่นกัน เพียงแต่นางเป็นสตรี หากจะปริปากพูดอะไรก็ไม่ดีเท่าใดนัก โดยสรุปแล้วไม่ว่าโหว์เหยียตัดสินใจทำอะไร นางล้วนสนับสนุนทั้งนั้นก็เป็นพอ โหว์เหยียมีความระมัดระวังรอบคอบเป็นนิสัย นางไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล ดังนั้นหลังนางเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ไม่ทันไรก็กลับคืนสู่สีหน้าดั่งตอนแรก
“ครั้งนี้ เกรงว่าตระกูลฉินคงคิดลงมือทางด้านสะใภ้รองแห่งตระกูลหลี่” โจวซิ่นทิ้งอีกหนึ่งประโยคออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ตระกูลฉินวางแผนกระทำการอันใดนั้นเขาเองเข้าใจดี การใช้หลินหลันเป็นตัวบีบบังคับหมิงอวินให้ยอมจำนนเป็นความคิดที่ดีสำหรับพวกเขาในยามนี้ ขอเพียงหลี่หมิงอวินยอมเป็นแพะรับบาป ตระกูลฉินก็จะหลุดพ้นจากข้อหาการเป็นกบฏได้ เพียงแต่ความนึกคิดนี้มันช่างไร้เดียงสาเกินไปหน่อย
คราวนี้เฉียวอวิ๋นซีกลับนิ่งนอนใจไม่ได้เสียแล้ว “เป็นไปมิได้กระมัง เช่นนั้นจะไม่เท่ากับว่าหลินหลันกำลังตกอยู่ในอันตรายหรือเจ้าคะ” นางกล่าวด้วยความร้อนรนใจเล็กน้อย
เรื่องการร่วมมือกับศัตรูของฉินเฉิงว่างแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และผู้ที่จับพยายานการกระทำผิดของฉินเฉิงว่างได้ก็คือหลี่หมิงอวินนั่นเอง ตระกูลฉินคงจงเกลียดจงชังหลี่หมิงอวินเข้ากระดูกดำเป็นแน่ ดังนั้นการจะประสงค์ร้ายต่อหลินหลันก็เป็นอะไรที่คาดเดาได้ ทว่าหลินหลันเป็นสหายที่ดีและมีพระคุณซึ่งเคยช่วยชีวิตนาง แล้วจะให้นางนั่งมองดูหน้าตาเฉยโดยไม่สนใจไยดีหรือ
โจวซิ่นพยักหน้าอย่างสุขุม “ยังดีที่สะใภ้รองตระกูลหลี่ระมัดระวังตัว เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน โดยกล่าวว่าต้องการสวดภาวนาให้เหล่าไท่ไทไปสู่สุขคติ ไม่ออกไปพบปะผู้ใด และหมิงอวินก็จัดการส่งผู้อารักขามาคอยอยู่ข้างกายนางแล้วด้วย ดังนั้นการที่ตระกูลฉินคิดจะแตะต้องนางจึงไม่ง่ายดายเพียงนั้น”
“ทว่าในเมื่อคนเขามีแผนการอยู่ในใจ ต่อให้ป้องกันเพียงใดก็ยังคงเป็นไปได้ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดนะเจ้าคะ!” เฉียวอวิ๋นซีกล่าวด้วยความกังวลใจ
โจวซิ่นเลิกคิ้วขึ้นกล่าว “ข้าจัดกำลังคนให้คอยอารักขาทางด้านตระกูลหลี่อย่างลับๆ แล้ว ตราบใดที่สะใภ้รองตระกูลหลี่ไม่ออกจากบ้าน พวกเขาก็ไม่อาจทำอันใดได้ ตอนนี้ที่ข้าเป็นกังวลคือหุยชุนถาง ในเมื่อหุยชุนถางเป็นร้านยาที่เปิดโดยสะใภ้รองตระกูลหลี่ หากเกิดเรื่องเพียงเล็กน้อยกับหุยชุนถาง คงเป็นการยากยิ่งที่สะใภ้รองตระกูลหลี่จะหลุดพ้นข้อกล่าวหาไปด้วย”
เฉียวอวิ๋นซีเผยสีหน้าตื่นตระหนก และกล่าวอย่างร้อนรนใจ “เช่นนั้น…เช่นนั้นควรทำเช่นไรดีเจ้าคะ”
โจวซิ่นนิ่งเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นจึงกล่าว “เจ้าส่งจดหมายไปให้นาง ให้นางปิดทำการหุยชุนถางสักระยะเถอะ! รอให้คลื่นลูกใหญ่สงบลงแล้วค่อยเปิดทำการอีกครั้งก็แล้วกัน”