ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่282มีอะไรสนุกๆให้รับชม
ตงจึมาเยือนเพื่อบอกกล่าวให้ทราบหลังหลี่หมิงอวินไปได้ไม่นานนัก กล่าวว่าคุณชายรองออกจากจวนไปแล้ว ให้นายหญิงสะใภ้รองพักผ่อนแต่หัวค่ำ ไม่ต้องรอเขา
“รู้หรือไม่ว่าด้วยเรื่องอันใด” หลินหลันเอ่ยถามด้วยความไม่สบายใจ
ตงจึกล่าวตอบ “ข้อน้อยแอบฟังได้ยินคนที่มาเยือนกล่าวว่า…เจอตัวคนแล้วอะไรทำนองนี้ละขอรับ”
หลินหลันขมวดคิ้ว เจอตัวคนแล้ว หรือว่าจะเป็นคนร้ายที่นามว่าเว่ยจื่อผู้นั้น
หลังบอกกล่าวให้ตงจึกลับไปได้ หลินหลันเดินวกไปวนมาอยู่ในห้องด้วยความกระวนกระวาย หยินหลิ่วเกรงว่านางจะหนาวจึงเกลี้ยกล่อม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายพักผ่อนก่อนเถอะเจ้าค่ะ! ดูท่าเอ้อร์เส้าเหยียคงยังไม่กลับมาในเร็วๆ นี้เช่นกัน”
หลินหลันโบกมือปัดๆ “เจ้าออกไปก่อนเถอะ! ข้าจะรออีกสักประเดี๋ยว”
“เช่นนั้นอย่างน้อยๆ เอ้อร์เส้าหน่ายนายก็คลุมเสื้ออีกตัวนะเจ้าคะ” หยินหลิ่วเดินไปหยิบเสื้อกั๊กผ้าฝ้ายมาให้นายหญิงสะใภ้รองคลุมทับ จากนั้นถึงถอยออกไปห้องชั้นนอก และนั่งรออยู่บริเวณประตู
หลี่หมิงอวินเพิ่งกลับมาในยามที่ท้องนภาใกล้สว่าง เมื่อพ้นประตูเข้ามาก็เห็นหยินหลิ่วกำลังชันแขนเท้าแก้มอยู่บนโต๊ะ เปลือกตาปิดสนิท เห็นชัดว่านางเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว เมื่อเดินเข้าไปดูบริเวณห้องชั้นใน หลินหลันกำลังนอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้เบาะนวมตัวยาว เสื้อกั๊กที่คลุมไว้บนเรือนร่างลื่นไหลลงสู่พื้น หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วพลางบ่นพึมพำในใจ ค่ำคืนนี้หนาวเหน็บอย่างยิ่ง มานอนอยู่ตรงนี้ขืนเป็นหวัดคงแย่กันพอดี
หลินหลันนอนหลับไม่สนิทแต่อย่างใด นางจึงตื่นขึ้นมาทันทีที่หมิงอวินอุ้ม จากนั้นเอ่ยถามอย่างัวเงีย “เจ้ากลับมาแล้วหรือ หาตัวเว่ยจื่อเจอแล้วใช่หรือไม่”
หลี่หมิงอวินวางนางลงบนเตียงนอนอย่างเบามือแล้วช่วยห่มผ้าให้นางและกล่าว “ข้าไปเปลี่ยนชุดก่อน ไว้กลับมาค่อยว่ากันอีกที”
ไม่นานนัก หมิงอวินก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เปลี่ยนไปอยู่ในชุดคลุมตัวยาวสีขาวสะอาดตา เขาขึ้นไปบนเตียงนอน ยื่นแขนข้างหนึ่งไปด้านข้างอย่างเคยชิน จากนั้นหลินหลันก็แนบอิงเข้าหาอ้อมกอดเขาอย่างรู้ใจ ช่วยเขากระชับผ้าห่ม และเตรียมพร้อมรับฟังเขาเอื้อนเอ่ย
“หาตัวเว่ยจื่อเจอแล้ว คนผู้นี้เคยประจำการอยู่ที่ค่ายกองทัพเป่ยซาน สามปีก่อนออกจากค่ายทหารไปไม่รู้ด้วยเหตุอันใด จิ้งปั๋วโหว์พบเจอสหายเก่าที่คุ้นเคยกันผู้หนึ่งในค่ายทหาร จากคำบอกเล่าของสหายเขา หลังเว่ยจื่อออกจากค่ายทหารก็ไม่รู้ว่าไปอยู่แห่งหนใด เมื่อช่วงก่อนหน้านี้ไม่นานดันกลับมาหาเขา แล้วยังนำสุราดอกไม้ที่ดื่มไปแล้วจากหอนางโลมที่เขาไปมาติดไม้ติดมือมาอีกด้วย ดูเหมือนเว่ยจื่อจะมีสหายที่เข้ากันได้ดีอยู่ในหอนางโลม เช่นนี้ถึงหลอกล่อเว่ยจื่อปรากฎตัวออกมาได้ ที่แท้หลังเกิดเรื่อง เพราะแต่ละประตูเมืองมีการควบคุมอย่างหนาแน่น ทั้งยังมีภาพเหมือนอยู่ทุกหนแห่ง เขาจึงหนีไปไหนไม่ได้ ทำได้เพียงแอบซ่อนตัวอยู่ในหอนางโลม คนของตระกูลฉินก็กำลังตามหาตัวเขาเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดก็ยังช้ากว่าคนของจิ้งปั๋วโหว์ไปหนึ่งก้าว เมื่อครู่ข้ากับจ้าวจัวอี้ไต่สวนเว่ยจื่อตลอดทั้งคืน ไอ้เด็กหนุ่มนี่ก็นับว่าหัวไวทีเดียว รู้ว่าตนเองคงหลบหลีกไม่รอดแล้ว จึงสารภาพตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้เป็นคนลักพาตัวซานเอ๋อร์ แต่มีคนให้พวกเขาคอยเฝ้าซานเอ๋อร์ไว้ คนผู้นั้นลึกลับมาก แต่เว่ยจื่อรู้ว่า คนผู้นั้นเป็นคนของสมาชิกกลุ่มนามว่าชิงเหมิง...” หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“ชิงเหมิง? พวกเขาทำอันใดหรือ” หลินหลันกล่าวด้วยความประหลาดใจ
หลี่หมิงอวินกระตุกยิ้มมุมปาก เผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา “ชิงเหมิงเป็นทหารกล้าตายกลุ่มหนึ่งที่ตระกูลฉินให้การเลี้ยงดู จิ้งปั๋วโหว์จับตาดูพวกเขามาเนิ่นนานแล้ว” หลี่หมิงอวินเพิ่งรับรู้เช่นกันว่า คนเหล่านั้นที่ต้องการสังหารเขาในป่าทึบเส้นทางเป่ยซาน ตามจริงก็เป็นคนของชิงเหมิงเช่นกัน ชิงถงฉิน นามที่ตั้งขึ้นนี้ มันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เลยสักนิด
“เช่นนั้นพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือของตระกูลฉิน” ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่หลินหลันให้ความสนใจ จะจับผู้ร้ายได้สักกี่คนก็ไม่ช่วยอะไร ประเด็นสำคัญคือต้องได้หลักฐานของผู้อยู่เบื้องหลังต่างหาก
“ในเมื่อจับตัวบุคคลนั้นได้แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหลอกล่อตระกูลฉินให้ออกมาไม่ได้ ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ! รอแม่ทัพหลินกลับมาแล้ว ฉากละครสนุกๆ ก็คงได้เริ่มโหมโรงแล้วละ” หลี่หมิงอวินเลิกคิ้ว ก้มหน้าลงมองหลินหลันและเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “พูดจบแล้ว นอนกันเถิด”
หลังแสงไฟจากเชิงเทียนดับลงแล้ว หลี่หมิงอวินที่ยุ่งวุ่นวายตลอดทั้งค่ำคืน ด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่นานนักเสียงลมหายใจกรนบางเบาก็ดังขึ้น หลินหลันกลับข่มตานอนไม่หลับ เดี๋ยวตาผู้เฒ่านั่นก็จะกลับมาแล้ว เขาจะมาก่อกวนชีวิตของนางและพี่ใหญ่หรือไม่
หลายวันถัดมา หลี่หมิงอวินนอกจากออกไปดูบ้านอยู่สองครั้งก็กลับมาหมกตัวอยู่แต่ในบ้านตลอด ระหว่างนั้นมีผู้คนมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย ทว่านอกจากหนิงซิ่งและคนตระกูลเยี่ย หลี่หมิงอวินล้วนอาศัยข้ออ้างที่ว่ากำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ปฏิเสธการพบปะผู้คนทั้งหมด แต่ละวันจึงผ่านพ้นไปอย่างผ่อนคลาย
และในช่วงหลายวันนี้เอง ฉินอู่หยางก็ออกเรือนแล้วเช่นกัน แม้กล่าวว่าการแต่งงานครั้งนี้ดูกะทันหันเล็กน้อย แต่กลับจัดได้อย่างเอิกเกริกยิ่งนัก ได้ยินว่าลำพังฝ่ายเจ้าบ่าวก็มีจำนวนหลายร้อยคน ใช้แปดสิบคนแบกหามสินสอด คาราวานยาวเหยียดจากทิศตะวันออกสุดทิศตะวันตกของถนนจู่เช่ว์ซึ่งเป็นถนนสายหลัก จวนอ๋องเจิ้นหนานต้อนรับแขกเหรื่อทั้งทหารและตระกูลผู้สูงศักดิ์ จัดโต๊ะงานเลี้ยงฉลองมากกว่าร้อยโต๊ะ บุคคลที่มีหน้ามีตาในเมืองหลวงล้วนเข้าร่วมด้วย แม้แต่ฮ่องเต้ก็ส่งมอบของขวัญชั้นดีจำนวนมากไปให้ด้วยเช่นกัน และแต่งตั้งฉินอู่หยางเป็นผิงหยางจวิ้นจู่ขั้นหนึ่ง ผู้คนต่างกล่าวว่า ธรรมเนียมนี้ใช้ได้กับองค์หญิงโฉมงามที่ออกเรือนเท่านั้น
ดูจากการแต่งงานครั้งนี้ ตระกูลฉินยังคงรุ่งโรจน์และได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ไม่เสื่อมคลาย ภาพลักษณ์ภายนอกจะเป็นเช่นไรก็แล้วแต่ หลินหลันรู้สึกเพียงแค่เห็นใจอู่หยางยิ่งนัก สตรีที่อุปนิสัยดีคนหนึ่งต้องตกอยู่ในการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางอำนาจการเมืองการปกครอง เมื่อเปรียบเทียบกับอู่หยาง หลินหลันรู้สึกว่าตนเองช่างโชดีเสียเหลือเกินที่ได้แต่งงานกับผู้ที่ตนเองรัก ทั้งยังเป็นคนที่รักตนเอง การดำรงชีวิตก็ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องคอยกังวลกับการทำมาหาเลี้ยงชีพ แม้ว่าตอนแรกจะเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายเพราะแม่สามีผู้ร้ายกาจและพ่อสามีที่ไร้ยางอาย แต่ปัญหาเหล่านั้นล้วนขจัดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่มีผู้ใดคอยกดดัน แต่ละเรื่องตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ชีวิตคู่เช่นนี้สิถึงจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบ และหาได้ยากยิ่ง
เพียงชั่วพริบตา วันเวลาล่วงเลยไปสิบกว่าวันแล้ว พิธีแต่งงานครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างตระกูลฉินและจวนของอ๋องเจิ้นหนานสิ้นสุดลงแล้ว คาราวานกองทัพของแม่ทัพหลินเดินทางมาถึงเมืองหลวง พร้อมกับนำตัวผู้ถูกกุมขังกลับมาด้วย ซึ่งรวมไปถึงฉินเฉิงว่างด้วยนั่นเอง
หลี่หมิงอวินกลับไปทำงานอีกครั้ง ฮ่องเต้ชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ของหลี่หมิงอวินเป็นอันดับแรก และประทานรางวัลใหญ่โตให้โดยการเลื่อนขั้นไปสี่ระดับต่อเนื่อง จากทูตพิเศษขั้นห้า กลายเป็นขุนนางซื่อหลางฝ่ายซ้ายขั้นสาม ความหมายส่วนใหญ่คือต้องการให้หลี่หมิงอวินรับหน้าที่สืบทอดต่อหลี่จิ้งเสียนนั่นเอง
หลินจื้อย่วนประจำการปกปักษ์ชายแดนมาเป็นเวลายาวนาน คอยป้องกันชายแดนให้สงบสุขปลอดภัยด้วยการสละหยาดเหงื่อแรงกาย ครั้งนี้จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนพลติ้งกั๋วขั้นสอง
ในส่วนผู้บัญชาการกองทัพค่ายเป่ยซาน ได้ทำการคัดเลือกบุคคลจากกองทัพมาจำนวนห้านาย ท้ายที่สุดฮ่องเต้มีพระบัญชาเลือกหนิงซิ่ง และคนอื่นที่เหลืออีกสี่คนก็ให้ดำรงตำแหน่งในส่วนที่จัดวางไว้ บ้างก็ได้รับการเลื่อนขั้นและโยกย้าย ไม่ใช่ตกไปอยู่ใต้บัญชาองค์ชายสี่ ก็เป็นการตกไปอยู่ในฝ่ายงานองครักษ์ประจำเมืองหลวงซึ่งมีจิ้งปั๋วโหว์เป็นผู้บัญชาการ
หลังประทานรางวัลเป็นที่เรียบร้อย ฮ่องเต้กลับไม่เอ่ยถึงเรื่องราวที่ฉินเฉิงว่างก่อขึ้นแต่อย่างใด ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในท้องพระโรงต่างทยอยเอ่ยถึงการตรวจสอบและลงโทษสถานหนัก แต่ล้วนถูกฮ่องเต้สยบลงไว้ จึงนำมาซึ่งเสียงบ่นโอดครวญทั่วทั้งเบื้องบนเบื้องล่างในราชสำนัก และยิ่งนำมาซึ่งคำวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบต่อตระกูลฉิน นั่นทำให้สีหน้าฉินเฉิงจ้งหม่นหมองประดุจก้นหม้อไหม้ แต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างไม่สงบสุข
สิ่งที่ฮ่องเต้นึกคิดอยู่ในใจคืออะไร ผู้คนจำนวนมากไม่อาจคาดเดาได้ทะลุปรุโปร่ง ทว่าคนอย่างหลี่หมิงอวิน จิ้งปั๋วโหว์ เป็นต้น กลับไม่เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด ฮ่องเต้ไม่ใช่ไม่เคลื่อนไหว เพียงแต่ทุกอย่างต้องรอคอยโอกาสก็เท่านั้น
หลี่หมิงอวินได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญเกินกว่าการคาดการณ์ของเขา เรื่องนี้ฮ่องเต้ไม่เคยหลุดปากออกมาก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย ส่งผลให้ความคิดที่หลี่หมิงอวินต้องการขอไปรับหน้าที่นอกตัวเมืองหลวงกลายเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ไปในทันที สิ่งจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตของสามัญชนทั่วไปแต่ละครอบครัว ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงินๆ ทองๆ นับประสาอันใดกับกรมคลังผู้ดูแลจัดการเรื่องเงินทอง ข้าวปลาอาหาร และการจัดเก็บภาษีของประเทศชาติบ้านเมือง หลายปีก่อนหลี่หมิงอวินเคยช่วยบิดาจัดการราชกิจของฝ่ายครัวเรือน ซึ่งจะว่าไปเขาก็ทำทุกอย่างได้อย่างราบรื่น ทว่าปัญหาคือ แม้จะจัดการภาระงานได้อย่างดี ทว่าเขากลับรู้สึกหนักอกหนักใจ เพราะฝ่ายครัวเรือนล้วนเป็นคนขององค์รัชทายาทจำนวนไม่น้อย การที่ฮ่องเต้จัดให้หลี่หมิงอวินไปอยู่ฝ่ายครัวเรือน กล่าวได้ว่าเป็นการเข้าปฏิบัติงานที่ต้องคิดหนักทีเดียว
หลังหลินจื้อย่วนกลับถึงบ้านก็ต้องฟังนางเฝิงบ่นยกใหญ่ เริ่มจากเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลที่ครอบครัวป้าใหญ่ก่อขึ้นในจวน ต่อด้วยการที่นางนำซานเอ๋อร์ส่งไปยังบ้านหลินหลัน ด้วยเดิมทีคิดจะให้พวกเขาสองพี่น้องได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ความสัมพันธ์จะได้ก้าวหน้าไปอีกขึ้น ผลปรากฏว่าซานเอ๋อร์กลับถูกคนของตระกูลฉินลักพาตัวไป สองเรื่องราวที่ได้รับฟังส่งผลให้หลินจื้อย่วนเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ กัดฟันแน่นด้วยความเคียดแค้น แล้วยกเท้าถีบเก้าอี้ไม้เนื้อแดงตัวหนึ่งจนพัง เล่นเสียนางเฝิงสีหน้าตระหนกตกใจ ทางด้านซานเอ๋อร์ก็ถลาเข้าสู่อ้อมกอดมารดาด้วยสีหน้าหวาดกลัวพลางจ้องมองบิดาผู้แปลกหน้าคนนี้
หลินต้าฟางหน้าชื่นตาบานออกหน้าออกตา เมื่อได้ยินว่าน้องชายกลับมาแล้ว นางพร้อมสามีและบุตรชายแห่กันมาอย่างเร่งรีบหวังเจอะเจอหน้า ระยะนี้พวกเขาถูกนางเฝิงตั้งตัวบทกฎเกณฑ์เคร่งครัด ออกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น จะทำอะไรก็ทำไม่ได้เช่นกัน เรื่องจะหาผลประโยชน์ใส่ตนจึงเลิกเอ่ยถึงไปได้เลย ทำได้เพียงรอพบเจอน้องชาย แล้วค่อยฟ้องร้องกับน้องชายให้เต็มที่
เพียงแต่ครั้งนี้หลินต้าฟางคำนวณผิดพลาดไปเสียแล้ว เพราะมีคนที่ไวกว่านางไปหนึ่งก้าว ขณะที่นางเดินบุ่มบ่ามมาอย่างเร่งรีบ เป็นจังหวะเดียวกับที่หลินจื้อย่วนกำลังโกรธเลือดขึ้นหน้า
“น้องพี่ เจ้ากลับมาเสียที พี่คะนึงถึงเจ้าจะแย่แล้ว…” ก่อนพ้นประตูเข้ามา หลินต้าฟางพยายามปรับอารมณ์ให้ดูเศร้าโศก ทันทีที่พ้นประตูเข้ามาก็ร้องห่มร้องไห้มุ่งตรงไปหาหลินจื้อย่วนเป็นอันดับแรก คิดจะแสดงฉากประทับใจเรียกน้ำตาในแบบพี่น้องผู้พรากจากกันไปยาวนานและได้กลับมาพบเจอกันเสียที แต่คาดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่เท้าเหยียบเข้าไปก็ถูกเศษเก้าอี้ที่แตกหักโดยฝีมือการถีบของหลินจื้อย่วนกระแทกขาเข้าให้ ถึงขั้นเกือบล้มคะมำ
“นี่…นี่มันเรื่องอันใดหรือ น้องพี่ นี่เจ้าเป็นอันใดไป เหตุใดเพิ่งกลับมาบ้านก็เกรี้ยวกราดเพียงนี้” หลินต้าฟางเงยหน้ามองดูสีหน้าแข็งกร้าวของน้องชายที่พร้อมระเบิดความเดือดดาลออกมา นางจึงอดตื่นตระหนกไม่ได้
หลินจื้อย่วนกำลังต้องการคิดบัญชีกับพี่สาวอยู่พอดี พี่สาวกลับเป็นฝ่ายมาหาตนเองถึงที่ หลินจื้อย่วนชำเลืองมองซานเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมอกนางเฝิง จึงเปลี่ยนสีหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย “โม่เอ๋อร์ เจ้าพาคุณชายน้อยออกไปก่อน”
โม่เอ๋อร์รีบจูงมือคุณชายน้อยซานเอ๋อร์เดินออกจากห้องโถงในทันที ซานเอ๋อร์สะบัดมือของโม่เอ๋อร์ออกทันทีที่พ้นประตูออกมา แล้วหันไปแอบมองผ่านช่องแคบระหว่างช่องประตู
โม่เอ๋อร์กล่าวด้วยเสียงกระซิบ “คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ เลิกดูได้แล้วเจ้าค่ะ ระวังจะถูกนายท่านจับได้นะเจ้าคะ”
ซานเอ๋อร์หันมองนางพร้อมทำท่าทำทางเป็นสัญญาณให้เงียบเสียงไว้ พลางกะพริบดวงตากลมโต และกล่าวด้วยรอยยิ้มระรื่น “พี่โม่เอ๋อร์ เจ้าไม่อยากรู้หรอกหรือว่าท่านพ่อข้าจะจัดการป้าใหญ่ผู้นั้นอย่างไร”
โม่เอ๋อร์ยิ้มเจื่อน เหตุใดนางจะไม่อยากล่ะ ครอบครัวป้าใหญ่ช่างไม่เอาไหนเกินไปแล้ว นางเองก็ตั้งหน้าตั้งตารอให้นายท่านกลับมาจัดการพวกเขาให้เต็มเหนี่ยวอยู่เช่นกัน
“พวกเราก็แอบดูตรงนี้ละ มิเป็นไรหรอก” ซานเอ๋อร์เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาจะยอมพลาดฉากสนุกๆ เพียงนี้ไปได้อย่างไรละ
นางเฝิงส่งสายตาให้บรรดาข้ารับใช้ จากนั้นสาวใช้สองคนก็เร่งรีบเข้ามาเก็บเศษไม้ที่แตกหักบนพื้นไปอย่างรวดเร็ว ก่อนถอยออกไปอย่างเงียบๆ
หลินจื้อย่วนไม่แม้แต่จะเอ่ยทักทายหรือเรียกให้พี่สาวพร้อมครอบครัวนั่งลง ทำเพียงชักสีหน้าเคร่งขรึม แล้วกลับไปนั่งบนตำแหน่งที่นั่งของตนเองด้วยท่าทางสง่างามผ่าเผย
“ท่านพี่ ท่านมาก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องต้องถามไถ่ท่าน” หลินจื้อย่วนเอ่ยปากอย่างเย็นชา
หลินต้าฟางรู้สึกตึงเครียดอย่างไม่ทันตั้งตัว สีหน้าของน้องชายดูไม่ค่อยปกติเท่าใดนัก! และเมื่อมองไปยังนางเฝิงที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลินต้าฟางอดใจเต้นระรัวขึ้นมาไม่ได้ หรือว่านางเฝิงพูดอะไรในแง่ร้ายเกี่ยวกับนางต่อหน้าน้องชายเสียแล้ว เห็นทีว่านางเฝิงผู้นี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านางเฉินคนก่อนหน้าผู้นั้น ล้วนเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อยเหมือนๆ กันหมด หลินต้าฟางพยายามรวบรวมความนึกคิดและส่งเสียงหัวเราะเจื่อน “น้องชายพี่ เจ้าต้องการถามไถ่อันใดก็ถามมาได้เลย”
หลินจื้อย่วนมองดูรอยยิ้มเสแสร้งบนใบหน้าพี่สาวผู้นี้และนึกไปถึงความจงเกลียดที่เฟิงเอ๋อร์และหลันเอ๋อร์มีต่อเขา ภายในใจก็รู้สึกเสมือนเปลวเพลิงที่กำลังโหมเผาไหม้อย่างหนัก เขาพยายามสะกดความโกรธเกรี้ยวที่พร้อมระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่า เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านพี่ ตอนนั้นท่านกล่าวว่านางเฉินสามแม่ลูกล้วนเสียชีวิตไปแล้ว กล่าวว่าผู้เฒ่าซุนโถวที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันเป็นผู้เห็นกับตา มันเป็นความจริงหรือ”
หลินต้าฟางตระหนกตกใจ เหตุใดอยู่ดีๆ น้องชายถึงถามประเด็นนี้ขึ้นมาหรือ นางรู้สึกหวาดกลัวในใจ แต่ยังคงพยายามฝืนยิ้มไว้บนใบหน้า “ก็ใช่น่ะสิ! เรื่องแบบนี้จะโกหกได้อย่างไร และผู้เฒ่าซุนโถวยังเป็นคนที่จัดการฝังศพพวกเขาสามแม่ลูกอีกด้วย! น่าเสียดายที่ตัวผู้เฒ่าซุนโถวเองดันลืมไปเสียแล้วว่านำศพไปฝังไว้แห่งหนใด ช่วงที่ลนลานเอาชีวิตรอดกันก็ไม่ทันมัวใส่ใจอะไรมากมายเพียงนั้นหรอกใช่หรือไม่”
นางเฝิงชำเลืองมองหลินต้าฟาง “ดูเหมือนครั้งก่อนท่านป้าใหญ่บอกข้าไว้ว่า เหล่าอู่ที่อยู่ในหมู่บ้านเป็นคนช่วยฝังศพให้นี่เจ้าคะ…”