ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่293-1หงุดหงิดใจ
หลินหลันยุ่งหัวหมุนมาเป็นเวลาสองวันหนึ่งคืน เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด จึงรีบถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว รวมไปติงฮูหยินที่ยังคิดจะตำหนิบุตรเขยสักหน่อยที่มาถึงช้าก็ถูกหลินหลันเชิญออกไปด้วยเช่นกัน เพื่อจะได้ให้พื้นที่และเวลาแด่คู่สามีภรรยาที่เพิ่งได้กลับมาพบเจอกันหลังแยกจากไปเนิ่นนาน ให้ใช้เวลาแห่งความสุขอันมีค่าเกินบรรยาย
แม่เหยารีบไปแจกจ่ายรางวัล ทั่วทั้งจวนไม่ว่าจะเบื้องบนเบื้องล่างต่างเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขสันต์
หลินหลันปิดเปลือกตา พักผ่อนหย่อนใจโดยการแช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำขนาดใหญ่ น้ำค่อนข้างร้อนพอประมาณ ก่อให้เกิดไอน้ำลอยอวลในบรรยากาศเป็นหมอกที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ แทรกซึมสู่แขนขาทั้งสี่และข้อต่อนับร้อย ให้ทุกรูขุมขนเปิดออก พยายามหายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลาย
หรูอี้เติมน้ำอุ่นพลางรายงายสถานการณ์ของคุณชายน้อยฮานเอ๋อร์ในสองวันมานี้
“ตงจึซื้อของเล่นกลับมาเป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีคนคอยเล่นเป็นเพื่อนเขาเยอะแยะเพียงนี้ ไม่เพียงแต่คุณชายน้อยฮานเอ๋อร์เล่นอย่างมีความสุข แต่ยังไม่งอแงต้องการพบภรรยาพี่ชายของเอ้อร์เส้าหน่ายนายอีกแล้วด้วยเจ้าค่ะ อ้อ! จริงสิ ภรรยาพี่ชายของเอ้อร์เส้าหน่ายนายแวะเวียนมาตลอดสองวันนี้เจ้าค่ะ นางต้องการนำตัวคุณชายน้อยฮานเอ๋อร์ไป ทว่าแม่โจวไม่ยอม จึงจับจ้องนางไว้อย่างไม่ให้เล็ดรอดสายตา กล่าวว่านี่เป็นคำสั่งของพี่ชายเอ้อร์เส้าหน่ายนาย หากต้องการพาตัวคุณชายน้อยฮานเอ๋อร์ไป พี่ชายของเอ้อร์เส้าหน่ายนายจะเป็นคนมาพาไปเองเท่านั้น ด้วยความที่นางจนปัญญา จึงทำได้เพียงยอมปล่อยเลยไปเจ้าค่ะ…”
หลินหลันส่งเสียง ‘อือ’ อย่างส่งเดช หรูอี้จึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “วันนี้ยามที่ข้าน้อยส่งภรรยาของพี่ชายเอ้อร์เส้าหน่ายนาย ดันเผอิญไปพบคุณชายใหญ่พอดี คุณชายใหญ่เดินด้วยความเร่งรีบ จึงชนนางเข้าเต็มแรง ผลปรากฏว่านางฉุดกระชากคุณชายใหญ่ไว้ และตะคอกใส่คุณชายใหญ่ว่าทำชุดใหม่ของนางสกปรก ต้องการให้คุณชายใหญ่ชดใช้ พูดจาไม่น่าฟังเอาเสียเลย ภายหลังพอนางรู้ว่าเป็นคุณชายใหญ่ถึงยอมปล่อยมือเจ้าค่ะ”
หลินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย เหยาจินฮวาผู้นี้คงไม่อาจขุดให้ขึ้นมาจากความเป็นสตรีปากตลาดได้จริงๆ หน้าตาของตระกูลหลินล้วนถูกนางทำลายไม่เหลือชิ้นดีหมดแล้ว
“เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ! ข้าขออยู่ตามลำพังสักพัก” ยามนี้หลินหลันคร้านจะฟังเรื่องราวแย่ๆ ของเหยาจินฮวา เหนื่อยมาสองวันแล้ว นางอยากพักผ่อนให้เต็มที่เท่านั้น
หรูอี้ลองทดสอบระดับความอุ่นของน้ำ จากนั้นเติมน้ำร้อนลงไปอีกสองกระบวย แล้วถึงถอยออกไป
หลี่หมิงอวินรอคอยอยู่ด้านนอกเป็นเวลาเนิ่นนานพอตัวแต่ยังไม่เห็นหลินหลันออกมา ด้วยความไม่วางใจ จึงเตรียมเข้าไปดู หลินหลันในชุดเสื้อแขนยาวคู่กางเกงขายาวสีขาวพระจันทร์กลับเดินโซชัดโซเซออกมา ดวงตากึ่งหลับกึ่งตื่น นางเดินงัวเงียไปจนถึงขอบเตียงแล้วล้มตัวลง จากนั้นดึงผ้าห่มมาห่อหุ้มแล้วหลับไปทันที
หลี่หมิงอวินมองดูนางที่เหน็ดเหนื่อยจนกลายเป็นเช่นนี้จึงย่องเข้าไปหา ช่วยนางจัดผ้าห่มให้เข้าที่เข้าทาง ตามด้วยปล่อยม่านมุ้งลงและดับแสงเทียนข้างเตียงนอน จากนั้นเดินย่องกลับไปยังห้องด้านตะวันตกอีกครั้ง เขาหรี่แสงเทียนทางด้านนี้ให้สว่างน้อยลงเล็กน้อย แล้วเขยิบเข้าไปใกล้เชิงเทียนเพื่ออ่านสาส์นราชการ
หลินหลันได้นอนหลับลึกไปเต็มที่ วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง นี่ก็คือข้อดีของการเป็นหนุ่มสาวอย่างหนึ่ง
“เอ้อร์เส้าเหยียล่ะ” หลินหลันเอ่ยถามหยินหลิ่วพลางลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้า
หยินหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าเหยียไปทางด้านต้าเส้าเหยียนั่นเจ้าค่ะ”
หลินหลันชะงักไปชั่วครู่ “เอ้อร์เส้าเหยียไม่ไปว่าราชการหรือ”
หรูอี้ถือน้ำร้อนเข้ามา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ วันนี้เป็นวันหยุดพักของเอ้อร์เส้าเหยียเจ้าค่ะ”
เอ่อ! เช่นนั้นหรอกหรือ นางลืมไปแล้วจริงๆ
แม่โจวอุ้มฮานเอ๋อร์เข้ามารับประทานมื้อเช้ากับนายหญิงสะใภ้รอง หลินหลันหยอกล้อฮานเอ๋อร์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงไปเรือนเวยอวี่
สองพี่น้องหลี่หมิงอวินและหลี่หมิงเจ๋อกำลังพูดคุยกันในห้องหนังสือ
“เรื่องพิธีศพของท่านย่าจัดการเรียบร้อยสมบูรณ์แล้ว อยู่สุสานบริเวณเดียวกับท่านปู่ ข้าเองก็ไม่ได้กลับไปหลายปีมากแล้ว กลับไปครานี้จึงได้เห็นอะไรต่อมิอะไร มันให้ความรู้สึกหลากหลายจริงๆ ที่บ้านเกิดตระกูลหลี่ พวกเราถือว่าเป็นครอบครัวใหญ่โตและมั่งมีไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน โดยเฉพาะครอบครัวท่านลุงใหญ่ ท่านลุงใหญ่มีกิจการในครอบครัวนับว่าไม่น้อยจริงๆ ลำพังที่ดินทำเลงามก็มีสามสิบกว่าไร่ แล้วยังมีห้องแถวร้านค้าอีกแปดเก้าห้อง ลูกพี่ลูกน้องทั้งสามคนต่างก็มีครอบครัวกันหมดแล้ว ทั้งยังมีลูกมีหลานมากมาย หากเปรียบเทียบกัน ครอบครัวของท่านอาสามชวนปวดใจยิ่งนัก รวมๆ แล้วมีพื้นที่ทำไร่ทำสวนประมาณสิบไร่เห็นจะได้ อีกทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบริเวณภูเขา บ้านที่อาศัยอยู่ก็เป็นหลังเก่าที่สุดในบ้านใหญ่ของตระกูลหลี่” ในคำพูดของหลี่หมิงเจ๋อเผยให้เห็นถึงความรู้สึกไม่ยุติธรรม
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะถือถ้วยน้ำชา “เหตุใดถึงแตกต่างกันได้เพียงนี้หรือ”
หลี่หมิงเจ๋อยิ้มขมขื่น “ท่านอาสามฉลาดเจ้าเล่ห์เช่นลุงใหญ่เสียที่ไหนกัน ลุงใหญ่เป็นผู้นำครอบครัว พอเขาขึ้นรับหน้าที่ก็จัดการแบ่งสันปันส่วนพื้นที่และทรัพย์สินให้แต่ละคนเสร็จสรรพ ท่านอาสามก็มีหมิงจู้และหมิงต้งบุตรชายสองคน หมิงจู้ยังไม่แต่งงานมีครอบครัว หมิงต้งเพิ่งมีบุตรชายเพียงคนเดียว พอแบ่งสันปันส่วนกันเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องเสียเปรียบเป็นธรรมดา หัวหน้าครอบครัวอื่นๆ ล้วนได้รับผลประโยชน์ของลุงใหญ่ จึงพากันคล้อยตามความประสงค์ของลุงใหญ่ อาสามสุขภาพร่างกายก็ไม่ค่อยดี ไม่มีกะจิตกะใจมาแก่งแย่ง เรื่องราวก็เลยกลายเป็นเช่นนี้ เดิมทีตามความประสงค์ของน้องสะใภ้คือที่ดินส่วนที่เป็นของพวกเรายี่สิบไร่นั่นล้วนมอบให้น้องหมิงต้งเป็นผู้จัดการดูแล ทว่าลุงใหญ่สร้างความลำบากใจให้ต่างๆ นานา หากมิใช่ข้ามอบที่ดินให้เขา ข้าว่าจนถึงปีหน้าท่านย่าก็คงยังไม่ได้ลงสู่หลุมฝังไปสู่สุคติ จึงทำได้เพียงตอบตกลงเขาไป”
“เห็นทีว่านิสัยละโมบโลภมาของท่านพ่อพวกเราคงได้จากลุงใหญ่มาสินะ” หลี่หมิงอวินกระตุกยิ้มมุมปากกล่าวถากถาง
หลี่หมิงเจ๋อส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “ข้าลองสังเกตดู บรรดาลูกพี่ลูกน้องฝั่งครอบครัวลุงใหญ่ก็เป็นเอามาก รู้ว่าท่านย่านำทรัพย์สมบัติมอบให้น้องสะใภ้ ก็พากันชักสีหน้าบึ้งตึงเย็นชาใส่ข้าไปด้วย ข้ากลับไปครั้งนี้ล้วนพักอยู่ที่บ้านของท่านอาสาม”
เมื่อยามที่ผู้เป็นย่าเสียชีวิต เรื่องที่ว่าลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ก่อปัญหาวุ่นวายในตระกูลหลี่เหล่านั้น หลี่หมิงอวินรับรู้มาบ้างแล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อครอบครัวลุงใหญ่ หากบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลหลี่ล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผู้เป็นย่ามอบอะไรไว้ สั่งการอะไรไว้ เขาจะไม่สนใจไยดีทั้งนั้น แต่ดีที่ยังมีอาสามที่เป็นคนมีเหตุมีผลคนหนึ่งอยู่
“ข้าจำได้ว่าน้องหมิงจู้เหมือนจะสอบผ่านระดับมณฑลแล้ว”
หลี่หมิงเจ๋อพยักหน้า “ใช่แล้ว! หมิงรุ่ยของครอบครัวลุงใหญ่ก็ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ข้าได้ยินมาว่าหมิงรุ่ยเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ทางไม่ดีในหมู่บ้านว่า พอสอบผ่านระดับมณฑลเข้าหน่อยก็หยิ่งยโส ผิดกับหมิงจู้ ครั้งก่อนมาเมืองหลวง เขาไม่เอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ ข้ากลับไปบ้านเกิดถึงได้รู้”
“เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ทางไม่ดี? เช่นนั้นก็ช่างเถอะ คนประเภทนี้ต่อให้ช่วยประคองขึ้นมา ภายภาคหน้าก็มีแต่จะสร้างมลทินให้ตระกูลหลี่ขายหน้า ส่วนน้องหมิงจู้ ให้เขาตั้งใจศึกษาเล่าเรียน หากช่วยได้ก็จะช่วยเต็มที่” หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วกล่าวออกมา
“ข้าก็คิดอย่างนี้เช่นกัน ครอบครัวอาสามอบรมสั่งสอนได้ไม่เลวทีเดียว หมิงต้งและหมิงจู้ต่างเอาการเอางานอย่างยิ่ง และไม่วางตนโดดเด่นหยิ่งผยองเลยสักนิด” หลี่หมิงเจ๋อพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
หลี่หมิงอวินจิบน้ำชาอย่างใจเย็น เอ่ยถามเรื่อยเปื่อย “ท่านแม่เจ้าอยู่ที่บ้านเกิดเป็นเช่นไรบ้างหรือ”
ไม่ใช่ว่าหลี่หมิงอวินอยากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ และไม่ใช่ว่าเขาเป็นห่วงเป็นใยนางฮานแต่อย่างใด เขาเพียงหวังว่าพี่ชายจะไม่ผูกพันกับนางฮานมากจนเกินไป เพื่อที่เขาจะได้ไม่ใจอ่อนคล้อยตามนางฮานไปอีก
เมื่อกล่าวถึงนางฮาน สีหน้าของหลี่หมิงเจ๋อหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าไปเยี่ยมนางมาครั้งหนึ่ง นางอยากมาปักธูปให้ท่านย่า ทว่าลุงใหญ่ไม่ยินยอม ข้าก็เลยไม่ให้นางมา น้องรอง พี่พอรู้ประมาณการอยู่ในใจ ขอเพียงนางไม่อดยากปากแห้งและเป็นกังวลก็พอ ถึงอย่างไรนางก็เลี้ยงดูข้ามายี่สิบกว่าปี”
หลี่หมิงอวินอมยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้เอื้อนเอ่ยใดๆ โต้ตอบ พี่ใหญ่รู้จักประมาณการก็ดีแล้ว แม่น้ำ ขุนเขานั้นเปลี่ยนแปลงง่าย ทว่านิสัยเดิมแท้นั้นเปลี่ยนแปลงยาก เขาไม่มีทางยอมให้นางฮานหวนกลับมาครอบครัวหลี่อีกเป็นอันขาด มิเช่นนั้นคงเป็นหายนะแห่งตระกูลหลี่
“น้องรอง เมื่อวานข้าเห็นพี่สะใภ้ของน้องสะใภ้ สตรีผู้นี้ ช่างดู…” หลี่หมิงเจ๋อนึกถึงท่าทางต่ำทรามของเหยาจินฮวานั่นก็รู้สึกรังเกียจ
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “สตรีผู้นี้ ท่านมิต้องสนใจนางหรอก เมื่อยามที่หลินหลันอยู่บ้านเกิดถูกนางสร้างความทุกข์ยากลำบากให้ไม่น้อย”
หลี่หมิงเจ๋อเป็นอันเข้าใจได้ทันที “ข้าก็ว่าแล้ว นางดูไม่ใช่คนดีอะไร”
ตงจึวิ่งมาบอกกล่าว “ต้าเส้าเหยีย เอ้อร์เส้าเหยียขอรับ คุณชายเฉินและเฉินฮูหยินมาแสดงความยินดีขอรับ”
หลี่หมิงอวินตกตะลึง แล้วกล่าวด้วยความดีใจ “จื่ออวี้กลับมาแล้วหรือ”
ตงจึพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “ยามนี้กำลังคอยอยู่ที่โถงรับแขกส่วนหน้าขอรับ!”
หลี่หมิงอวินรีบหันไปชักชวนหมิงเจ๋อทันที “พี่ใหญ่ ไปกันเถอะ ไปเจอะเจอจื่ออวี้สักหน่อย”
เฉินจื่ออวี้ดื่มน้ำชาอยู่ก็ได้ยินเสียของหลี่หมิงอวิน “จื่ออวี้ จื่ออวี้…”
เฉินจื้ออวี้รีบวางถ้วยน้ำชาลง ยามที่เพิ่งลุกขึ้นยืน หลี่หมิงอวินก็สาวเท้ายาวเดินเข้ามาแล้ว ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มเบิกบาน หลี่หมิงอวินกำหมัดทุบลงไปที่หัวไหล่ของจื่ออวี้อย่างเบามือหนึ่งที “ไอ้หนุ่มน้อย ไปเกาลี่มาดูล่ำสำขึ้นไม่น้อยเชียวนะ! อยู่ที่นั่นคงสุขสบายน่าดูเลยสิ! บอกมาตามจริง ไปติดใจสตรีงามที่เกาลี่มาบ้างหรือไม่”
เฉินจื่ออวี้กุมบ่า แสดงท่าทางเจ็บปวดเกินจริงและสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนบ่นโอดครวญ “เจ้าก็เบามือหน่อยไม่ได้หรือ ไปอยู่ที่เขตชายแดนตอนเหนือมาไม่เท่าไรก็ได้ทักษะพวกนี้กลับมาเช่นนั้นหรือ เมื่อวานข้าเพิ่งกลับมา วันนี้ก็เลยมาเยี่ยมเยียนท่าน ท่านก็ต้อนรับข้าอย่างนี้น่ะหรือ”
หลี่หมิงอวินหัวเราะร่า “เจ้าพูดถึงอีกแล้ว ตอนอยู่ในกองทัพได้เรียนรู้กระบวนท่าฝีไม้ลายมือกับหนิงซิ่งมานิดหน่อย กำลังคันมืออยู่พอดีเชียว!”
เฉินจื่ออวี้ชำเลืองมองเขาอย่างดูหมิ่น “เหตุใดท่านถึงไม่เรียนรู้สิ่งดีๆ มาบ้าง! เมื่อก่อนเอาแต่พูดอยู่เสมอว่าหนิงซิ่งมีแต่พละกำลังไม่มีสมองไม่มิใช่หรือ แต่แล้วท่านยังไปเรียนรู้จากเขาอีก”
หลี่หมิงอวินเบิกตาโตใส่เขา “คำพูดนี้เป็นเจ้าที่พูดต่างหากล่ะ ข้าไม่เคยพูด อย่ามาใส่ร้ายป้ายสีข้าเชียวนะ”
เฉินจื่ออวี้กลอกตามองบนใส่เขาพลางบ่นอุบอิบ “ความจำท่านนี่มันช่างดีจริงๆ” เมื่อชำเลืองไปเห็นหลี่หมิงเจ๋อที่อยู่ด้านหลังหลี่หมิงอวิน เฉินจื่ออวี้ถึงได้นึกจุดมุ่งมายประการที่สองของการมาครั้งนี้ขึ้นมาได้ เขารีบฉีกยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปคารวะให้หลี่หมิงเจ๋อ “ท่านพี่หลี่ น้องเล็กขอแสดงความยินดีกับท่านด้วยขอรับ ยินดีต่อพี่ใหญ่สำหรับการถือกำเนิดของบุตรชายนะขอรับ!”
หลี่หมิงเจ๋อยกสองมือขึ้นคารวะกลับคืนขณะเผยรอยยิ้มเบิกบาน “คุณชายเฉินเกรงใจกันไปแล้ว เอาเป็นว่า น้องรอง เจ้าพูดคุยกับคุณชายเฉินไปก่อนแล้วกัน ข้าจะไปให้คนจัดหาสุราอาหารมาให้ อีกประเดี๋ยวทุกคนจะได้ดื่มกันสักหน่อย”
เฉินจื่ออวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “สุรามงคลนี้เป็นอะไรที่จะตกหล่นไปมิได้จริงๆ ขอรับ”
หลี่หมิงอวินรู้สึกคึกคักอย่างยิ่ง “วันนี้วันหยุดพักของข้าพอดี ก็ดื่มเป็นเพื่อนเจ้าหน่อยแล้วกัน พวกเราพี่น้องไม่ได้สังสรรค์กันมานานมากแล้วด้วย”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้หนิงซิ่งหนุ่มน้อยนี่ว่างงานหรือไม่…” เฉินจื้ออวี้เอียงศีรษะขณะพึมพำกับตนเอง
“ไม่ว่าเขาว่างงานหรือไม่ หากรู้ว่าเจ้าและข้าจะดื่มสุรากันที่นี่ ต่อให้มีเรื่องราวใหญ่โตเพียงใด เจ้าหนุ่มนั่นก็ต้องรีบมาอย่างแน่นอน” หลี่หมิงอวินหันไปเรียกตงจึ “ตงจึ เจ้าไปค่ายเป่ยซานแล้วเรียนเชิญแม่ทัพหนิงมาที บอกไปว่าสามขาดหนึ่ง”
“พวกเจ้าค่อยๆ คุยกันไปก่อนแล้วกัน” หลี่หมิงเจ๋อยกสองมือขึ้นคารวะ ขอปลีกตัวเดินจากมาก่อน