ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่295ความทุกข์ของหลินเฟิง
“นี่! เจ้าช่วยมีเหตุมีผลหน่อยได้หรือไม่ ข้าเพียงแค่ไปบอกกล่าวพวกเขาว่า พวกเรามีบ้านหลังใหม่แล้ว เจ้ากับท่านพ่อเจ้าผิดใจกัน ทว่าเจ้ายังคงแซ่หลินอยู่ดี ฮานเอ๋อร์ของพวกเราก็ยังคงเป็นหลานชายของตระกูลหลิน ตัวเจ้าเองไม่ยอมรับเขาเป็นบิดา แต่ถึงอย่างไรจะห้ามให้เขาไม่เจอหลานๆ คงมิได้กระมัง!” เหยาจินฮวาโต้เถียงคอเป็นเอ็น
หลินเฟิงยิ้มออกมาแม้จะเดือดดาลถึงขีดสุด “เหยาจินฮวา เห็นทีว่าในใจเจ้าความร่ำรวยสูงส่งมันสำคัญเสียยิ่งกว่าข้าสินะ”
เหยาจินฮวายังคงกล่าวอย่างไม่แยแส “เรื่องเล็กแค่นี้ มันสมควรให้เจ้าเอะอะโวยวายด้วยหรือ ข้ามิได้กล่าวว่ายอมรับพวกเขาเสียหน่อย”
หลินเฟิงนิ่งเงียบด้วยความรู้สึกหมดคำบรรยาย จากนั้นสาวเท้าเดินจากไป ทว่าเหยาจินฮวารีบเข้าไปฉุดรั้งเขาไว้ “เจ้าจะไปไหนหรือ”
หลินเฟิงไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆ “กลับค่ายทหาร”
“ไหนๆ ก็มาแล้วจะกลับไปทำไมล่ะ เราสามีภรรยาไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งสองปีแล้ว พอเจอหน้ากันเจ้าก็เอาแต่ทะเลาะกับข้า เมื่อก่อนเจ้ามิได้เป็นเช่นนี้ ข้ารู้ว่าเจ้ารังเกียจข้าแล้ว รังเกียจที่ข้าหน้าตาไม่สะสวย รังเกียจที่ภูมิหลังข้าต้อยต่ำ รังเกียจอะไรต่อมิไรที่เกี่ยวข้องกับข้า โดยสรุปแล้วข้าในสายตาเจ้า ตอนนี้คงเป็นสิ่งไร้ค่าแล้วสินะ ก็ใช่สิ! ยามนี้เจ้าได้เป็นข้าหลวงผู้หนึ่งแล้ว ทั้งยังมีน้องเขยที่เป็นถึงขุนนางระดับสูง แล้วยังมีบิดาที่เป็นแม่ทัพใหญ่ เจ้าแต่งงานกับสตรีเยาว์วัยที่เกิดจากตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์ได้…หากเจ้ารังเกียจข้า เจ้าก็พูดมาตามตรงสิ…ข้าเหยาจินฮวาผู้นี้ไร้ความรู้ไร้ปัญญา และไม่มีความสามารถดังเช่นน้องสาวเจ้า แต่อย่างไรข้าก็ยังมีจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรี เจ้าบอกมาได้เลย ขอเพียงเจ้าเอ่ยปากออกมา ข้า…ข้าก็จะพาฮานเอ๋อร์ไป จะไม่อยู่ขัดหูขัดตาเจ้าอีก…” ยิ่งเหยาจินฮวาเอื้อนเอ่ยยิ่งเศร้าเสียใจ จึงยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วร้องห่มร้องไห้
ได้ยินนางพูดอย่างเศร้าโศก หลินหลันจึงอดใจอ่อนไม่ได้ แม้เหยาจินฮวากระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องเป็นส่วนมาก แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน หลินเฟิงถอนถอนหายใจอย่างเงียบๆ ก่อนยื่นมือไปจับบ่าของเหยาจินฮวา และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “จินฮวา ข้ามิได้รังเกียจเจ้า เจ้าก็รู้ว่าข้ามิใช่คนเช่นนั้น ขอเพียงเจ้าไม่เอ่ยถึงเรื่องการยอมรับบิดาขึ้นมาอีก ไม่ไปจวนแม่ทัพอีก และไม่ไปมาหาสู่กับพวกเขา ระหว่างเราก็ยังคงเสมือนเมื่อก่อน ใช้ชีวิตกันไปอย่างสงบสุข ได้หรือไม่”
เหยาจินฮวากระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของหลินเฟิงและสะอึกสะอื้นเบาๆ “ข้าล้วนเชื่อฟังเจ้าก็เป็นอันสิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ หลินเฟิง อย่าเอาแต่ดุใส่ข้าถึงเพียงนี้เลย ข้ากลัวมากจริงๆ กลัวว่าเจ้าจะไม่ต้องการข้าแล้ว หากเจ้าไม่ต้องการข้าแล้วจริงๆ ข้าก็จะอุ้มฮานเอ๋อร์ไปกระโดดแม่น้ำด้วยกันเสียเลย…”
หลินเฟิงใจหายวูบ ตำหนินางเบาๆ “เจ้าพูดจาไร้สาระอะไรน่ะ! ข้าพูดว่าไม่ต้องการเมื่อไรหรือ”
เหยาจินฮวากระบิดกระบวน แสดงท่าทีออดอ้อน และเงยหน้าเอ่ยถามเขา “เช่นนั้นคืนนี้เจ้ายังจะไปหรือไม่”
“ไม่ไปแล้ว รีบไปล้างหน้าล้างตาเถอะ ดูเจ้าร้องไห้อย่างกับลูกแมวไปได้ น่าเกลียดจะตายชัก” หลินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เหยาจินฮวามุ่ยปากแล้วทุบกำปั้นลงไปที่เขาหนึ่งที “เจ้ายังพูดอยู่หยกๆ ว่าไม่รังเกียจข้า แต่แล้วเจ้าก็ว่าข้าน่าเกลียดเสียแล้ว”
หลินเฟิงเผยรอยยิ้มเจื่อน “ยามร้องไห้มีใครเขาดูดีกันหรือ”
เหยาจินฮวาชำเลืองมองเขา “เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยไปตักน้ำมาให้ข้าสิ!”
หลินเฟิงหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นถือเหยือกน้ำไปตักน้ำ ระหว่างนั้นเหยาจินฮวารีบคว้าตั๋วเงินออกมาจากอ้อมอกแล้วหยัดไว้ใต้หมอน เมื่อครุ่นคิดดูก็รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเท่าใด จึงหยิบออกมาแล้วหยัดไว้ใต้ฟูกที่นอน
“จินฮวา น้ำร้อนมาแล้ว เพิ่งเปิดประตูออกไปก็เจอเด็กบริการในโรงเตี๊ยมมาส่งน้ำร้อนพอดี” ในขณะนี้เอง หลินเฟิงผลักประบานประตูเข้ามา
เหยาจินฮวาตกอกตกใจจนมือสั่น ตั๋วเงินหนึ่งใบจึงร่วงลงสู่พื้น
หลินเฟิงสังเกตเห็นท่าทางลนลานตื่นตูมของเหยาจินฮวาก็ประหลาดใจ เมื่อมองไปยังกระดาษมีลวดลายที่อยู่บนพื้น สีหน้าของหลินเฟิงยิ่งเคร่งขรึมขึ้นทันที “นี่คืออะไรหรือ”
เหยาจินฮวารีบเก็บขึ้นมากำไว้ในฝ่ามือ กล่าวอ้ำอึ้ง “มะ ไม่มีอันใด…”
หลินเฟิงวางเหยือกน้ำลง สาวฝีเท้ายาวเดินขึ้นไปเบื้องหน้า และยื่นมือออกไป “เอามาให้ข้าดู”
เหยาจินฮวาบ่นอุบอิบ “มี…มีอันใดน่าดูเสียที่ไหนกัน”
“เอามา!” หลินเฟิงตะคอกด้วยเสียงเคร่งขรึม
เหยาจินฮวาสะดุ้งเฮือก ถอยหลังไปสองก้าว นำตั๋วเงินซ่อนไว้ด้านหลัง
หลินเฟิงใช้เพียงมือเดียวพลิกตัวของนาง แล้วคว้ามือของนางไว้ ต้องการคลี่นิ้วมือของนางแบออก
“ไอหยา…เจ้าทำอันใดของเจ้า เบาหน่อยๆ นิ้วมือข้าจะหักอยู่แล้ว…” เหยาจินฮวาร้องโอดโอย
หลินเฟิงแย่งกระดาษดังกล่าวออกมาจากมือของนาง เมื่อมองดูถึงพบว่าเป็นตั๋วเงินมูลค่าหนึ่งพันตำลึงเงิน ทันใดนั้นใบหน้าของเขาบึ้งตึง มือข้างหนึ่งผลักนางออก แล้วหันไปพลิกหมอนและฟูกที่นอน จึงได้เห็นตั๋วเงินอีกหลายใบอยู่ใต้ฟูกที่นอน เขาหยิบขึ้นมาคำนวณ รวมๆ แล้วเป็นเงินมากถึงหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน
หลินเฟิงถือตั๋วเงินฟ่อนนั้น เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เอามาจากไหน”
เหยาจินฮวากล่าวด้วยความร้อนรนใจ “หลินเฟิง เจ้าฟังข้าอธิบายนะ! ข้ามิได้ขอเงินท่านพ่อสามีจริงๆ เป็นพ่อสามีเองที่ให้มา ข้าปฏิเสธมิได้ จึงทำได้เพียงรับเอาไว้ และคิดอยู่ว่าพรุ่งนี้ค่อยนำไปคืนเขา…”
“เหยาจินฮวา เจ้ายังคิดจะโกหกข้าอีกหรือ” หลินเฟิงออกแรงผลักนาง จากนั้นพุ่งตัวออกไปจากห้องประดุจสายลม
เหยาจินฮวาเหม่อมองไปยังประตูห้องที่เปิดกว้างอยู่ ผ่านไปเนิ่นนานพอตัวถึงได้ทรุดลงบนพื้นแล้วร้องไห้โฮออกมา “นี่ข้าทำเวรทำกรรมอันใดไว้ ถึงได้พบเจอคนที่โง่เขลาไร้หัวสมองได้เพียงนี้…”
หลินเฟิงออกไปจากโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว เขากระโจนขึ้นหลังม้าแล้วมุ่งหน้าไปจวนแม่ทัพ สายลมปะทะข้างใบหู ความโกรธเกรี้ยวกำลังเผาไหม้อยู่ภายในจิตใจ หากคืนนี้เขาไม่รู้ทันลูกไม้ของเหยาจินฮวา เขาก็จะรับน้ำใจของตาเฒ่านั่นไว้อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วนี่จะให้เขาทำใจได้อย่างไร
ในจวนแม่ทัพ นางเฝิงกำลังเย็บปักถักร้อยด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลินจื้อย่วนพลิกอ่านตำราอยู่บนเตียงเตา นางเฝิงเห็นเขาตั้งใจอ่านอย่างเป็นจริงเป็นจัง จึงอดกลั้นคำพูดที่อึดอัดอย่างยิ่งเอาไว้อีกครั้ง
หลินจื้อย่วนส่งเสียงหัวเราะบางเบา “มีอะไรก็พูดมาเถอะ! อดกลั้นไว้คงรู้สึกแย่ยิ่ง”
นางเฝิงวางเข็มและด้ายลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านพี่ เหตุใดท่านถึงเป็นฝ่ายเสนอตัวให้เงินเหยาจินฮวาไปมากมายเพียงนั้นหรือเจ้าคะ”
หลินจื้อย่วนชำเลืองตามองนาง กล่าวอย่างผ่อนคลาย “ทำไมหรือ เจ้าเสียดายหรือ”
นางเฝิงกล่าว “ท่านพี่ก็ดูถูกน้องเกินไปแล้วนะเจ้าคะ แม้ครอบครัวเราไม่ถึงกับร่ำรวยมหาศาล ต่อให้หยิบยื่นให้หนึ่งหมื่นแปดพันตำลึงเงิน ก็ยังพอรับได้เจ้าค่ะ ตัวน้องมิได้เสียดายเงิน หากท่านปรับความเข้าใจกับหลินเฟิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อให้ท่านจะให้สักเท่าไร ตัวน้องก็ไม่ขัดข้อง ให้น้อยไป น้องยังจะไม่พึงพอใจอีกด้วย! แต่ปัญหาคือเหยาจินฮวาแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามาขอเงินโดยปิดบังหลินเฟิงและหลินหลันอยู่ หนึ่งหมื่นตำลึงเงินนี้ หากหลินเฟิงรับรู้ในภายหลัง ไม่รู้เลยว่าจะคิดอย่างไรบ้าง”
หลินจื้อย่วนไม่คิดเช่นนั้น จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ภรรยาเขามาขอถึงที่แล้วแท้ๆ ข้าจะมิให้ได้ด้วยหรือ ถึงอย่างไรในอนาคตข้างหน้า ของเหล่านี้ข้าก็เอาไว้ให้บรรดาลูกๆ ทั้งนั้น”
“จะพูดอย่างนี้ก็มิได้นะเจ้าคะ ท่านพี่ประสงค์ดีก็จริง แต่เกรงว่าคนเขาจะไม่ยอมรับน้ำใจนี้ แล้วกลับกล่าวตำหนิท่านพี่เอาได้” นางเฝิงกล่าว
“ข้าก็ไม่ได้คาดหวังให้เฟิงเอ๋อร์ซาบซึ้งในน้ำใจที่ให้อยู่แล้ว ที่ให้เขามันเป็นสิ่งพึงกระทำ หลันเอ๋อร์มอบบ้านให้พี่ชายเขา ข้าผู้นี้ในฐานะบิดาจะช่วยเพิ่มเติมเครื่องเรือนอะไรพวกนี้ให้เขา ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใดกระมัง” หลินจื้อย่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
นางเฝิงถอนหายใจด้วยความอึดอัด “ท่านคงหวังว่าเหยาจินฮวาจะปกปิดเรื่องนี้ไว้ด้วยสินะเจ้าคะ หากหลินเฟิงรับรู้เข้า คงได้นำเงินกลับมาคืนเป็นแน่”
ยังไม่ทันขาดคำ โม่เอ๋อร์ก็ส่งเสียงรายงานจากด้านนอก “คุณชายใหญ่มาเจ้าค่ะ กำลังรออยู่ที่โถงรับแขกส่วนหน้าเจ้าค่ะ!”
หลินจื้อย่วนดีดตัวลุกนั่งตรงทันที หันไปมองหน้านางเฝิงเลิ่กลั่ก นางเฝิงเม้มริมฝีปาก “นี่มิใช่น้องเรียกมานะเจ้าคะ”
หลินจื้อย่วนรีบลงจากเตียงเตาแล้วสวมใส่รองเท้า “ข้าจะไปดูสักหน่อย” เขากล่าวขณะเปิดประตูออกไป
นางเฝิงส่ายหน้าพลางถอนหายใจ เหยาจินฮวามีความสามารถเพียงเท่านี้เองหรือ เพียงค่ำคืนเดียวก็ยังปิดบังเอาไว้ไม่ได้
หลินจื้อย่วนเดินไปยังโถงรับแขกส่วนหน้าอย่างเร่งรีบ เห็นหลินเฟิงสีหน้าเย็นชายืนอยู่ใจกลางห้องโถงราวกับเสาหลักต้นหนึ่ง หลินจื้อย่วนอดใจเต้นระรัวไม่ได้ หรือที่นางเฝิงกล่าวไว้จะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว
“เฟิงเอ๋อร์ เหตุใดถึงมาดึกดื่นเพียงนี้ มีเรื่องอันใดหรือ” หลินจื้อย่วนเผยรอยยิ้มอบอุ่นขณะเดินเข้าไป
หลินเฟิงล้วงตั๋วเงินสิบใบออกจากอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วตบมันลงบนโต๊ะน้ำชา “นี่เป็นเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน ท่านลองนับดูหน่อยแล้วกันขอรับ”
หลินจื้อย่วนเผยรอยยิ้มแข็งทื่อ ชี้นิ้วไปยังตั๋วเงินและแสร้งเอ่ยถามอย่างงุนงง “นี่มัน…”
“ข้าน้อยมิได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับท่านแม่ทัพใหญ่ มิกล้าถลุงเงินของท่านแม่ทัพใหญ่หรอกขอรับ ตั๋วเงินเหล่านี้ขอคืนให้ท่านแม่ทัพจะดีกว่าขอรับ” หลินเฟิงเดินจากไปทันทีที่กล่าวจบ
หลินจื้อย่วนเข้าไปคว้าแขนของเขาไว้ กล่าวอย่างใส่อารมณ์เบาๆ “เฟิงเอ๋อร์ ไยเจ้าต้องพูดอย่างไร้เยื่อใยเพียงนี้ด้วย เรื่องราวในอดีตเป็นพ่อที่ทำไม่ถูก พ่อรู้ว่าตนเองทำผิดไปแล้ว คนเราก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้าง เฟิงเอ๋อร์จะให้โอกาสพ่อได้ชดเชยสักครั้ง ให้โอกาสได้ไถ่ถอนความผิดสักครั้งมิได้เชียวหรือ”
แววตาหลินเฟิงจ้องมองทิศทางเบื้องหน้าอย่างเย็นชา พลางเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นประดุจน้ำแข็ง “ข้ามิต้องการการชดเชย ท่านต้องการไถ่ถอนความผิด ก็เชิญไปพูดกับท่านแม่ข้าเถอะ!”
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าต้องการให้พ่อทำอย่างไรหรือ เจ้าถึงจะยินยอมให้อภัยพ่อ” น้ำเสียงหลินจื้อย่วนเกือบจะอ้อนวอน
หลินเฟิงหันไปมอง เพ่งสายตาไปยังหลินจื้อย่วน กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ ภายใต้สีหน้าสงบนิ่ง สงบนิ่งจนปราศจากร่องรอยความรู้สึกใดๆ “ทำให้ท่านแม่ข้ากลับมามีชีวิตอีกครั้งเท่านั้น”
หลินจื้อย่วนรู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรงอย่างยิ่ง เขากล่าวด้วยความเศร้าโศก “เฟิงเอ๋อร์ เจ้าจะไร้เยื่อใยถึงเพียงนี้จริงๆ หรือ”
สีหน้าหลินเฟิงเด็ดเดี่ยว เขาสะบัดมือของหลินจื้อย่วนออกแล้วสาวฝีเท้ายาวเดินจากไป
หลินจื้อย่วนมองดูตั๋วเงินที่อยู่บนโต๊ะน้ำชา แล้วเตะโต๊ะน้ำชาพลิกคว่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว น้ำชากระเซ็นทั่วสารทิศ ทั้งไม้สลักลวดลายและเครื่องครามต่างแตกหักกระจายบนพื้น
หลินเฟิงพ้นจากจวนแม่ทัพออกมา จ้องมองไปด้านบนเหนือศีรษะ ท้องนภามืดมิดไร้แสงดวงดาว ภายในใจอึดอัดและทุกข์ใจอย่างยิ่ง เห็นทีว่าการรับจินฮวามายังเมืองหลวงจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์ แต่หากส่งเหยาจินฮวาแม่ลูกกลับเฟิงอาน ก็เกรงว่าฮานเอ๋อร์จะถูกจินฮวาอบรมเสียนิสัย หากจับจินฮวาแม่ลูกแยกจากกัน เขาก็ดันทำใจไม่ได้ มักคิดเสมอว่า หลังตนเองมุมานะจนมีหน้ามีตา ให้ชีวิตที่สงบสุขแด่เหยาจินฮวาแม่ลูกได้ แล้วจะได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเสมือนในอดีต ทว่าจากหลายวันมานี้ เห็นแต่ละพฤติกรรมของจินฮวา เขากลับเกิดความรู้สึกสับสนอย่างมาก เขาและจินฮวาไม่อาจกลับไปยังจุดเสมือนในอดีตได้อีกแล้ว หัวใจเขาเปลี่ยนไปแล้วหรือ จินฮวาก็นิสัยเช่นนี้มาโดยตลอด ละโมบโลภมาก วางมาดบาตรใหญ่ ชอบกดขี่ข่มเหง ตั้งแต่เข้ามาในครอบครัวก็เอาแต่ทะเลาะกับมารดาและน้องสาวเขา วันๆ ทะเลาะกันอย่างต่ำสามครั้งเห็นจะได้ และจะทะเลาะกันใหญ่โตทุกๆ สามวัน หากไม่ใช่จินฮวา ท่านแม่ก็คงไม่ด่วนจากไปไวเพียงนี้เช่นกัน…ตอนนั้น เขาก็อดทนมาได้แล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงไม่อาจอดทนได้เสียแล้วล่ะ มันยากเกินกว่าจะอดทนได้แล้วจริงๆ! เพียงเห็นหน้าตาที่ละโมบโลภมากของจินฮวา เขาก็อดเกิดความรังเกียจขึ้นมาไม่ได้ เห็นท่าทางจินฮวาที่เอะอะโวยวาย ก็อดอยากจะลงไม้ลงมือกับใครสักคนไม่ได้ นี่เป็นเพราะใจเขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หรือ
หลินเฟิงจูงม้าเดินไปตามถนนอย่างไรจุดมุ่งหมาย เนิ่นนานพอตัว ถึงพบว่าตนเองมายืนอยู่เบื้องหน้าประตูจวนหลี่เสียแล้ว
ยามนี้น้องสาวกับน้องเขยคงนอนหลับกันแล้วกระมัง! เขาควรไปแห่งหนใดดี ทันใดนั้นจึงค้นพบว่า ตนเองไม่รู้จะพูดคุยกับใครดี นี่มันช่างเป็นความน่าอนาถแท้ๆ!
เขาหันหลังแล้วเดินไปจากจวนหลี่ หลินเฟิงเดินมาถึงหุยชุนถางอย่างไม่รู้ตัว เงยหน้าจ้องมองแผ่นป้ายพื้นดำอักขระทองอยู่เช่นนั้น ท่ามกลางสายลมในยามราตรี ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาเล็กน้อย
“เอ๋? นี่หลินเฟิงมิใช่หรือ” คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาถามไถ่
หลินเฟิงหันไปมอง ที่แท้เป็นโม่จื่อโหยวนั่นเอง
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย! หลินเฟิง เหตุใดเจ้าถึงมายืนเหม่อลอยตรงนี้ล่ะ ไปๆ ไปนั่งเล่นทางด้านข้านู้น ข้ากับพี่รองทำยาเม็ดกันตลอดทั้งวัน กำลังกะว่าจะเอาสุราดีๆ มาดื่มกันสักสองเหยือก ไปกันเถอะ ไปดื่มสุราด้วยกัน” โม่จื่อโหยวส่ายสุราสองเหยือกในมือไปมา แล้วดึงหลินเฟิงเดินไปด้วยอย่างเป็นกันเอง