ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่308อับอายขายหน้า
หลินหลันไปตรวจจับชีพจรให้เผยจื่อชิ่งตามกำหนด โดยมีติงหลั้วเหยียนมุ่งหน้าไปด้วยกัน
“ดูเจ้าสิ ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งขึ้นมาก ไม่เหมือนยามที่ข้าตั้งครรภ์ กินอะไรไม่ลงทั้งสิ้น ได้กลิ่นก็อยากอาเจียนไปหมด ช่างแย่จริงๆ” ติงหลั้วเหยียนมองดูใบหน้าที่ผุดผ่องมีเลือดฝาด เรือนรางของเผยจื่อชิ่งนับวันยิ่งมีน้ำมีนวล จึงรู้สึกอิจฉาเสียยิ่งอะไรดี
เผยจื่อชิ่งลูบคลำหน้าท้องที่ยังไม่เผยให้เห็นอย่างเด่นชัดว่ากำลังตั้งครรภ์ พลางกล่าวเชิงดูถูกตนเอง “ข้าในแบบนี้มีดีเสียที่ไหนกัน ท้องยังไม่ทันใหญ่ไปสักเท่าใด รูปร่างก็อวบอิ่มขึ้นแล้ว” นึกถึงคำพูดของจื่ออวี้ที่ปลอบใจนางเมื่อวานว่า…แบบนี้ดีจะตาย แสดงให้เห็นถึงความเป็นสามีภรรยาที่รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกัน ชิ! ตาอ้วนเอ้ย ใครเขาอยากจะเหมือนคู่สามีภรรยาที่รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเขาหรือ
ติงหลั้วเหยียนกล่าวทันควัน “ตอนนี้เจ้ามิได้ตัวคนเดียวแล้ว กินได้นอนได้ ลูกในครรภ์ถึงจะเติบใหญ่แข็งแรงได้ ไม่เหมือนเฉิงเซวียนของข้า คลอดออกมาตัวผอมเล็กอย่างกับลูกแมว ข้ามองดูท่อนแขนท่อนขาเล็กๆ ของเขาก็อดวิตกกังวลมิได้ เกรงว่าออกแรงนิดหน่อยก็จะทำให้แตกหัก”
“พี่สะใภ้พูดถูก ตอนนี้เจ้ากำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญอย่างยิ่ง ทุกอย่างล้วนต้องยึดเด็กในครรภ์เป็นหลัก ตอนนี้อ้วนขึ้นมาหน่อยจะไปกลัวอันใด รอเจ้าคลอดแล้ว ข้าจะช่วยร่างตำรับอาหารให้เจ้าหนึ่งชุด เจ้าแค่กินอาหารตามแผนที่จัดให้ หมั่นเอาใจใส่หน่อย รับประกันเลยว่าเจ้าจะฟื้นฟูกลับมาได้เสมือนตอนแรก” หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน
“จริงหรือ” ดวงตาของเผยจื่อชิ่งเปล่งประกายอย่างอดไม่ได้ นางกลัดกลุ้มด้วยเรื่องนี้อยู่ตั้งหลายวัน เพราะเกรงว่าน้ำหนักจะไม่ลด
“ข้าจะหลอกเจ้าทำไมกันล่ะ หากไม่ได้ผล เชิญเจ้าทำลายชื่อเสียงของหุยชุนถางได้ตามอำเภอใจเลย” หลินหลันกล่าวติดตลก
เผยจื่อชิ่งถอนหายใจอย่างเกินจริง “ข้าค่อยวางใจหน่อย หลินหลัน ข้าขอฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เจ้าเลยแล้วกัน”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้มเอือมระอา “เจ้านี่นะ มีโชคดีอยู่กับตัวแท้ๆ แต่ดันไม่เห็นคุณค่า หากต้องอาเจียนทุกวี่ทุกวัน เจ้าคงได้โอดครวญไม่เลิกไม่ราอีกเป็นแน่”
เผยจื่อชิ่งยิ้มเจื่อน “ข้าได้ยินมาว่า คนที่ไม่มีอาการแพ้ท้อง ส่วนมากจะให้กำเนิดลูกผู้หญิง หลินหลัน เจ้าเป็นหมอ มีตำราไหนกล่าวไว้เช่นนี้บ้างหรือไม่” เผยจื่อชิ่งจ้องมองหลินหลันอย่างรอคอย
หลินหลันไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนัก ตามจริงหากว่ากันตามชีพจรของเผยจื่อชิ่ง มีโอกาสให้กำเนิดบุตรสาวค่อนข้างสูง คนโบราณมีแนวคิดให้ความสำคัญกับเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง ไม่รู้ว่าเผยจื่อชิ่งมีความนึกคิดเช่นนี้ด้วยหรือไม่ หลินหลันจึงกล่าวอย่างขอไปที “จะพูดเช่นนี้ก็คงไม่ใช่เสียทีเดียว เจ้าดูอย่างพี่สะใภ้บ้านข้าสิ ยามตั้งครรภ์ก็ไม่ต่างจากเจ้า กินเก่งนอนเก่งเสียยิ่งอะไรดี แต่ก็ยังให้กำเนิดบุตรชาย”
เมื่อได้ยินหลินหลันพูดเช่นนี้ คิ้วที่ขมวดอยู่ในตอนแรกของเผยจื่อชิ่งจึงคลายออก แล้วเอ่ยด้วยท่าทางที่แฝงอาการเคอะเขินไว้เล็กน้อย “ตามจริง จะเป็นชายหรือหญิงล้วนไม่สำคัญอันใด จื่ออวี้กล่าวว่าเขาชอบทั้งนั้นละ”
“ก็นั่นสิ ตัวเราเองก็เป็นสตรีเช่นกัน ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ชอบเด็กผู้หญิงเสียหน่อย หากทำเช่นนั้นไม่เท่ากับดูถูกตนเองแล้วหรือ เป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง ล้วนเกิดจากเลือดเนื้อเชื้อไขมารดาทั้งสิ้น จึงควรมองอย่างเท่าเทียมกัน อีกอย่าง เจ้าก็ไม่ได้จะให้กำเนิดเพียงคนเดียวเสียหน่อย” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ติงหลั้วเหยียนกล่าวเสริม “ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงต่างหากเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ข้าในตอนนั้น พอคลอดลูกออกมา ความคิดแรกที่บังเกิดในใจข้าก็คือลูกเกิดมาครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ มีนิ้วมือขาดเกินหรือไม่ แขนขาครบหรือไม่อะไรพวกนี้ ข้าล่ะเป็นกังวลแทบแย่”
เผยจื่อชิ่งถูกชี้แนะดังกล่าว จึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วยซ้ำแล้วซ้ำเล่า “นั่นสินะ! ข้าก็กังวลใจเช่นเดียวกับเจ้า พวกเจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่า บุตรสาวตระกูลเว่ยผู้นั้นให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งเมื่อปีก่อน แต่ดันเป็นปากแหว่งเพดานโหว่ ริมฝีปากแหว่งหายไปจากนี่ถึงนี่เชียวละ” เผยจื่อชิ่งใช้นิ้ววาดลักษณะเปรียบเทียบด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“เจ้าเอ่ยถึงบุตรสาวของตระกูลเว่ย คือเว่ยจื่อเซวียนนั่นน่ะหรือ” ติงหลั้วเหยียนเอ่ยถาม
“ถูกต้อง น่าสงสารเหมือนกัน เด็กคนนั้นเลี้ยงดูไปได้ไม่ถึงเดือนก็เสียชีวิตแล้ว…” เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยความเศร้าใจ
“เลิกพูดอะไรที่ชวนวิตกกังวลเหล่านี้ได้แล้ว ไม่น่าฟังเอาเสียเลย เจ้าทำให้ตนเองเป็นกังวลคนเดียวก็แล้วไป อย่าได้ทำให้เด็กในท้องตกอกตกใจไปด้วยสิ” หลินหลันกล่าวเชิงตำหนิ
เผยจื่อชิ่งจึงรีบสงบปากสงบคำทันที
หลินหลันกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ขอเพียงเจ้าบำรุงร่างกายให้ดีๆ รับประทานอาหารที่เหมาะสม ใช้ชีวิตอย่างมีระบบระเบียบ รักษาสภาพจิตใจให้ผ่อนคลายสบายๆ เด็กก็จะไม่มีปัญหาอันใดแน่นอน อย่าคิดถึงเรื่องเหล่านี้อีกเลย”
เผยจื่อชิ่งขานรับทันควัน “เจ้าเป็นหมอ ข้าล้วนเชื่อฟังเจ้าทั้งนั้น พอใจหรือไม่”
หลินหลันเม้มริมฝีปากเข้าหากัน “แบบนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย”
ทั้งสามคนพูดคุยสัพเพเหระกันไปอีกสองสามประโยค จากนั้นหัวข้อสนทนาก็ถูกโยงมาที่หลินหลัน
“หลินหลัน เจ้าแต่งงานมาเกือบสามปีแล้ว หมิงอวินของเจ้าต่อให้ยุ่งมากเพียงใด ก็ไม่น่าจะยุ่งขนาดไม่สนใจเรื่องให้กำเนิดบุตรหรอกกระมัง รีบๆ มีสักคนได้แล้ว หากเป็นเด็กผู้ชายทั้งหมด พวกเราจะได้ให้พวกเขาเป็นพี่ชายน้องชายกัน หากเป็นผู้หญิง ก็ให้พวกเขาเป็นพี่สาวน้องสาวกัน ทางที่ดีที่สุดคือชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เช่นนั้นพวกเราก็จะได้ให้บุตรชายบุตรสาวเกี่ยวดองเป็นครอบครัวกัน เป็นเช่นนี้คงยอดเยี่ยมเสียยิ่งอะไรดี!” เผยจื่อชิ่งกล่าวติดตลก
บนใบหน้าหลินหลันปรากฏความอึดอัดเล็กน้อย เหตุใดนางจะไม่อยากมีบุตรล่ะ ทว่าหมิงอวินเขา…
ติงหลั้วเหยียนเห็นหลินหลันเคอะเขิน จึงช่วยกล่าวคลี่คลายสถานการณ์ “หลินหลันโชคดีปานเจ้าเสียที่ไหนกัน เจ้าก็รู้ว่าครอบครัวพวกเราไม่ค่อยราบรื่นมาโดยตลอด เรื่องราวชวนกลัดกลุ้มมีเข้ามาไม่ขาดสาย และข้าก็ดันไม่มีความนึกคิดในการตัดสินใจ เรื่องราวต่างๆ ในบ้านล้วนต้องลำบากหลินหลันทั้งนั้น…ยังดีที่ในที่สุดวันนี้ก็สงบสุขเสียที หลินหลัน เจ้าเองก็น่าจะคำนึงถึงเรื่องให้กำเนิดบุตรได้แล้วละ” ติงหลั้วเหยียนกล่าวอย่างอ้อมค้อม และกระตุ้นหลินหลันขึ้นมาด้วยในเวลาเดียวกัน
หลินหลันยิ้มเจื่อน แล้วกล่าว “พวกเจ้านี่นะ ช่างเดือดร้อนแทนตัวข้าจริงๆ ข้ายังอยากใช้ชีวิตอย่างสบายๆ อีกสักระยะหนึ่งอยู่เลย!”
เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้านี่นะ อย่าคิดว่าหมิงอวินของเจ้าไม่ร้อนใจไปสิ เขาน่ะทั้งททะนุถนอมทั้งรักใคร่เจ้า ถึงได้ตามใจเจ้าไปหมดทุกอย่างจนเจ้าได้ใจ อย่างไรก็ตาม ฐานะพี่ชายพี่สาวนี่ก็หนีไม่พ้นลูกๆ ของครอบครัวข้าแล้วละ ส่วนเจ้าก็ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน!”
หลังออกมาจากจวนเฉิน หลินหลันให้ติงหลั้วเหยียนกลับไปก่อน เพราะเฉิงเซวียนยังต้องดื่มนม ติงหลั้วเหยียนจึงจากบ้านมานานเกินไปไม่ได้ จากนั้นหลินหลันก็ไปเยี่ยมเยียนเฉียวอวิ๋นซีด้วยตนเอง
แม้ว่าตอนนี้จิ้งปั๋วโหว์จะออกจากตำแหน่งขุนนางแล้ว โดยอาศัยข้ออ้างที่ว่าล้มป่วยเพื่อพักผ่อนอยู่บ้าน ทว่าตระกูลโจวมีรากฐานดำรงอยู่มาเนิ่นนานเป็นร้อยปี ถึงจะตกต่ำลงแต่ก็เคยเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่มาก่อน อำนาจของตระกูลโจวจึงยังคงไม่ลดทอนลง ใครจะกล้ายืนยันได้ว่า ตระกูลโจวจะไม่มีวันรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง โหว์เหยียนเป็นผู้ที่ชาญฉลาดและมองการณ์ไกล การถอยออกมาเป็นหมื่นก้าว ต่อให้ตระกูลโจวจะเงียบสงัดเพียงนี้ หลินหลันยิ่งต้องแวะเวียนไปมาหาสู่ให้มากขึ้น เพื่อที่มิตรภาพระหว่างเฉียวอวิ๋นซีจะได้ไม่เสื่อมคลาย ลำพังที่ตระกูลโจวเคยช่วยเหลือนางและหมิงอวินไว้มากมายเพียงนั้น นางก็ไม่อาจลืมบุญคุณได้เช่นกัน
กระทั่งหลินหลันกลับไปถึงจวนหลี่ ก็เกือบจะเป็นยามเซินแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงโดยประมาณ หมิงอวินก็จะกลับมาบ้าน หลินหลันตัดสินใจว่าค่ำคืนนี้จะพูดคุยกับหมิงอวินให้ชัดเจน
ทันทีที่เหยียบเข้าลานบ้าน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเริงร่า
“พี่หยินหลิ่ว วันนี้ท่านก็อยู่กินมื้อเย็นด้วยกันที่นี่ แล้วค่อยกลับเถอะนะเจ้าคะ…” เป็นเสียงของจิ่นซิ่ว
“มิได้น่ะสิ! ข้าแค่กลับมาเยี่ยมเอ้อร์เส้าหน่ายนาย มิใช่มาฝากปากท้องไว้ที่นี่เสียหน่อย” หยินหลิ่วกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“หยินหลิ่ว ชีวิตเจ้านี่มันจะเกินไปแล้วนะ ที่นี่มิใช่ครอบครัวเจ้าเองเหมือนกันหรอกหรือ ฝากปากฝากท้องอะไรกัน ข้าว่าเจ้าเป็นห่วงสามีเจ้าว่า พอเจ้าไม่อยู่แล้วก็จะไม่มีข้าวปลากินมากกว่ากระมัง” กุ้ยซ่าวหัวเราะร่า หยอกเย้าหยินหลิ่ว
“กุ้ยซ่าว ปากคอท่านนี่ยังเราะรายไม่เปลี่ยนเลยนะเจ้าคะ ท่านจะแสร้งทำเป็นไม่รู้บ้างมิได้หรือไรเจ้าคะ” หยินหลิ่วไม่ปฏิเสธให้มากความเช่นกัน โดยกล่าวออกไปด้วยสีหน้าเบิกบาน
“ที่กุ้ยซ่าวพูดน่ะยังถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ ทางที่ดีต้องพูดว่า พอเจ้ามีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้ว ก็ลืมเอ้อร์เส้าหน่ายนายอย่างข้าแล้วสินะ!” หลินหลันยิ้มระรื่นเดินเข้ามา
“อ้าว…เอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” จิ่นซิ่วรีบย่อเข่าลงคารวะทันที
“ก็นั่นสิเจ้าคะ บ้านเจ้าก็ไม่ได้ห่างไกลจากที่นี่เสียหน่อย” หรูอี้กล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน
หยินหลิ่วเดินเข้ามาต้อนรับ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายพูดเช่นนี้ ข้าน้อยเสียใจนะเจ้าคะ ข้าน้อยอยากกลับมาปรนนิบัติเอ้อร์เส้าหน่ายนายทุกคืนวันจะแย่ หรือไม่ หลังข้าน้อยเสร็จธุระที่หุยชุนถาง ก็มาที่นี่ทุกวันเลยดีหรือไม่เจ้าคะ”
หลินหลันใช้ปลายนิ้วจิ้มไปที่นาง แล้วกล่าวต่อพวกนางทั้งหลาย “พวกเจ้าดูสิ นางเพิ่งแต่งออกไปได้ไม่กี่วัน ก็รู้จักต่อปากต่อคำกับข้าแล้ว”
กลุ่มคนตรงนั้นพากันหัวเราะร่า
หยินหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต่อให้ข้าน้อยมีความหาญกล้าเพียงใด ข้าน้อยก็ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายหรอกเจ้าค่ะ ข้าน้อยรู้ดีว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายยุ่งมาก วันนี้จึงตั้งใจนำสมุดบัญชีของหุยชุนถางมาส่งให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายได้ตรวจดูถึงที่เจ้าค่ะ”
หลินหลันคล้องแขนของนางแล้วพากันเดินไปยังห้องกลาง พลางกล่าว “ยามนี้เจ้าเป็นภรรยาของศิษย์น้องข้าแล้ว ยังจะคำก็ข้าน้อยสองคำก็ข้าน้อยอยู่อีก รีบๆ ปรับเปลี่ยนได้แล้ว ข้าฟังแล้วไม่สบายหูชอบกล”
หยินหลิ่วช่วยเลิกม่านประตูเปิดออกให้นายหญิงสะใภ้รอง จากนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยเคยชินแล้วเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าหน่ายนายจะให้ข้าน้อยปรับเปลี่ยนการเรียก ข้าน้อยปรับเปลี่ยนมิได้จริงๆ เจ้าค่ะ”
หรูอี้ไปชงชา หยินหลิ่วจึงประคองนายหญิงสะใภ้รองนั่งลง จากนั้นหยิบสมุดบัญชีออกมาแล้วยื่นให้นายหญิง “จื่อโหยวกล่าวว่า หลังจากร้านกลับมาเปิดทำการใหม่อีกครั้ง กิจการก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มากด้วยเจ้าค่ะ วัตถุดิบยาที่สำรองไว้ก่อนหน้านี้ก็ใกล้ขาดแคลนแล้วด้วย”
หลินหลันพลิกเปิดดูสามสี่หน้าอย่างผ่อนคลาย จากนั้นชำเลืองมองหยินหลิ่วพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัย แล้วกล่าว “ข้าก็ว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงคิดมาหาข้าถึงที่ แท้จริงแล้วก็เพราะมาขอเงินสินะ”
หยินหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่ร้านกิจการดำเนินไปอย่างดี มิใช่เรื่องน่ายินดีหรอกหรือเจ้าคะ ข้าน้อยก็เลยมารายงานข่าวดีอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
ตั้งแต่หุยชุนถางกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง หลินหลันก็มอบภาระงานให้โม่จื่อโหยวทั้งหมด ให้พวกเขาสองสามีภรรยาไปจัดการดูแล นางเพียงแค่แวะเวียนไปดูเป็นครั้งคราว และเก็บพวกบัญชี เรียกได้ว่านางก็แค่ทำหน้าที่เจ้าของร้านที่เดินเตร็ดเตร่ไปมาเท่านั้น
“ติดต่อทางพ่อค้าวัตถุดิบยาแล้วหรือไม่” หลินหลันเอ่ยถาม
“จื่อโหยวติดต่อไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ อีกไม่กี่วันวัตถุดิบยาก็จะมาส่งแล้วเจ้าค่ะ”
“ตกลง พรุ่งนี้ข้าจะให้ตงจึนำตั๋วเงินไปส่งให้พวกเจ้า”
หลังพูดคุยเรื่องทางการเรียบร้อยแล้ว หยินหลิ่วก็ดูอ้ำๆ อึ้งๆ หลินหลันคุ้นเคยต่อสีหน้าเช่นนี้เป็นอย่างดี หยินหลิ่วคงต้องมีเรื่องลำบากใจอยู่เป็นแน่ หรือว่าโม่จื่อโหยวก่อเรื่องอันใดเสียแล้ว
หลินหลันดึงมือหยินหลิ่ว แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หยินหลิ่ว เจ้าบอกความจริงกับข้ามา ศิษย์น้องข้าทำไม่ดีต่อเจ้าแล้วหรือไม่ หากเขากล้ารังแกเจ้า ข้าจะไปเล่นงานเขาเอง”
หยินหลิ่วรีบกล่าวทันควัน “เขาดีต่อข้ามากเจ้าค่ะ และก็มีแต่ข้าที่เป็นฝ่ายรังแกเขา” เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป หยินหลิ่วถึงกับพูดต่อไม่ถูก ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที ก่อนรีบอธิบายยกใหญ่ “ข้ามิได้รังแกเขาจริงๆ หรอกนะเจ้าคะ ข้าเพียงแค่ อย่างเช่น อย่างเช่น…”
หลินหลันหลุดหัวเราะ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ผิดหรอก พ่อหนุ่มจื่อโหยวผู้นั้น เจ้าอย่าตามใจเขาเกินไป ต้องกำราบเขาให้อยู่หมัด”
หยินหลิ่วยิ้มเล็กยิ้มน้อยด้วยความเคอะเขิน และกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “มีเรื่องหนึ่ง ข้าน้อยไม่รู้ว่าควรบอกกล่าวเอ้อร์เส้าหน่ายนายหรือไม่เจ้าคะ”
“มีเรื่องอันใดที่ไม่ควรหรือ มีปัญหาใด เจ้าก็บอกข้ามาได้เลย”
หยินหลิ่วกล่าวด้วยท่าทีลังเล “ข้าน้อยคิดว่า เรื่องนี้มันพูดยากน่ะเจ้าค่ะ พูดไปแล้วก็คงไม่ดีเท่าใด เอาเถอะเจ้าค่ะ ครั้งนี้ข้าน้อยจะขอเป็นคนปากมากสักครั้งแล้วกัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิ้วฮูหยินเจ้าค่ะ”
หลินหลันตระหนกตกใจ “นางทำไมอีกหรือ”
“ข้าน้อยได้ยินคำบอกเล่าของสหายที่ร้านผ้าไหมสกุลเยี่ย เอ่ยว่าหลายวันก่อนจิ้วฮูหยินไปซื้อผ้าใหม่ชั้นดีจำนวนมากที่ร้านผ้าไหมสกุลเยี่ย ผู้ดูแลร้านรู้ว่านางเป็นพี่สะใภ้ของท่าน จึงไม่หวังเอากำไร โดยขายในนางในราคาต้นทุน จิ้วฮูหยินเอ่ยว่าไม่มีเงินติดตัวมา จึงให้พวกเขาไปเอาเงินที่บ้านนางในภายหลัง ผลปรากฏว่า พอสหายข้าไปทวงเงินถึงบ้าน กลับไม่ได้เงินเลยแม้แต่ตำลึงเดียว แล้วยังถูกจิ้วฮูหยินบ่นยกใหญ่ กล่าวว่าญาติพี่น้อง คนกันเองอะไรทำนองนี้ เรื่องนี้ก็เลยปล่อยไปเลยตามเลย ใครจะรู้ว่าเมื่อวานนี้ จิ้วฮูหยินดันไปที่ร้านผ้าไหมสกุลเยี่ยอีกครั้ง เดินวนเวียนอยู่หลายรอบ แล้วหยิบผ้าไปมากกว่าครั้งก่อนด้วยซ้ำ สหายข้าเดือดดาลอย่างยิ่ง จึงให้นางนำเงินของครั้งก่อนจ่ายมาก่อน แล้วค่อยนำผ้าให้นาง จิ้วฮูหยินก็เลยโมโห และพูดทำนองว่าญาติพี่น้องคนกันเองทั้งนั้น ยังจะต้องคิดเงินกับนางอีกหรือทำนองนี้ แล้วก็หยิบผ้าเดินจากไปทั้งอย่างนั้น เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ เรื่องนี้ แม้ท่านลุงตระกูลเยี่ยจะไม่บอกกล่าวท่าน ทว่าจิ้วฮูหยินทำเช่นนี้ มันไม่เท่ากับสร้างความลำบากใจให้ตระกูลเยี่ยหรอกหรือเจ้าคะ แล้วยังเป็นการสร้างความอับอายขายหน้าให้ท่านอีก ข้าน้อยมองดูเฉยๆ มิได้จริงๆ เจ้าค่ะ” หยินหลิ่วนำเรื่องราวบอกกล่าวต่อนายหญิงสะใภ้รองอย่างครบถ้วนตั้งแต่ต้นจนจบด้วยความรู้สึกหงุดหงิด