ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่309-1จะให้ข้าคิดเช่นไร
มีคำกล่าวหนึ่งที่ดีทีเดียว ซึ่งกล่าวไว้ว่า ไม่กลัวศัตรูที่เป็นเสมือนเทพเจ้า แต่กลัวญาติมิตรที่เป็นเสมือนหมูที่โง่เขลา เหยาจินฮวาก็คือหมูโง่เขลาอย่างยิ่งตัวหนึ่ง บรรดาสตรีผู้ทำให้ครอบครัวเสียหาย นั่นก็คือตัวปัญหาดีๆ นี่เอง
หลินหลันเดือดดาลอย่างยิ่ง เหยาจินฮวาละโมบโลภมากและเอาเปรียบผู้อื่น แต่จะไร้ยางอายถึงขั้นนี้ก็ไม่ได้เช่นกัน สิ่งของของตระกูลเยี่ย เจ้าเหยาจินฮวามีสิทธ์อันใดไปหยิบมาหน้าตาเฉยได้ปานนี้ ยิ่งใหญ่มาจากไหนหรือ สำคัญตนเองผิดเกินไปแล้วกระมัง
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านว่าเรื่องนี้…จะทำอย่างไรดีหรือเจ้าคะ มีครั้งที่หนึ่ง ก็ต้องมีครั้งที่สองตามมา พอมีครั้งที่สองก็คงมีครั้งที่สาม…” หยินหลิ่วมองดูนายหญิงสะใภ้รองที่กำลังเผยสีหน้าโกรธเกรี้ยว จึงกล่าวด้วยเสียงบางเบา
หลินหลันสบถฮึอย่างเย็นชา “ช่างเป็นสันดานที่แก้ไม่ได้จริงๆ หยินหลิ่ว เอาแบบนี้แล้วกัน เจ้าไปบอกกล่าวผู้ดูแลร้านผ้าไหมว่า จากนี้หากจิ้วฮูหยินมาหยิบผ้าไหมไป เป็นจำนวนเงินเท่าใด ทั้งหมดให้ลงบัญชีไว้ รอพี่ชายข้ากลับมาจากเฟิงอาน ข้าจะจัดการในแบบของข้าเอง เจ้าก็แค่ไปบอกกล่าวตามที่ข้าว่าเท่านั้นพอ”
หยินหลิ่วโค้งตัวลงเบื้องหน้าเล็กน้อยเพื่อคารวะ “ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าน้อยกลับก่อนนะเจ้าคะ”
หลินหลันรู้สึกไม่สบอารมณ์ด้วยเรื่องของเหยาจินฮวา จึงยังคงนั่งหน้าหงิกงอยู่บนเตียงเตาด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย
หลี่หมิงอวินเอ่ยปากถาม ทันทีที่กลับมา “เอ้อร์เส้าหน่ายนายล่ะ”
หรูอี้กล่าวตอบ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายอยู่ในห้องเจ้าค่ะ! ดูเหมือนเอ้อร์เส้าหน่ายนายจะอารมณ์ไม่ดีด้วยเจ้าค่ะ”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วหรือ” หลี่หมิงอวินเอ่ยถามอย่างใส่ใจ
หรูอี้ส่ายหน้า “ข้าน้อยไม่ทราบเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินครุ่นคิดอย่างหนักชั่วครู่ แล้วจึงโบกมือ “เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
ได้ยินเสียงของหลี่หมิงอวินเดินเข้ามาในห้อง หลินหลันก็ยังคงนั่งนิ่งเช่นเดิม หลี่หมิงอวินเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ จากนั้นโน้มตัวลงพร้อมกับลูบหน้าผากของนาง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นอันใดไปหรือ ก็มิได้เป็นไข้นี่! เป็นผู้ใดไม่เอาไหน มาทำให้นายหญิงสะใภ้รองของเราหงุดหงิดอีกแล้วหรือ”
หลินหลันปัดมือเขาทิ้งอย่างหงุดหงิดใจ หลี่หมิงอวินตะลึงงันเล็กน้อย ก่อนฉีกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง แล้วกล่าวหยอกเย้า “ผู้ที่ไม่เอาไหนคนนั้นคงมิใช่ข้าหรอกกระมัง วันนี้ข้าก็มิได้กลับมาช้าสักหน่อย! พอยามเซิน ข้าก็เลิกงานทันที นี่ก็กลับมาไวกว่าปกติตั้งสิบห้านาทีเชียวมิใช่หรือ!”
หลินหลันกลอกตามองบนใส่เขา “แล้วใครเขาโทษว่าเจ้ากลับมาสายกันล่ะ”
ไม่ใช่เช่นนั้นหรือ หลี่หมิงอวินนึกไตร่ตรองต่อไป ตั้งแต่หลินหลันอยู่กับเขา ต้องเผชิญความยากลำบากมาไม่น้อย ความกังวลยิ่งแล้วใหญ่ ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขกายสบายใจเพียงไม่กี่วัน เรื่องพานางออกไปเที่ยวเล่นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง หลี่หมิงอวินฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ภายในหัวสมอง เขาส่งท่อนแขนไปโอบรั้งนางแล้วกล่าวปลอบประโลม “เจ้ายังจำตอนที่เราไปบ้านพักต่างถิ่นได้หรือไม่ บนภูเขาทางทิศใต้มีป่าดอกท้อผืนใหญ่ ช่วงเวลานี้ ดอกท้อน่าจะบานหมดแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้หยุดพักผ่อนมาสองเดือนแล้ว อีกสองวันข้าจะทูลขอฮ่องเต้ ให้ประทานวันหยุดให้ข้าสักสามวัน พวกเราไปค้างแรมที่บ้านพักนั่นสักวันสองวัน เป็นเช่นไร”
หลินหลันถูกเขาหลอกล่อจึงเกิดความสนอกสนใจขึ้นมา จริงด้วย! นานมากแล้วที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่น ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาที่ดีแก่การออกนอกบ้านเป็นที่สุด
เมื่อเห็นสีหน้าของนางค่อยๆ ผ่อนคลาย หลี่หมิงอวินรู้ดีว่าตนเองเดินมาถูกทางแล้ว จึงกล่าวเสริมขึ้นอีกครั้ง “พวกเราไม่ต้องพาคนไปมากมาย พาไปแค่ป้ากุ้ยซ่าว หรูอี้และตงจึก็พอ พรุ่งนี้ข้าจะไปหาโหว์เหยียน ให้เขาช่วยติดต่อสหายผู้นั้นของเขาให้พวกเรา เพื่อให้พวกเรายืมบ้านพักนั่นพักอาศัยสักวันสองวัน ข้าจะได้ห่างจากภาระงานชั่วคราวด้วย เจ้าเองก็อย่าได้เก็บเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาคิดให้วุ่นวายสับสน ไปพักผ่อนให้เต็มอิ่มอย่างสงบบนภูเขานั่นสักวันสองวัน”
หลินหลันนั่งตัวตรงดิ่งกะทันหัน แล้วกล่าวอย่างจริงจังขณะชำเลืองมองหลี่หมิงอวิน “นี่เจ้าเป็นคนพูดเองนะ ห้ามคืนคำเด็ดขาด”
หลี่หมิงอวินอมยิ้มเล็กน้อย “ดูเจ้าพูดเข้าสิ ข้าเคยผิดคำพูดเจ้าเมื่อใดกันหรือ ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือไร เจ้าก็รู้ดีว่า ในใจข้านี้ สิ่งอื่นไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญอันใด มีแต่เจ้าที่สำคัญที่สุด แล้วข้าจะหลอกลวงเจ้าได้อย่างไรล่ะ”
หลินหลันชำเลืองตามองเขาอย่างเจ้าเล่ห์ ทว่าใบหน้ากลับแต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มที่หวานหยดเยิ้ม “สมกับความปากหวานของเจ้าจริงๆ”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างไร้เดียงสา “ปากหวานตรงไหนกัน ที่ข้าพูดล้วนออกมาจากใจทั้งสิ้น ข้าก็แค่คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น…”
หลินหลันกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “พอได้แล้วๆ อย่าทำเป็นตีหน้าซื่อเลย เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ละ ข้าจะรอคอยเจ้าพาข้าไปบ้านพักตากอากาศที่นั่นแล้วกัน”
หลี่หมิงอวินรีบรับปากอย่างดิบดี “สามีขอสัญญา รับประกันว่าจะทำได้อย่างที่พูดแน่นอน”
เมื่อถูกเขาปลอบประโลมเยี่ยงนี้แล้ว ความขุ่นหมองภายในใจของหลินหลันจึงค่อยๆ มอดดับลงไป ปล่อยนางให้ลอยนวลไปสักระยะแล้วกัน ไว้รอพี่ใหญ่กลับมาเมื่อใด มาดูกันว่านางจะจัดการนางอย่างไร ส่วนปัญหาเกี่ยวกับบุตร เอาไว้ค่อยพูดคุยวันหน้าแล้วกัน! ไม่แน่ว่าการออกเที่ยวครั้งนี้ จะสามารถจัดการปัญหาอะไรพวกนี้ได้ทั้งหมด
หลี่หมิงอวินไม่มัวผัดวันประกันพรุ่ง ค่ำคืนเดียวกันนี้จึงไปยังจวนจิ้งปั๋วโหว์ทันที เพื่อทำการยืมที่พักให้เรียบร้อย แท้จริงแล้วบ้านพักตากอากาศนั่นไม่ใช่ของผู้ใดอื่นไกล แต่มันเป็นกิจการการของโหว์เหยียเอง
วันรุ่งขึ้น หลี่หมิงอวินก็ไปทูลต่อฮ่องเต้เพื่อขอลาหยุด ฮ่องเต้เห็นแก่ความเหนื่อยยากตลอดหลายเดือนมานี้ จึงอนุญาตให้เขาหยุดได้สามวัน
ทางด้านหลินหลัน ได้จัดการเตรียมข้าวของที่จำเป็นสำหรับการออกเดินทางไปท่องเที่ยวไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว เหลือเพียงรอวันออกเดินทางเท่านั้น
จินซิ่วจ้องตาเป็นมันเสียยิ่งอะไรดี ประหนึ่งกำลังอ้อนวอน หลินหลันจึงทำได้เพียงตอบตกลงว่าจะพานางติดตามไปด้วยเช่นกัน นั่นทำให้จิ่นซิ่วดีอกดีใจจนเกือบกระโดดโลดเต้นขึ้นมา
ช่วงเดือนเมษายน ดอกท้อบนภูเขาเริ่มบานสะพรั่ง
ครั้งนี้ หลี่หมิงอวินให้กุ้ยซ่าวและคนอื่นๆ เดินตามคนนำทางขึ้นภูเขาไปล่วงหน้า จะได้ไปจัดเตรียมบ้านพักให้เรียบร้อน ส่วนตนเองพาหลินหลันขึ้นเขาจากทิศใต้ เพื่อชื่นชมทิวทัศน์ดอกท้อที่แสนงดงามตลอดทางเดิน
ออกเดินทางแต่เช้าตรู่ หลี่หมิงอวินควบรถม้าด้วยตนเอง หลังรถม้าเคลื่อนตัวมาเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง ถึงมาเยือนตีนเขาในที่สุด เมื่อเงยหน้ามอง ก็เห็นใบไม้สีแดงอร่ามส่วนครึ่งบนภูเขานั่นมาแต่ไกล ราวกับมีชั้นปุยเมฆตกลงมาเหนือภูเขาสีเขียวชอุ่ม ซึ่งเป็นความงดงามประดุจภาพวาด
“เจ้าดูสิ ทิวทัศน์นี่มันช่างเสมือนที่หมู่บ้านหยวนตงเลย…” หลินหลันชี้นิ้วไปยังสีแดงอร่ามผืนนั้นบนภูเขาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเกินบรรยาย
หลี่หมิงอวินทอดสายตามองไกลออกไป แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน “คล้ายคลึงมากทีเดียวเชียว ยังจำได้ว่า เมื่อก่อนอยู่ในหมู่บ้านเจี้ยนซี ทุกปีที่ไปเขตเฟิงอาน ข้าจะอ้อมไปเส้นทางหยวนตง แม้ต้องเดินบนเส้นทางภูเขาหลายลี้ ทว่าจะได้เชยชมทิวทัศน์ป่าดอกท้อที่แสนงดงามไปด้วย ก็เป็นอะไรที่คุ้มค่าเช่นกัน”
หลินหลันเชิดคางขึ้นเล็กน้อยขณะจ้องมองเขา “ข้าก็เช่นเดียวกัน ในแต่ละวันปกติแล้วด้วยเวลาเร่งรีบ จึงไม่มีทางเลือก ทว่าช่วงเวลาที่ดอกท้อบานสะพรั่ง ข้ายอมที่จะตื่นแต่เช้าไปอีกหนึ่งชั่วโมง แล้วเดินเส้นทางอ้อมไปทางหยวนตงเพื่อเชยชมดอกท้อ”
หลี่หมิงอวินยิ้มเล็กยิ้มน้อย แล้วเอื้อมมือไปคว้ามือนางอย่างทะนุถนอม ตามจริงในตอนนั้น เขาเห็นนางแบกตะกร้าขึ้นเขาไปเด็ดสมุนไพรตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างอยู่บ่อยครั้ง เห็นแผ่นหลังเล็กๆ ของนางปีนป่ายไปตามทางสันเขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อแทนนาง นางเป็นสตรีผู้หนึ่งที่ต้องขยันขันแข็ง แม้ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างยากลำบาก แต่กลับมองโลกในแง่ดีและมีจิตใจที่เบิกบาน ดีต่อผู้คนในหมู่บ้านอย่างยิ่ง ทุกคนจึงชื่นชอบนาง หากไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวนางเลยสักนิด เขาก็คงไม่กล้าเสี่ยงลงนามสัญญากับนางเป็นแน่ เมื่อคิดๆ ดูเช่นนี้ เขาได้คอยสังเกตนางมาตั้งแต่แรกๆ แล้ว ว่าแต่ตัวนางล่ะ เคยสังเกตคนอย่างเขาที่อาศัยอยู่ในที่พักห่างไกลบ้างหรือไม่
“นี่! คิดอันใดอยู่หรือ พวกเรารีบขึ้นเขากันเถอะ…” หลินหลันเขย่ามือของเขาและกล่าวเร่งเร้า นางแทบจะอดใจรอไม่ไหวอยู่แล้ว
ทั้งสองคนจูงมือกันเดินขึ้นไปตามเส้นทางบนภูเขา หนึ่งปีมานี้ หลินหลันยิ่งขี้เกียจมากขึ้นเรื่อยๆ ได้นอนงีบสักหน่อยก็ยังดี ที่แท้การใช้ชีวิตอย่างนายหญิงก็ทำให้นางเสียนิสัยจนได้ ผลลัพธ์ก็คือ นางยังไม่ทันถึงป่าดอกท้อก็หอบจนหายใจหายคอไม่ทันเสียแล้ว บนหน้าผากก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เมื่อหันไปสังเกตหลี่หมิงอวินที่อยู่ข้างๆ ก็พบว่าเขายังคงอยู่ในอาการสงบนิ่งภายใต้ชุดสีน้ำเงินเข้ม สายลมพัดเข้ามาปะทะ ทำให้เขาเสมือนเทพบุตรรูปงาม หลังหมิงอวินกลับมาจากตอนเหนือ ตอนเช้าของทุกวันก็จะออกกำลังกายด้วยกระบวนท่ากังฟูแบบเดิม รูปร่างเขาจึงกำยำบึกบึนยิ่งกว่าเมื่อก่อน หลินหลันแอบละอายแก่ใจอยู่ลึกๆ สัญญาว่าหลังกลับไปจะออกกำลังกายให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่กลายเป็นสาวน้อยผู้อ่อนแอ
“หลันเอ๋อร์ พักสักครู่เถอะ! ดูเจ้าสิ เหงื่อออกหมดแล้ว” หลี่หมิงอวินชะงักฝีก้าว แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับหยาดเหงื่อบนหน้าผากนางอย่างอ่อนโยน
หลินหลันละอายแก่ใจขึ้นมาชั่ววูบ ครั้งก่อนที่ปีนเขา นางยังเยาะเย้ยเขาอยู่เลย โดยจงใจเดินอย่างรวดเร็วเสมือนบิน ทำให้เขาเดินตามหลังจนเหนื่อยหอบ
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน แล้วแสร้งกล่าวเสมือนรู้สึกสบายๆ “ข้ามิเป็นไร พวกเรารีบเดินกันเถอะ อีกเดี๋ยวก็ถึงป่าดอกท้อแล้ว”
หลี่หมิงอวินหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อดไม่ได้ที่จะเขี่ยสันจมูกนางอย่างเอ็นดู สาวน้อยนี่ฝืนทำตัวแข็งแกร่งอยู่เรื่อย
ดอกท้อสิบลี้งดงามตระการตามาแต่ไกล ประดุจปุยเมฆสีชมพูสด เมื่อได้มองดูใกล้ๆ ทุกลำต้น ทุกกิ่งก้าน ทุกดอกไม้ต่างมีเอกลักษณ์เป็นของมันเอง รวมเป็นภาพวาดเดียวกัน กิ่งก้านเหล่านั้นบ้างก็แตกแยกเป็นแนวทแยงไปด้านข้าง บ้างก็ตั้งตรงเกี่ยวพันกันในอากาศ บุปผาชมพูอ่อนเข้มแตกต่างกันไป สร้างมนตร์เสน่ห์ท่ามกลางสายลม ดึงดูดสายตาผู้คนให้หลงใหล ความงดงามที่เกินบรรยายชวนให้เดินวนเวียนท่ามกลางป่าดอกท้อ แม้อากาศที่หายใจยังเต็มไปด้วยกลิ่นหอมหวานสดชื่นอันเป็นเอกลักษณ์
“หมิงอวิน นี่มันช่างงดงามจริงๆ! หากสวนดอกไม้ในบ้านใหญ่มากพอ ข้าจะปลูกต้นท้อให้เต็มสวนไปเลย จะได้ไว้เชยชมในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ส่วนฤดูร้อนก็ไว้เก็บเกี่ยวผลของมัน ฤดูใบไม้ร่วงยังดื่มสุราหมักดอกท้อได้อีกด้วย ยอดเยี่ยมเสียยิ่งอะไรดี” หลินหลันสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสูดอากาศที่หอมหวาน อยากจะขนย้ายดอกท้อที่บานสะพรั่งเต็มภูเขากลับไปบ้านให้รู้แล้วรู้รอด
หลี่หมิงอวินหยิบกลีบดอกไม้สีชมพูที่ร่วงหล่นบนเส้นผมของนาง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “จะไปยากอันใด ไว้รอภายภาคหน้าพวกเรากลับไปยังเฟิงอานก็สร้างคฤหาสน์สักหลังขึ้นที่หมู่บ้านหยวนตง และถือเสียว่าป่าต้นท้อทั้งภูเขาเป็นสวนผลไม้ของครอบครัวตนเอง เป็นเช่นไรล่ะ”
บนใบหน้าที่ดูตื่นเต้นของหลินหลันเคลือบไว้ด้วยสีแดงระเรื่อ เสมือนสีชมพูลานตานั่นเคลือบอยู่บนสองพวงแก้ม “จริงหรือ”
หลี่หมิงอวินมองดูใบหน้าของนางที่เบิกบานประดุจดอกท้อ นัยน์ตาสีดำขลับเปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางดวงตาคู่งาม ดูราวกับความสว่างพร่างพราวในนัยน์ตานั้นจะไร้ที่สิ้นสุด ประกายนั้นปรากฏความไร้เดียงสายอยู่ด้วยเล็กน้อย เขาจึงกล่าวอย่างลุ่มหลง “ขอเพียงเจ้าชอบมัน…”
ภาพฉากนี้เสมือนในปีนั้น ใต้ต้นเมเปิ้ลต้นหนึ่ง เขาก็มีแววตาที่อ่อนโยนปานนี้เช่นกัน และเอื้อนเอ่ยต่อนางโดยแฝงไว้ซึ่งความรักความห่วงใยอย่างหน้าตาเฉย…ตอนนั้นใบต้นเมเปิ้ลกำลังเป็นสีแดงพอดี…
ความหวานปานน้ำผึ้งที่กำลังพลุ่งพล่านภายในจิตใจ ทำให้หลินหลันซบเข้าหาอ้อมกอดของเขาเบาๆ สองมือคล้องช่วงลำตัวของเขาไว้ พวงแก้มแนบลงตำแหน่งหัวใจของเขา คิดเพียงแค่อยากกอดเขาไว้อย่างนี้ในทะเลดอกไม้ที่ผลิบาน โอบกอดกันภายใต้ความเงียบสงัด หลับตาดื่มด่ำ ไม่อยากปล่อยมือเลยแม้แต่นาทีเดียว