ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 1173
บทที่ 1173 (ตอนจบ4) คุณไม่มาธุรกิจก็ดี
แสงแดดฤดูร้อนนั้นร้อนแรง สาดส่องเข้ามายังเตียงผู้ป่วย ทอดไปยังใบหน้าขาวซีด
หลงเซียวและหลงเจ๋อหันหน้าไปทางหน้าต่าง แสงร้อนพาดผ่าน แผ่กระจายไปทั่ว หายไปกับสายตาและใบหู ลมหายใจที่อ่อนแรงได้ซึมลึกเข้าไปในอากาศ สูดลมหายใจลึกเข้าไปถึงหัวใจ ใบหน้าของหลงถิงมีเครื่องช่วยหายใจอยู่ การหายใจทุกครั้งต้องใช้พลังงานมากเป็นพิเศษ เกิดเสียงหนักๆ และรุนแรง
เขาสูดลมหายใจหนึ่งครั้ง ราวกับเข้าใกล้ความตายไปอีกหนึ่งก้าว ไม่รู้ว่าก้าวต่อไปใครจะเป็นฝ่ายชนะ
เส้นผมของหลงถิงเกือบจะขาวไปทั้งศีรษะ ใบหน้าซูบผอมแทบเห็นกระดูก ผิวหนังเหี่ยวย่นรอบดวงตาหย่อนลงไปด้านล่าง ปิดบังหน้าตา หนักจนเปิดตาไม่ขึ้น
ใบหน้ามีจุดสีน้ำตาลเข้มจำนวนมาก บางจุดใหญ่ สีเข้ม ปกคลุมสีผิวเดิม ร่องรอยเหี่ยวย่นตามวัยปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา ไม่สามารถลบล้างไปได้
เกือบหนึ่งปีแล้วที่หลงเซียวไม่ได้เจอกับหลงถิง หนึ่งปีก่อนเขาก็ป่วยหนัก ยื้อชีวิตที่โรงพยาบาลสองวันสองคืน หลังจากรับการรักษา เขาก็สลบไปสองเดือน เกิดแผลกดทับที่แผ่นหลัง หมอช่วยเขาล้างแผลแล้วบอกว่า ความทรมานแบบนี้ ความจริงตายไปซะยังจะดีกว่า
เพียงแต่ลูกชายของหลงถิงไม่ได้ขาดเงิน ใช้เงินยื้อชีวิตเขาเอาไว้
แต่แบบนี้ จะต่างอะไรกับความตาย
มีชีวิตอยู่เอรับกรรมก็ไม่ใช่แบบนี้เหรอ
เงียบ เหงา ถอนหายใจ
ในห้องนอกจากกลิ่นยา ก็คงเป็นกลิ่นแบบนี้แล้ว
เนิ่นนาน หลงเจ๋อเดินเข้าไป ช่วยหลงถิงจัดผ้าห่ม มือพาดผ่านเส้นผมของเขา ตอนที่ดึงมือกลับคืนมา ก็มีเส้นผมขาวติดมาจำนวนหนึ่ง
สีขาวน่าตกใจ สะดุดตา เขาสะบัดมือ ปัดผมออก
“พ่อกลายเป็นแบบนี้ ความจริงสิ่งเหล่านี้ เขาเป็นคนทำมันเองทั้งนั้น”
ทำเรื่องเลวร้ายเยอะขนาดนั้น ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ราวกับตกนรก ไม่คิดว่าจะได้นอนอยู่บนเตียงที่ดีขนาดนี้ ใช้เครื่องมีรักษาที่ดีที่สุด
ความจริง หลายครั้งลงเจ๋อคิดว่าปล่อยเขาไปดีกว่าไหม ไม่ต้องมาทุกข์ทรมานจะไม่ดีกว่าเหรอ
แต่…เมื่อเทียบกับการตาย การมีชีวิตอยู่ยิ่งทรมานกว่า ยิ่งทำให้เขาได้ชดใช้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเอาไว้
เงาของร่างใหญ่ขยับเข้าใกล้ หลงเซียวเดินเข้าไป “หลงถิง ชีวิตนี้ของคุณ มันคุ้มค่าหรือเปล่า”
ไม่มีใครตอบ มีเพียงเสียงต่อสู้กับเครื่องช่วยหายใจ ไม่รู้ว่ากำลังต่อสู้หรือสิ้นหวัง
หลายปีผ่านไป สภาพจิตใจก็เริ่มเปลี่ยน ไม่มุทะลุเหมือนเดิม และไม่โหดเหี้ยม แม้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูคู่แค้นอยู่ตรงหน้า หลงเซียวก็ไม่มีความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอีกแล้ว
“พี่ใหญ่ ขอโทษครับ”
“นายไม่ต้องขอโทษฉัน นายไม่มีอะไรต้องขอโทษ”
แสงแดดสาดส่อง มีเครื่องปรับอากาศคอยช่วยให้อุณหภูมิเย็นขึ้น วันแบบนี้ ทำให้คนอดไม่ได้อยากทำอะไรดีๆ
เรื่องมาถึงตอนนี้ หลงเซียวคิด เรื่องนั้นสามารถทำได้แล้ว
“เสี่ยวเจ๋อ พ่อนายเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ไม่รับแม่นายกลับมาเถอะ”
ประโยคนี้ ทำให้หลงเจ๋อมึนงงอยู่ชั่วครู่ ยังไม่เข้าใจ เขาพลันเงยหน้าขึ้นตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นค่อยเอ่ยออกมา “พะ…พี่ใหญ่พูดจริงเหรอครับ แม่ผมกลับประเทศได้แล้วเหรอครับ”
โฉหวั่นชิงถูกส่งไปยังประเทศ M ผ่านไปเกือบสามปีแล้ว คลื่นลมในประเทศได้สงบลงแล้ว ทุกคนต่างก็ลืมคนคนนั้น และเรื่องนั้นแล้ว
ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป เรื่องราวต่างๆ ค่อยๆ เข้าที่เข้าทาง ไม่เพียงบทบาทเท่านั้น ความโกรธแค้นเองก็สงบลงเช่นกัน
“ฉันจะบอกกับเจมส์ให้ อาหย่งก็อยู่ที่ประเทศ M นายไปรับคนก็พอ พวกเขาจะไม่ทำอะไรนาย”
ในเมื่อหลงเซียวพูดแบบนั้น คงจัดการเรื่องในประเทศเรียบร้อยแล้ว บางทีโฉหวั่นชิงอาจต้องเปลี่ยนสถานะเพื่อเข้าประเทศ
“ตอนนี้แม่นายถือสัญชาติของประเทศ M ชื่อและสถานะก็เปลี่ยนแล้ว สามารถกลับประเทศมาเริ่มต้นใหม่ได้แล้ว”
ไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ ถ้าสามารถให้โอกาสคนอื่นแบบนี้ หรือสามารถให้โอกาสกับตนเองได้ ยอมให้อภัยคนอื่น คมจริงก็ถือว่าเป็นการให้อภัยตนเองด้วยเช่นกัน
หลงเจ๋อดีใจ ดวงตาแดงก่ำ กอดหลงเซียวเอาไว้แน่น “พี่ใหญ่ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณครับ ผม…ไม่รู้ต้องพูดยังไง ขอบคุณครับพี่ใหญ่”
แม่กลับประเทศได้แล้ว ไม่มีข่าวอะไรที่ดีไปมากกว่านี้แล้ว
……
บ่ายวันนั้น ตึก MBK
ฝ่ายการตลอดกำลังพรีเซนต์สไลด์PPTของตนเอง ตัวอักษรสีดำตัวใหญ่แสดงอยู่บนหน้าจอ สรุปการซื้อกิจการของตระกูลหลิน
“ท่านประธาน บ่ายโมงวันนี้ เราได้รวบซื้อกิจการทั้งหมดของตระกูลหลิน ซึ่งราคาต่ำกว่าตลอดสามสิบเปอร์เซ็นต์ครับ โดยควบกิจการหลักของตระกูลหลิน รวมทั้งของประมูล สินค้า คลังสินค้า รวมทั้งส่วนของภรรยาของเขาด้วยครับ”
ความหมายก็คือ บริษัทหลินซื่อได้เปลี่ยนชื่อ กลายเป็นบริษัทภายใต้MBKไปแล้ว และภรรยาของหลินเหว่ยเย่ได้รับเงินเพียงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์จากที่เขาคาดหวังเอาไว้ แน่นอนว่าเงินเหล่านั้นยังไม่ถึงมือพวกเขา
จะได้เท่าไหร่ ได้เมื่อไหร่ก็ต้องดูอารมณ์ของหลงเซียว
นิ้วมือเรียวยาวของหลงเซียวเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะในห้องประชุม ดวงตาคมลึก มุมปากเผยรอยยิ้มบางๆ มองไม่เห็นหากไม่สังเกต
“ทรัพย์สินของบริษัทหลินซื่อมีมูลค่าเท่าไหร่”
หลงเซียวถามออกไปช้าๆ บรรยากาศในห้องประชุมเย็นยะเยือก
ท่านประธานหมายความว่ายังไง
ราคานี้ต่ำกว่าราคาประเมินตั้งสามสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว หลินเหว่ยเย่ต้องกัดฟันเพื่อเซ็นเอกสารในครั้งนี้ คุณนายหลินเองก็นั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ แต่เมื่อคิดคุณนายหลินเองก็เก่ง ผู้หญิงคนเดียว สามารถดูแลบริษัทมาได้ตั้งยี่สิบกว่าปี ทำให้บริษัทกลายเป็นบริษัทชั้นนำได้
ตอนที่เธอเดินออกจากห้องทำงานไป บอกกับผู้รับผิดชอบ “เวลานี้แสงในห้องทำงานไม่ค่อยดี แต่ละวันเห็นแสงแดดเพียงห้าชั่วโมง ฉันคิดมาตลอดว่าอยากเปลี่ยนตำแหน่งหน้าต่าง ตอนนี้ห้องทำงานเป็นของพวกคุณแล้ว ฉัน…แม้กระทั่งแสดงแดดห้าชั่วโมงก็คงไม่ได้เห็นแล้ว” ความตลกของเธอ ไม่ได้ทำให้บรรยากาศดีขึ้นได้เลยสักนิด
น่าเสียดาย เพราะคนชั่วอย่างหลินเหว่ยเย่ ทำลายตระกูลหลินจนสิ้นซาก
ให้คนได้นินทา
ด้านล่างไม่มีใครพูดอะไร เฝ้ารอหลงเซียวเอ่ยปากอยู่เงียบๆ
“บริษัทหลินซื่อเป็นหนี้อยู่ 2.13พันล้าน ครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินถูกธนาคารยึดเอาไว้ อาคารบริษัทหลินซื่อติดจำนองอยู่ในธนาคาร พวกคุณคิดว่า ซื้อบริษัทหลินซื่อด้วยราคานี้ มันคุ้มแล้วเหรอ”
หลงเซียวถามนิ่งๆ
ผู้จัดการฝ่ายการตลาดประสานมือแน่นด้วยความประหม่า บอกยิ้ม “ท่านประธาน แม้ว่าหลินซื่อจะมีหนี้สิน แต่หลินซื่อมีอิทธิพลในตลอดมาก แทบผูกขาดตลอดศิลปะ มองจากมุมการพัฒนาแล้ว ราคานี้…”
คนที่เข้าร่วมซื้อรวบกิจการครั้งนี้รู้เพียงอย่างเดียว ไม่รู้ถึงความแค้นส่วนตัวของหลงเซียวและหลินเหว่ยเย่ ดังนั้นตอนคำนวณจึงดูเพียงด้านธุรกิจเพียงอย่างเดียว
แต่จี้ตงหมิงนั้นรู้ทุกอย่าง
หลงเซียวส่งสัญญาณไปยังจี้ตงหมิง อีกคนจึงบอก “ผู้จัดการหวัง หลินเหว่ยเย่นั้นเจ้าเล่ห์ ถ้าระหว่างขั้นตอนการซื้อขายคุณใจดีกับเขา ให้โอกาสเขาได้หายใจ ต่อไปเราเองที่จะเป็นฝ่ายแย่”
ทุกคนต่างก็เป็นคนฉลาด ท่านประธานไม่เข้าใจ ทุกคนก็สามารถเดาได้ถึงความหมายโดยนัย ดังนั้นผู้จัดการหวังจึงแสดงออกมาว่าเข้าใจ “ครับท่านประธาน เราจะคุยกับพวกเขา แต่ว่าคุณนายหลินได้เซ็นชื่อไปแล้ว…”
หรือว่าจะให้พวกเขาแก้อีกรอบงั้นเหรอ
“งั้นก็เพิ่มสัญญาอีกฉบับ เอาไปให้หลินเหว่ยเย่”
ผู้จัดการหวังยังคิดว่าตนเองนั้นสามารถซื้อกิจการของบริษัทหลินซื่อมาได้ คิดว่าต้องได้รางวัลใหญ่ ใครจะไปคิดว่าผลที่ออกมา ต้องทำให้เขากดดันขึ้นมา “ครับ ท่านประธาน เพราะพวกเราไม่รอบคอบ ควรคุยกับคุณตั้งแต่แรก ตอนนี้เป็นแบบนี้…”
หลงเซียวยกมือขึ้น หยุดคำพูดของเขาเอาไว้
“เรื่องนี้ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ห๊ะ?
ตอนนั้นเองห้องประชุมได้เงียบสงัดลง ขนาดเสียงหายใจก็ยังไม่ได้ยิน เจ้านายจะไปคุยกับหลินเหว่ยเย่เองงั้นเหรอ
สวรรค์ หลินเหว่ยเย่หน้าใหญ่จริงๆ
ตอนเย็น ผับ “บาร์ชื่อบาร์ชื่อส่วยหลิวหนียน”
บาร์ชื่อส่วยหลิวหนียนเป็นผับที่จี้ตงหมิงและแอนดี้เปิดเอาไว้ฆ่าเวลา หลังจากที่ทั้งสองแต่งงาน เอาเงินมาลงทุน ไม่เหมือนกับคู่แต่งงานคู่อื่น ที่รีบเอาเงินไปซื้อบ้านหลังใหญ่อะไรแบบนั้น
วันนี้บาร์ชื่อส่วยหลิวหนียนครึกครื้น ผู้คนสนุกสนาน
เพลงที่ได้รับรางวัลแกรมมี่ถูกขับร้องคลออยู่ในผับ มีคนนั่งพูดคุยอยู่บริเวณเคาน์เตอร์สองสามคน
เกาจิ่งอานเคาะโต๊ะ “นี่ ขอมาร์การิต้าหนึ่งแก้ว”
จี้ตงหมิงกลับมาดูหลังจากเลิกงาน จึงมาช่วยชงเครื่องดื่ม แต่ว่าทักษะยังไม่ดี “ประธานเกา คุณมั่นใจว่าจะให้ผมทำให้”
เกาจิ่งอานสะดุ้ง เกือบหัวใจวายแล้ว ตอนนี้แค่อยากดื่มลดความตกใจ “ชงไม่อร่อยก็ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่ไม่จ่ายเงิน”
จี้ตงหมิงชงเหล้าและบ่นไปพลาง “พูดยังกับชงดีแล้วจะจ่ายเงินเลยนะครับ”
เกาจิ่งอานไม่ได้ใส่ใจ ยกโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสาย “ทำอะไร พี่กำลังดื่มเหล้า ออกมา”
ไม่รู้อีกฝ่ายพูดอะไร เกาจิ่งอานกดวางสายไปแล้ว “เถ้าแก่จี้ มีเหล้าที่ดื่มเข้าไปแล้วอาเจียนออกมาเป็นเลือดแบบนั้นไหม”
จี้ตงหมิงชงเหล้าเสร็จแล้วยื่นให้เขา “ดื่มอึกเดียวแล้วอาเจียนเป็นเลือด นั่นไม่ใช่เหล้าแล้ว นั่นมันสารหนูครับ ต้องขอโทษด้วย ที่นี่ไม่ใช่ร้านยา กลับไปคุณก็ลองให้พี่สะใภ้เบิกยาจากโรงพยาบาลให้คุณ ถ้าเธอยอมให้”
งั้นก็ช่างเถอะ ถ้าแบบนั้นคนที่ตายก่อนคงจะเป็นเขา
ขณะกำลังดื่มเหล้า หวังเค่ยก็สวมชุดสูทเดินเข้ามา มองเห็นเกาจิ่งอาน โบกมือให้ ยิ้มอ่อนโยนทักทายจี้ตงหมิง “ช่วงนี้ธุรกิจเป็นไงบ้างครับ”
ที่แท้คนที่เกาจิ่งอานชวนคือพี่เขยของตนเองงั้นเหรอ
ที่แท้จะสั่งเครื่องดื่มที่แย่ที่สุดเพื่อพี่เขยของตัวเอง ไอ้เด็กคนนี้เหล้าขึ้นสมองแล้วหรือยังไง
จี้ตงหมิงชงเหล้าให้หวังเค่ย ยิ้มรับ “ขอแค่น้องชายคนนี้ของคุณไม่มาเป็นลูกค้า ธุรกิจของผมก็ไปได้ดีเลยครับ”
หวังเค่ยนั่งลงบนเก้าอี้สูง “ไม่เป็นไรครับ ต่อไปถ้าเขามาดื่มก็ลงบัญชีผมไว้เลยครับ สิ้นปีผมจะมาจ่ายให้”
เกาจิ่งอานถือแก้วเหล้าเอาไว้ เหลือบตามอง สายตามาดร้ายอย่างไม่ปิดบัง “บอกมา พี่สาวผมทำไมร้องไห้”
วันนี้เลิกงาน เขาตั้งใจพาโจวโร่หลินไปทานข้าวกับพี่สาว แต่เมื่อไปถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงเกาหยิ่งจือร้องไห้ ร้องไห้หนักมาก
เกาหยิ่งจือไม่อยากพบพวกเขาในสภาพนั้น หวังเค่ยจึงให้พวกเขากลับไปก่อน
เกาจิ่งอานยิ่งคิดยิ่งโกรธ เกือบจะเข้าไปต่อยเขาแล้ว แต่ไม่อยากให้พี่รู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ จึงต้องอดกลั้นเอาไว้
หวังเค่ยรับเหล้ามา ปกติเขาดื่มWarm night like spring เกาหยิ่งจือเองก็ชอบ แอลกอฮอล์ต่ำ รสชาติไม่แรงจนเกินไป เขาดื่มไปหนึ่งอึก สูดหายใจเข้าลึก “เรื่องนี้ ต้องโทษผม เป็นความผิดของผมเอง”
“คุณจะพูดมากทำไม แน่นอนว่าเป็นความผิดของคุณ หรือว่าพี่ผมเป็นคนผิดหรือไง”
จี้ตงหมิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ในใจนั้นรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนหวังเค่ย เฮ้ย เขาเป็นพี่เขยมันง่ายเหรอ ตระกูลกู้มีการมีงาน ไม่เคยมีประวัติเสียๆ หายๆ นับว่าเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง เป็นคนที่สามารถเอาออกไปยกย่องเชิดชูได้
เกาจิ่งอานเจ้าเด็กคนนี้ไม่รู้อะไรเลย
หวังเค่ยดื่มไปอึกใหญ่ด้วยความทุกข์ใจ มาคุยเรื่องครอบครัวในสถานที่แบบนี้คงไม่เหมาะ แต่มีแต่คนกันเอง คงไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้ว
เขาโคลงแก้วไปมา ก้มหน้าถอนหายใจ ยอมรับผิด “พี่สาวคุณอยากมีลูก”
“…” แก้วเหล้าของเกาจิ่งอานยังคงอยู่แบบนั้น ไม่ได้ส่งเข้าปาก “พี่สาวผมเหรอ”
เธอสูญเสียรังไข่ไประหว่างการรักษา ไม่สามารถมีลูกได้ ทำไม…
หวังเค่ยเงยหน้าขึ้น ดื่มลงไปรวดเดียว “คุณจี้ ผมขอวิสกี้แก้วหนึ่งครับ”
จี้ตงหมิงได้ยินแบบนั้น เริ่มกังวล เรื่องหนักเลยเหรอ “แรงไปไหมครับ…เรมี่มาร์ตินเป็นไง หรือเป็นเฮนเนสซี่”
หวังเค่ยชี้ไปยังวิสกี้ที่อยู่ในตู้ยิ้ม “คุณกลัวว่าผมจะไม่ได้เอาเงินมาเหรอ”
จะหมายความแบบนั้นได้ยังไงล่ะ
จี้ตงหมิงรินให้เขาหนึ่งในห้าส่วนของแก้ว
เขาอารมณ์ไม่ดี เวลาแบบนี้ เหล้าแรงเกินไปจะส่งผลเสียกับร่างกายได้ และสูญเสียการควบคุมได้ง่าย
เมื่อดื่มลงไป ความกดดันในใจหวังเค่ยก็เริ่มชินชาขึ้นมาบ้าง ทว่ากระบอกตายังคงแดงก่ำ ราวกับกำลังเก็บกักอะไรอยู่ น้ำเสียงขึ้นจมูก “พี่สาวคุณ…เธอจะให้ผม ไปทำ…เด็กหลอดแก้ว”