ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 1178
บทที่ 1178 (ตอนจบ9) ฆ่าตัวตาย จากไป
สัมภาระของคุณนายหลินได้เตรียมไว้ก่อนแล้ว น่าแปลกก็คือ เธออยู่ที่นี่มายี่สิบกว่าปี กระเป๋ากลับมีแค่กระเป๋ายี่สิบสี่นิ้วใบเดียวและกระเป๋าถืออีกหนึ่งใบ
หลินซีเหวินช่วยเธอถือกระเป๋า ถูกเธอปฏิเสธ ให้เธอดูแลตัวเองดีๆ ก็พอ ไม่ต้องมาเหนื่อย
“หม่ามี๊ ของของคุณล่ะคะ”
คุณนายหลินมีเครื่องประดับและของราคาแพงมากมาย ในบ้านมีห้องเก็บเครื่องประดับ กระเป๋าและรองเท้าราคาแพงโดยเฉพาะ ด้านในนั้นถูกวางจนเต็ม มีบางอย่างที่หลินเหว่ยเย่ซื้อให้ ส่วนใหญ่เป็นเธอที่ซื้อเอง หนึ่งในนั้นมีไม่กี่ชิ้นที่เธอชอบมาก เป็นของที่พบเจอได้แต่ไม่สามารถเรียกร้องหามันได้
คุณนายหลินยกกระเป๋ามาวางไว้ใกล้ประตู ก้มลงเปลี่ยนรองเท้า ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ต่อที่นี่เลยแม้แต่น้อย “ของพวกนั้นเอามาทำไม หม่ามี๊ดูเป็นผู้หญิงที่ต้องเรียกร้องหาแต่แบรนด์เนมถึงจะมีชีวิตอยู่ได้เหรอ หรือหนูคิดว่าหม่ามี๊เป็นคนไม่มีรสนิยมจนต้องเอาของพวกนั้นมาประดับตัวถึงจะออกจากบ้านได้”
หลินซีเหวินไม่ได้หมายถึงแบบนั้น แต่ในเมื่อเธอพูดแบบนี้ เธอจึงไม่ถามต่อ “บนตัวหม่ามี๊มีออร่ายิ่งกว่าเครื่องประดับราคาแพงบนโลกนี้อีกค่ะ เราไม่จำเป็นต้องมีของพวกนั้นหรอก”
คุณนายหลินเปลี่ยนเป็นชุดวอร์มแขนสั้นสีขาว สวมรองเท้าผ้าใบสีขาวอีกคู่ ลบล้างภาพลักษณ์ที่ต้องนั่งอ่านเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงานโดยสิ้นเชิง
“หม่ามี๊ ต่อไปนี้ไม่ต้องไปสวมชุดทำงานเข้มๆ ล้าสมัยพวกนั้นเลยนะคะ สวมชุดที่แม่อยากจะสวม แบบนี้สิถึงจะดูสาวและสวยด้วย”
คุณนายหลินดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ใบหน้าไม่มีรอยย่นแม้แต่น้อย ถ้าเธอไม่ยิ้ม แม้แต่รอยที่หางตาก็ยังไม่มี อายุขัยช่างรักเธอซะเหลือเกิน
คุณนายหลินเคาะหน้าผากลูกสาว “ปากหวานจริงๆ หม่ามี๊มั่นใจในตัวเองมาก หนูไม่พูดหม่ามี๊ก็รู้”
“ใช่ค่ะ หม่ามี๊สวยที่สุดเลย”
ห้องรับแขก หลินเหว่ยเย่นั่งอยู่บนโซฟาคนเดียว ไม่ได้หันกลับมามอง สายตาไม่ได้บ่งบอกว่ากำลังมองอะไร ท่าทางเหน็ดเหนื่อยและเกียจคร้าน
หลินซีเหวินก้มหน้า สับสนอยู่ในใจ “หม่ามี๊ คุณไม่รักแดดดี๊อีกแล้วเหรอคะ”
สาวใช้วิ่งเข้ามา ยิ้มให้กับคุณนายหลิน มองเห็นเธอยกกระเป๋าลงบันได
คุณนายหลินมองไปยังห้องรับแขกนิ่งๆ หันกลับไปมองท้องฟ้า วันนี้อากาศดี ราวกับมีวันใหม่ๆ เฝ้ารอต้อนรับเธออยู่ไม่ไกล
“อะไรคือรัก อะไรคือไม่รัก ผิดหวังมาพอแล้ว จะเลิกแล้ว ความรักแบบนี้ บางทีมันอาจจะหายไปตั้งนานแล้ว”
พวกเธอเดินมาถึงทุกวันนี้ ใครจะรู้ว่าเพราะอะไร
ความรัก สัญญา หรือเพราะความเคยชินของการอยู่ด้วยกัน
จากนิสัยของแม่ การตัดสินใจของเธอไม่มีใครเปลี่ยนได้ ดังนั้นหลินซีเหวินจึงไม่สาวความยาว และไม่อยากยุ่งเรื่องการแต่งงานของพวกเขา
ทุกคนต่างก็รู้ว่าต้องคิดบัญชียังไง ใครก็ไม่อยากติดหนี้ใคร
“ตอนนี้คุณจะไปที่ไหนคะ คงไม่ใช่โรงแรมหรอกใช่ไหม”
โง่จริงๆ เมื่อสักครู่ทำไมไม่คิดถึงเรื่องนี้
คุณหลายหลินกอดอก ถามเงียบๆ “หนูคิดว่าหม่ามี๊จะไปไหน อยู่ที่จิงตูยังมีญาติที่ไหนอีกไหม”
ด้วยสติของหลินซีเหวิน มึนงงแล้ว
“หม่ามี๊ ไปอยู่กับหนูก่อน หนูกับหลงเจ๋อยังไม่ทันได้ดูแลหม่ามี๊ดีๆเลยสักครั้ง ถือว่าให้โอกาสเรานะคะ”
“หม่ามี๊ไม่เสียแรงเลี้ยงหนูจริงๆ ”
เหลือบตามองไปทางโซฟา คุณนายหลินเดินออกมา “ยังอยากคุยอะไรกับเขาไหม ไปเถอะ ฉันจะไปรอบนรถ”
พูดอะไรล่ะ
เมื่อก่อนเธอเจอเขาก็ต้องออดอ้อน ไม่ว่าอะไรก็ยอมคุยกับเขา แต่ตอนนี้ ไม่รู้จะคุยอะไรเลย
ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นที่สุด แต่กลับเอื้อมไม่ถึง
หลินซีเหวินลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ก็อดไม่ได้
“แดดดี๊ ในเมื่อพี่ใหญ่เลือกที่จะให้โอกาสคุณ ฉันก็ไม่อยากให้คุณลำบากใจ จากนี้คุณยังเป็นพ่อของหนู ถ้ามีอะไรลำบากก็มาหาหนูได้นะคะ”
หลินเหว่ยเย่หน้านิ่ง ใบหน้าไร้ความรู้สึก ราวกับปิดการรับรู้ทุกอย่างแล้ว ปิดตัวเองจากโลกทั้งใบ
หลินซีเหวินพบว่าผมของเขาเริ่มขาว แซมอยู่จำนวนหนึ่ง บ่งบอกถึงอายุของเขา
“เราไปแล้ว ดูแลตัวเองด้วยนะคะ”
เท้าขยับเล็กน้อย หลินซีเหวินเจ็บปวดอยู่ในใจ หรือว่าความเป็นพ่อลูกนั้น จบลงแบบนี้เหรอ
บ้านหลังนี้ให้ความสุขเธอมากแค่ไหน ดีใจมากแค่ไหน มันจบแล้วเหรอ
มือของหลินเหว่ยเย่วางอยู่บนเข่า นิ้วสั่นเทา “ซีเหวิน หนูโกรธฉันมากใช่ไหม”
“ไม่ได้โกรธค่ะ แค่ผิดหวัง แดดดี๊ที่หนูรักที่สุด…”
เธอแสบจมูกขึ้นมา รีบกลืนคำพูดนั้นลงไป
เคย ฉันนึกว่าคุณคือพ่อที่ดีที่สุดในโลก สิ่งที่คุณทำทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ถูก คำพูดทุกอย่างที่คุณเคยพูดหนูจำมันได้หมด คุณเป็นต้นแบบของหนู เป็นร่มที่คอยปกป้อง
แต่ต่อมาพึ่งรู้ว่า พ่อของหนูก็ทำผิด และทำเรื่องที่ทำให้หนูต้องผิดหวัง
ต้นแบบพังทลาย ปวดใจมากจริงๆ
หลินซีเหวินเงยหน้าขึ้น ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ “แดดดี๊ หนูยังรักคุณเสมอนะคะ”
……
หลินซีเหวินขึ้นรถ นั่งอยู่ที่นั่งด้านหลังกับแม่
คุณนายหลินบอก “คฤหาสน์หลังนี้จะถูกขายแล้ว ต่อไปนี้กลับมาที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว”
หลินซีเหวินนึกถึงคำพูดที่เธอโกหกหลงเจ๋อ
“บ้านฉันอยู่ที่ชนบท”
เรื่องราวที่ผ่านไปเหมือนควัน การเวลาผ่านไปราวกับสายน้ำ
ไม่คิดว่ามันจะผ่านไปนานแล้ว เร็วจริงๆ
“คุณลุงหวัง ออกรถเถอะค่ะ”
รถขับออกไปไม่ช้าไม่เร็ว ยามค่ำคืน แสงไฟสาดส่องสว่างไปยังถนน เงาต้นไปค่อยๆ ผ่านไป บรรยากาศที่คุ้นเคยค่อยๆ ห่างออกไป จางออกไปจากสายตา
……
ตอนที่รับโทรศัพท์จากหลินซีเหวิน หลงเจ๋อกำลังศึกษายาตัวใหม่กับฝ่ายการตลาด
เขายื่นมือออกไป บอกพนักงานหยุดพูดชั่วครู่ อีกฝ่ายปิดปากเงียบ
“ที่รัก มีอะไรหรือเปล่า”
เมื่อสักครู่ยังเคร่งขรึมอยู่เลย ตอนนี้รอยยิ้มกลับเผยออกมาแล้ว
พนักงานแสร้งทำเป็นหูหนวก ตั้งใจอ่านเอกสาร รอเจ้านายคุยกับภรรยา
“แดดดี๊กับหม่ามี๊ของฉันแยกทางกันแล้ว ช่วงนี้หม่ามี๊จะมาอยู่กับเรา คุณไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ”
น้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่า คุณลองมีปัญหาดูสิ
“แยกทางเหรอ กะทันหันขนาดนั้นเลย แล้วพ่อของคุณล่ะ” น้ำเสียงของหลงเจ๋อเปลี่ยนทันที แปลกใจเป็นอย่างยิ่ง เขาคิดไม่ถึง หลินเหว่ยเย่หย่าร้างแล้วงั้นเหรอ
เป็นสามีภรรยาแล้ว ก็ต้องมีความผูกพัน ทำไมบอกจะเลิกก็เลิกแบบนี้เหรอ
หลินซีเหวินเองก็ไม่คิดจะอธิบายให้เขาฟังผ่านทางโทรศัพท์ จึงบอก “อยู่บ้าน เขามีแผนของเขา ฉันไม่รู้หรอก ตอนนี้ฉันกับหม่ามี๊พูดอะไรเขาก็ไม่ฟังหรอก”
หลงเจ๋อถามด้วยความกังวล “ซีเหวิน ช่วงนี้พ่อคุณถูกโจมตีไม่น้อยเลย คุณวางใจให้เขาอยู่คนเดียวเหรอ”
“ฉันรู้ว่าช่วงนี้เขาเหนื่อยมาก แต่ใครใช้ให้เมื่อก่อนเขาไปทำเรื่องแบบนั้นกันล่ะ หรือจะให้ฉันเฝ้าดูเขาเหรอ แดดดี๊ฉันฉลาดจะตาย เขาไม่ทำอะไรสุดโต่งหรอก”
บอกได้เพียง คนที่น่าสงสารก็มักจะมีจุดที่ควรโกรธ
แต่คำพูดนี้เธอฐานะที่เป็นลูกสาวคงพูดมันออกมาไม่ได้
เขาอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ยอมเอ่ยขอโทษสักนิด ใจแข็งเป็นที่สุด
“คุณกลับบ้านไปกับหม่ามี๊ก่อน เดี๋ยวผมเสร็จงานแล้วจะไปดูพ่อคุณให้”
หลินซีเหวินยกโทรศัพท์ออกมาดูเวลา “เวลานี้แล้วทำไมยังทำงานอยู่ คุณขยันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เท่าที่จำได้หลงเจ๋อทำงานล่วงเวลาน้อยมาก ช่วงนี้ทำงานหนัก ทำงานล่วงเวลาอยู่ที่บริษัทบ่อยๆ
หัวหน้างานที่อยู่ตรงหน้าราวกับได้ยินอะไร ถูกกระตุ้นขึ้นมา ใช่ เจ้านายจะขยันคนเดียวก็พอแล้ว ยังลากเขามาทำงานล่วงเวลาด้วยกัน ลูกเมียยังรออยู่ที่บ้านอีกนะ ไม่คิดถึงความสุขของครอบครัวเขาหน่อยเหรอ
หลงเจ๋อกระแอม “ช่วงนี้มียาตัวใหม่จะออกสู่ตลาด ผมอยากเห็นความนิยมของตึกหยวนชิว”
ความนิยมคือโกหก กลับบ้านไปเฝ้าภรรยาแล้วได้อาบแต่น้ำเย็นนั่นคือเหตุผลที่แท้จริง เขาเป็นพระมาหลายเดือนแล้ว ใครจะเข้าใจความลำบากของเขาบ้าง
เมื่อวางสาย ทั้งสองต่างก็ยุ่งต่อไป
เวลาเดียวกัน โรงพยาบาลหวาเซี่ย
หลังหลินซีเหวินลาคลอด งานของลั่วหานก็เพิ่มขึ้น เวรดึกก็มีมากกว่าแต่ก่อน
วันนี้เธอเวรดึก เมื่อตรวจเสร็จ หมอหลายคนนั่งอยู่ที่ห้องชงเครื่องดื่ม
ส้งชิงเซวี๋ยนเปิดบทสนทนา “เสี่ยวลั่วลั่ว ว่ากันว่าโรงพยาบาลของเราจะเปิดสาขาแล้ว เป็นเรื่องจริงเหรอ”
ลั่วหานเป่าดอกมะลิที่ลอยอยู่บนผิวน้ำในแก้วของเธอ จิบเบาๆ “ได้ยินมาบ้าง แต่ยังเลือกสถานที่อยู่ คณะกรรมการของMBKยังไม่ทันได้ผลสรุปออกมา”
หวาเทียนชงกาแฟเสร็จกลับมา สะบัดชุดกาวน์สีขาวแล้วนั่งลง ยกขายาวขึ้นไขว่ห้าง “ถ้าเปิดสาขาจริงๆ ต้องส่งหมอไปประจำใช่หรือเปล่า ศัลยกรรมหัวใจและศัลยกรรมประสาทต่างก็เป็นแผนกใหญ่ จากที่ผมดู อย่างน้อยก็ต้องส่งสองคน รองผู้อำนวยการเหรอ ไม่ได้แน่นอน ดังนั้น…”
ลั่วหานกลอกตา สายตาเย็นเยือกมองเหลือบมองเขา “คุณคิดว่าฉันจะไปเหรอคะ”
งั้น หลงเซียวคงยอมไม่เปิดสาขา
“นั่นเป็นไปไม่ได้แน่นอน แต่ลองคิดดูสิ แพทย์อาวุโสนอกจากคุณกับรองผู้อำนวยการแล้ว ก็คงเหลือแค่…แค่ก แค่ก”
งั้นก็หมายความว่า ผมน่ะสิ
ส้งชิงเซวี๋ยนใช้เท้าถีบเก้าอี้ของเขา “เสี่ยวลั่วลั่วกับซวงซวงเป็นพี่น้องที่ดี นายไม่กลัวเธอจะได้ยินเข้าหรือยังไง นายอยากย้ายหรือยังไง”
ย้ายอะไรลั่วหานไม่เคยคิดมาก่อนเลย แต่หวาเซี่ยจะเปิดสาขาใหม่ เธอก็ใส่ใจ กลับไปจะลองคุยกับหลงเซียวหน่อย
“ครึกครื้นจังเลย ผมขอร่วมด้วยสิ”
เมิ่งชีโจวเดินเข้ามา ถือกระบอกแก้วน้ำใส ด้านในมีสีแดงของน้ำเก๋ากี่ เขายืนพิงประตู ไขว้ขายาวเอาไว้
“เสี่ยวเมิ่ง นายเป็นคนที่ไหน”
หวาเทียนถาม
เมิ่งชีโจวเลิกคิ้วขึ้น “เมืองปิงไง เมืองที่ประชากรมีความสุขที่สุด ศูนย์กลางแห่งภาพยนตร์ ทำไมครับ อยากซื้อบ้านเหรอ”
เมืองปิงงั้นเหรอ
ลั่วหานนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ “การแพทย์ของพวกคุณที่นั่นเป็นยังไงบ้าง”
“เรื่องนี้เหรอ…คุณหมอฉู่ ผมหนีจากบ้านเกิดมาไกลขนาดนี้ คุณไม่รู้เหตุผลเหรอครับ”
เมิ่งชีโจวท่าทางน่าสงสาร
ความจริง การแพทย์ของเมืองจิงตูนั้นมีโรงพยาบาลแพทย์ที่ดีที่สุด การรักษาเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ อุตสาหกรรม การเงิน อสังหาริมทรัพย์และภาพยนตร์นั้นเมืองปิงไม่เป็นสองรองใคร ทว่าด้านการแพทย์ยังคงเฝ้ารอการพัฒนา
เป็นตัวเลือกที่ดีในการลงทุน
ฝั่งนี้กำลังพูดคุย ประชาสัมพันธ์ของห้องฉุกเฉินก็ดังขึ้น…
“คุณหมอฉู่ คุณหมอหวาเทียน ศัลยกรรมหัวใจ ช่วยมาที่ห้องฉุกเฉินในตอนนี้ด้วยค่ะ คุณหมอฉู่ คุณหมอหวา รีบมา…”
ลั่วหานรีบวางแก้วน้ำ ขาเรียวยาวสาวเท้าออกไปในทันที คว้าหูฟังแพทย์แล้วพุ่งไปยังลิฟต์
หวาเทียนและเมิ่งชีโจวเองก็เดินตามไป ทั้งสามวิ่งไปตามทางเดินอย่างรวดเร็ว เหล่าพยาบาลต่างพากันหลบอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อขึ้นลิฟต์มา โทรศัพท์ของลั่วหานก็ดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมา “ว่ามา”
ปลายสายนั้นเป็นเสียงของหลงเจ๋อ “พี่สะใภ้ หลินเหว่ยเย่ฆ่าตัวตาย พ่อบ้านบอกว่าส่งไปที่โรงพยาบาลพี่ พี่เห็นรึยัง”
ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ
หรือว่า…
“นายรีบมาที่โรงพยาบาล อย่าพึ่งบอกซีเหวิน”