ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 432
ตอนที่ 432 เลือกวิธีตายมาสักอย่างสิ
เจิ้งซิ่วหยาครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นจึงบอกความจริงทั้งหมดออกมา “คุณหมอฉู่คะ พวกเราได้รับจดหมายด่วนจากสหรัฐอเมริกา ในเนื้อหาได้ให้หลักฐานมากมายที่เอื้อต่อความคืบหน้าของคดี หลังจากการสืบสวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเราพบว่าคนที่ถูกยิงเสียชีวิตล้วนรู้จักเก่ากับศาสตราจารย์ส้งทั้งสิ้น”
ลั่วหานนิ่งเงียบ เธอตั้งใจฟังและพูดออกมาว่า “และเรื่องเหตุการณ์ล่าสุดนี้ดูเหมือนเป็นการตั้งใจ และผู้ถูกกระทำในครั้งนี้ก็คือเขา ดังนั้นพวกคุณจึงได้สงสัยว่าเขาจะเกี่ยวข้องกับทั้งสองคดีงั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง ตอนนี้เราสงสัยว่าผู้บงการของทั้งสองคดีต้องเกี่ยวข้องกับศาสตราจารย์ส้งแน่นอน ดังนั้นเราจึงหวังว่าศาสตราจารย์ส้งจะสามารถช่วยเราได้”
ลั่วหานหนักใจ เธอนำมือจับคางและยิ้มขึ้น “เรื่องนี้ง่ายมาก คุณสามารถติดต่อเขาได้โดยตรง ตอนนี้เขาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและอาจเดินทางจากสหรัฐอเมริกามาช่วยเราก็ได้ ถ้าหากจำเป็นฉันสามารถช่วยคุณติดต่อเขาได้”
“โอเค เยี่ยมมากเลยค่ะ เราติดต่อศาสตราจารย์ส้งไม่ได้ มือถือของเขาโทรไม่ติด และฉันกลัวว่าจะเป็นการรบกวนเขาทำให้เขาไม่พอใจได้ ขอบคุณมากนะคะที่คุณเต็มใจจะช่วยเรา นอกจากนี้ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ ”
ลั่วหานเดินออกจากลิฟต์ เธอไม่ได้ตรงไปยังห้องผู้ป่วย แต่กลับเดินไปยังระเบียงที่ปลายสุดของทางเดิน “โอเคค่ะ คุณพูดได้ ฉันจะให้ความร่วมมือกับคุณในการสอบสวน”
——
คฤหาสน์ตระกูลเสิ่น
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือทำลายความเงียบสงัดในห้องที่สงบ จ้าวฟางฟางสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัวเมื่อได้ยินเสียงนั้น เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างประหม่า หน้าจอปรากฏหมายเลขที่ไม่คุ้นเคย
เป็นการโทรทางอินเตอร์เน็ต
จ้าวฟางฟางกลืนน้ำลายลงคอ เธอกำหน้าอกของตัวเองเพื่อไม่ให้ตื่นตระหนกไปมากกว่านี้ เธอหวาดระแวงมากหลังจากได้รับของขวัญจากหลงเซียว จ้าวฟางฟางสองวันมานี้อยู่ในอาการหวาดกลัวกระทั่งไม่กล้าแม้แต่จะออกจากประตูบ้าน
เธอปัดหน้าจอเพื่อรับสาย และถามด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “ใคร?”
ฝ่ายตรงข้ามถามด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “จ้าวฟางฟาง สองวันมานี้เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม?”
จ้าวฟางฟางเบิกตาโต สีหน้าซีดลงทันที “แกเป็นใคร? รู้จักเบอร์มือถือฉันได้ยังไง?!”
จางหย่งเอนกายลงบนโซฟาอย่างสบาย และโยนถั่วที่ปอกเปลือกแล้วเข้าปากของเขา “ผมเป็นใคร? ผมก็เป็นคนที่ทำให้คุณเซอร์ไพรซ์ไงล่ะ! ของขวัญที่คุณได้รับครั้งที่แล้วน่าตื่นเต้นดีไหม?”
จ้าวฟางฟางขาอ่อนทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาหายใจหอบ “แกกำลังจับตาดูฉัน?แกแอบถ่ายรูปฉัน? แกกำลังพยายามทำอะไรกันแน่? จุดประสงค์ของแกคืออะไร แกต้องการเงินเท่าไหร่?”
“ไม่ๆๆๆ! ผมไม่สนใจเรื่องเงินทองหรอกนะจ้าวฟางฟาง ผมได้ยินมาว่าคุณกำลังต่อสู้เพื่อสิทธิ์การเลี้ยงดูลูกสาว ผมว่าคุณถอดใจเถอะนะ คนอย่างคุณอย่าไปทำร้ายเด็กจะดีกว่า ลูกสาวของคุณไม่ต้องการแม่แบบนี้แน่!”
จางหย่งยังคงกินถั่วอย่างสบายๆ เขาพูดเพียงเบาๆ แต่ทุกคำที่ออกจากปากนั้นทำร้ายจิตใจจ้าวฟางฟางยิ่ง เธอตัวสั่นราวกับถูกฟ้าผ่า “แก……แกเป็นคนของหวังเค่ยใช่ไหม?”
“ไม่ๆๆๆ ผมเป็นตัวแทนแห่งความยุติธรรมไง อย่าพูดเรื่องไร้สาระให้มากความ ผมสำรองรูปภาพของคุณไว้จำนวนมากเชียวนะ ผมจะให้เวลาคุณสามชั่วโมง ล้มเลิกแย่งสิทธิ์การเลี้ยงดูลูกสาวของคุณซะ! ไม่เช่นนั้นผมจะเผยแพร่ภาพเหล่านี้ของคุณในที่สาธารณะ ถึงเวลาผมจะคอยดูว่าเสิ่นคั่วจะจัดการคุณยังไงดีนะ”
“แก……แกจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ! นี่มันผิดกฎหมาย!”
“อ๋อเหรอ งั้นผมจะลองดูแล้วกันนะ ผมให้เวลาคุณเพียงแค่สามชั่วโมง เกินแม้แต่วินาทีเดียวผมก็ไม่รอ ก็ไม่ใช่ลูกผมนี่! ใครจะรับไปเลี้ยงมันก็ไม่เกี่ยวกับผมสินะ แหม อยากรู้จริงๆว่าถ้าเสิ่นเหลียวเห็นเมียสาวตัวเองกับผู้ชายคนอื่น……เหอะๆ!”
เมื่อสายถูกวางลง จ้าวฟางฟางก็ทรุดลงไปกองที่พื้น เธอสั่นสะท้านไปทั้งตัว มองดูมือถือนั้นและกำมือแน่น
เธอกลัวว่าสิทธิ์ในการดูแลของลูกสาวของเธอน่าจะไม่สามารถแย่งมาได้แล้ว แต่ถ้าแย่งมาไม่ได้ อาการป่วยของลูกชายจะเป็นอย่างไร? ถ้าลูกชายของเธอเสียชีวิตเธอจะอยู่ในตระกูลเสิ่นได้อีกนานแค่ไหน?
เพียงแค่ได้สิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกสาวมา เธอก็จะสามารถช่วยลูกชายได้!
ชีวิตของลูกชายเธอต้องได้รับการช่วยเหลือ เธอจึงจะมีสิทธิ์อยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป เธอต้องการทุกสิ่งทุกอย่างจากที่นี่! ต้องการทั้งตระกูล!
จ้าวฟางฟางกัดฟันของและกำนิ้วของเธอแน่น แต่……
หากเสิ่นเหลียวรู้เรื่องพวกนี้ของเธอเข้า เธอก็ตายแน่ๆ
เมื่อคิดได้ดังนั้น จ้าวฟางฟางก็หยิบมือถือขึ้นมา
หลังจากรับสาย หวังเค่ยได้พูดคุยเกี่ยวกับปัญหาการหมุนเวียนเงินทุนในสำนักงานของไป๋เวย
และเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ทำให้การสนทนาระหว่างทั้งสองคนชะงักลง
ไป๋เวยยิ้มและพูดว่า “คุณรับสายเถอะค่ะ ฉันขอดูรายงานต่อสักหน่อย”
“ครับ”
หวังเค่ยมองดูหน้าจอมือถือปรากฏชื่อที่บันทึกไว้และรีบรับสายทันที “จ้าวฟางฟาง ในที่สุดคุณก็ปรากฏตัวเสียทีนะ ใกล้จะขึ้นศาลแล้ว คุณอย่ามาทำเจ้าเล่ห์กับผมจะดีกว่า สิทธิ์การเลี้ยงดูลูกผมจะต้องได้มันมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!”
จ้าวฟางฟางยิ้มอย่างเยือกเย็น “หวังเค่ย อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องไปหน่อยเลย แกทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง! เลว! หน้าด้าน! แกอยากได้สิทธิ์การเลี้ยงดูลูกไม่ใช่เหรอ? ได้! ฉันให้แก!”
อะไรกัน?
หวังเค่ยตกตะลึงกับความคิดที่เปลี่ยนไปของเธอ เขาถามกลับไปว่า “คุณยอมแพ้แล้วงั้นเหรอ?”
“ใช่! ฉันยอมแพ้ ฉันแม่งยอมแพ้แล้ว! เหอะๆ หวังเค่ย ฉันคิดไม่ถึงจริงๆว่าแกจะทำเรื่องต่ำๆแบบนี้ได้! เพียงแค่ได้ในสิ่งที่อยากได้ แกไม่ยอมรามือถึงขั้นนี้!”
หวังเค่ยไม่เข้าใจในคำพูดของเธอ “บ้าไปแล้วหรือไง? ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร แต่ในเมื่อคุณจะเลิกแย่งสิทธิ์การดูแลลูก คุณควรส่งเอกสารมาให้เร็วที่สุด ทำให้ทุกอย่างชัดเจน”
“แกรอไปเถอะ!”
ตู๊ดๆๆๆๆ!
จ้าวฟางฟางวางสายลง หวังเค่ยมองดูหน้าจอมือถือด้วยความไม่เข้าใจ แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของหลงเซียว เขาก็เข้าใจในทุกอย่าง
มองดูแล้วหลงเซียวน่าจะช่วยเขาอยู่เบื้องหลังแน่ๆ
ไป๋เวยเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เลยยิ้มและพูดว่า “เป็นยังไงคะ?มีเรื่องอะไรดีๆงั้นเหรอ?”
“ครับ มันเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ในที่สุดก็จบสิ้นสักที” หวังเค่ยวางโทรศัพท์ลงด้วยรอยยิ้มที่โล่งใจ
“ดีมากค่ะ เมื่อแก้ปัญหาได้แล้วเราสามารถทุ่มเทให้กับการทำงานได้เต็มที่สักที การดำเนินการขั้นต่อไปจะต้องใช้แรงงานจำนวนมาก เราจำเป็นต้องจัดระเบียบบริษัทใหม่ และต้องคำนึงถึงอุตสาหกรรมของตระกูลโม่ด้วย” ไป๋เวยกล่าวและปัดกองเอกสารขนาดใหญ่ส่งมอบให้เขา
“นี่คือกรอบที่เรากำลังจะทำ คุณหลงเซียวยังไม่ได้ตอบกลับมา”
หวังเค่ยหยิบมามองดูแล้วพูดว่า “เป็นการยากที่จะเปลี่ยนกรอบการทำงานทั้งหมด การปรับโครงสร้างองค์กรใหม่จะใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือน และขั้นตอนบางอย่างต้องได้รับการตรวจสอบตามกฎหมาย”
ขณะที่ทั้งสองคุยกัน กู้เยนเซินก็กลับมาจากด้านนอกและพูดขึ้นหลังจากเดินเข้ามาทางประตูว่า “เดาดูซิว่าผมได้อะไรมา?”
กู้เยนเซินยกถุงกระดาษในมือขึ้นและเขย่ามันสองสามครั้ง
ไป๋เวยชายตามองไปที่เขา “ได้อะไรดีๆมาคะ? อย่าทำเป็นอวดไปหน่อยเลย รีบเอามาดูเถอะค่ะ”
กู้เยนเซินวางเอกสารลงที่โต๊ะเธอ “ผมได้แผนสำหรับที่ดินที่ในการพัฒนา MBK ในเมืองหลวงมา”
“พระเจ้า ข้อมูลMBKคุณก็กล้าเหรอ? นี่คุณอยากตายหรือไง? ไม่กลัวว่าคุณหลงจะฆ่าคุณงั้นเหรอ?” เมื่อไป๋เวยได้ยินคำว่าMBKเธอก็หน้าซีดลงทันที
กู้เยนเซินกระโดดขึ้นไปนั่งบนโต๊ะทำงานของเธอ “ไม่ใช่โครงการที่คุณชายลงรับผิดชอบสักหน่อย แต่เป็นหลงยี่ การที่หลงถิงให้หลงยี่จัดการเรื่องสำคัญขนาดนี้ พวกคุณไม่คิดว่าแปลกไปหน่อยเหรอ? อีกทั้งคุณชายหลงกับหลงยี่ไม่ถูกกัน ตอนนี้คุณชายหลงไม่อยู่ที่เมืองหลวง เขาอยากจะเข้าไปแทนที่หลงเซียว พวกเราก็น่าจะเล่นกับเขาแทนหลงเซียวหน่อยเป็นไง?”
ไป๋เวยหยิบเอกสารขึ้นมาเปิดออกดู “อืม คุณพูดแบบนี้แล้วละก็ เราเล่นกับเขาสักหน่อยคงจะสนุกดี!”
——
หลังจากที่ลั่วหานคุยกับเจิ้งซิ่วหยาเกี่ยวกับสถานการณ์ของส้งชิงเซวี๋ยนเรียบร้อยแล้วก็วางสายโทรศัพท์ลง และชุดสีขาวสะอาดนั้นก็ตรงไปที่ห้องผู้ป่วย
ร่างสง่างามของเธอเดินไปถึงหน้าห้อง เมื่อเธอกำลังจะเดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงร้องไห้ออกมา ตามมาด้วยเสียงด่าทออันโมโห
ช่างไม่น่าฟังเอาเสียเลย
“อย่ามายุ่งกับฉันนะ! พวกแกอย่ามาแส่ไม่เข้าเรื่อง! ออกไป! ไสหัวออกไป!!”
“แกช่วยฉันทำไม? ให้ฉันตายๆไปซะที! ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว! ให้ฉันตายซะที!”
“ฮือๆ! ฉันอยากตาย! ฉันไม่อยากอยู่แล้ว! ไอ้สาระเลว! พวกแกมันเลวทุกคน! กรี๊ด!!!”
ลั่วหานยืนอยู่ด้านนอกประตู ขาข้างหนึ่งกำลังจะก้าวเข้าไป ทันใดนั้นของสีดำบางอย่างก็ลอยเข้ามาทางศีรษะของเธอจนเกือบชนใบหน้า ลั่วหานเบี่ยงตัวไปทางซ้ายเพื่อหลีกมัน ปรากฏว่ารองเท้าสีดำนั้นหล่นกระแทกพื้นเสียงดัง
“เกิดอะไรขึ้น?”
ลั่วหานเดินเข้ามาด้านใน ของภายในห้องถูกเธอเขวี้ยงปาจนเละไม่เป็นท่า สายน้ำเกลือกองอยู่ที่พื้น ผ้าห่มก็เช่นกัน อีกทั้งแจกันหล่นแตกกระจาย
สภาพห้องตอนนี้คล้ายกับหลังเกิดแผ่นดินไหวอย่างไรอย่างนั้น
แพทย์ชายทั้งสองกดเธอคนนั้น เหงื่อของพวกเขาออกมาเต็มใบหน้าและพูดด้วยใบหน้าขมขื่นว่า “เธอไม่ยอมรับการรักษาของเราครับ เธอดิ้นต่อต้านและบอกว่าเธออยากตาย เราใส่สายน้ำเกลือให้เธอก็ดึงออกเอง ตอนนี้เธอไม่ยอมให้เราใส่สายน้ำเกลืออีก”
เมื่อหญิงสาวเห็นลั่วหานที่เดินเข้ามา ใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ “แกใช่ไหมที่ช่วยฉัน! แกช่วยฉันทำไม! ช่วยฉันทำไม! อย่ามาแส่ได้ไหม! ใครใช้ให้แกเข้ามายุ่ง!”
ลั่วหานนำมือทั้งสองข้างใส่ไว้ในกระเป๋าด้านข้าง และมองดูหญิงสาวคนนี้ หน้าตาเธอก็งดงามดี ดวงตาโต ตาสองชั้น จมูกโด่ง
“ใช่ค่ะ ฉันช่วยคุณไว้เอง ทำไมคะ? หรือฉันจะช่วยคนผิดไป?”
ลั่วหานเดินหน้าขึ้นมามองเธอด้วยสายตาเยือกเย็น สายตาทั้งสองคู่จ้องมองกันและกัน
หญิงสาวกัดฟันแน่น “อีบ้า โรคจิต! แกคิดว่าตัวเองเป็นหมอก็สามารถจัดการชีวิตคนอื่นได้งั้นเหรอ! ฉันไม่ได้ร้องขอให้ใครช่วยทั้งนั้น! ออกไป!!!”
ลั่วหานพยักหน้าไปทางแพทย์หนุ่มทั้งสองคน “ปล่อยเขาเถอะค่ะ”
“แต่ว่าตอนนี้เธอควบคุมตัวเองไม่ได้ อาจเกิดเรื่องตามมาทีหลังนะครับ”
“จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นค่ะ ด้วยความสามารถอันน้อยนิดของเธอจะไปทำอะไรได้? ปล่อยเธอไปค่ะ ฉันอยากจะเห็นจริงๆว่าคนที่ไม่กลัวความตายอย่างเธอจะทำอะไรได้ ปล่อยเธอไปค่ะ”
คุณหมอทั้งสองคนปล่อยแขนเธอลง เธอตรงไปยังหน้าต่างคล้ายจะกระโดดลงไป
ลั่วหาน ดึงเก้าอี้ออกมาและนั่งลงอย่างสบายๆ โดยขาของเธอไขว้กันอย่างเป็นธรรมชาติและสง่างาม “คุณต้องการฆ่าตัวตายใช่ไหม?ฉันขอแนะนำวิธีที่ดีในการตายให้คุณเอาไหม?”
หญิงสาวไม่ขยับตัวและมองไปยังลั่วหานที่นั่งอยู่ด้วยท่าทีที่สง่างามด้วยความไม่เชื่อในหูของตัวเอง “แก……พูดอะไรอยู่?”
ลั่วหานเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่แยแส “คุณไม่ได้ยินเหรอคะ? ฉันเป็นหมอ ฉันสามารถช่วยชีวิตคนได้ และรู้วิธีที่จะทำให้คนตายอย่างสบายๆ”
หญิงสาวยิ้มเยาะ “เหอะๆ! นี่คือสิ่งที่หมอควรจะพูดเหรอ!?”
“ทำไมคะ?คุณไม่ชอบฟังเหรอ?” ลั่วหานเปลี่ยนขาที่ซ้อนกันของเธอเพื่อนั่งสบายขึ้น
เธอกระซิบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและท่าทางเรียบเฉยว่า “คุณหน้าตาสวยงาม ถ้ากระโดดลงไปคุณจะตายอย่างน่าเกลียด ไม่แน่บางทีหัวของคุณจะแตกและสมองของคุณจะกระจายไปทั่วก็ได้ นี่คือชั้นที่สิบนะคะ จากหลักการแล้วคุณอาจไม่ตาย แต่อาจจะต้องพิการหรือกลายเป็นคนปัญญาอ่อนด้วยการที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมอง ”
หญิงสาวตกตะลึง และแพทย์ชายสองคนก็ยิ่งตะลึงมากกว่า
ลั่วหานกล่าวต่อว่า “หรือจะตายด้วยการฉีดยาดีคะ ค่อยๆตายจากพิษที่รุนแรงทำให้หัวใจของคุณค่อยๆหยุดเต้น……วิธีนี้สามารถทำให้ร่างกายของคุณไม่เสียหายได้ คุณเลือกวิธีตายมาสักอย่างซิคะ”