ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 437
ตอนที่ 437 เธอผอมเกินไป กอดแล้วมันไม่เต็มแขน
บริษัทสาขาย่อยของMBK ณ เมืองเจียงเฉิง
หลงเซียวจบการประชุมในช่วงเช้า ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงตรง
ชายหนุ่มออกจากห้องประชุมใหญ่ ขายาวก้าวไปห้องทำงานอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยถามขณะที่สายตามองตรง “อ่านตารางงานช่วงบ่ายให้ฉันฟัง”
เลขาเปิดตารางงานออก “ลงไปทานมื้อกลางวันกับประธานวัง หลังมื้อเที่ยงคนขับรถจะไปส่งคุณที่บริษัทชิงเฟิงพบท่านปู่เฉินเพื่อเจรจาเรื่องการลงทุนในขั้นต่อไป แผนของโครงการเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ประมาณห้าโมงเย็นเป็นอันเสร็จงาน มื้อค่ำคุณแพลนว่าจะนัดพบผู้จัดการใหญ่ของบริษัทยิงต๋ามีเดีย หลังอาหารค่ำ… ”
หลงเซียวฟังมาถึงตรงนี้จึงยื่นมือเข้าไปหยุดคำพูดของเลขา “จบที่กินข้าวกับคนของบริษัทยิงต๋า ที่เหลือเลื่อนไปเป็นพรุ่งนี้หลังแปดโมงเช้า เอาเอกสารก็อปปี้มา เดี๋ยวคืนนี้ฉันดู”
“ครับ ประธาน”
หลงเซียวเข้าห้องทำงานด้วยความเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขาดื่มกาแฟไปครึ่งแก้วเรียกพลัง พิงเข้ากับพนักเก้าอี้พักสายตาได้ไม่ถึงสิบนาที หวังเจี้ยนก็เปิดประตูเข้ามา “ประธาน รถพร้อมแล้วครับ อีกยี่สิบนาทีจะถึงเวลามื้อเที่ยงของคุณกับประธานวัง ตอนนี้ประธานวังถึงแล้วครับ”
หลงเซียวนวดหัวคิ้วเบาๆ “โอเค”
หวังเจี้ยนเห็นเจ้านายทุ่มสุดตัวขนาดนี้ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “ประธาน หรือจะให้ยกเลิกมื้อเที่ยงกับประธานวังไหมครับ คุณจะได้พักผ่อนสักหน่อย?”
บริษัทสาขาที่เมืองเจียงเฉิงซึ่งประธานสร้างขึ้นมากับมือ เหมือนว่าเขาจะไม่เคยได้พักเลย แม้แต่วันหยุดที่เต็มรูปแบบเพียงวันเดียวก็ยังต้องทำงานจนได้
เป็นคนของนาย ห้ามเจ็บห้ามตายจริงๆนั่นแหละ
หลงเซียวลุกขึ้นจัดแจงสูทกับไทให้เข้าที่ “ไม่ต้อง เคยเลื่อนนัดของประธานวังมาแล้ว จะเลื่อนอีกไม่ได้”
“ครับ ประธาน”
หลงเซียวเข้ามานั่งในรถ เสียงโทรศัพท์ก็ดัง
พอคำนวณเวลาดูแล้ว คงเป็นวันนี้สินะ อย่างที่คิดไว้เลย
ทันทีที่หลงเซียวกดรับสาย เสียงตื่นเต้นดีใจของกู้เยนเซินก็ดังขึ้น “คุณชายหลง พี่ของคุณนี่สุดๆไปเลยนะ! บังอาจงัดข้อกับเล่นคุณชายรองบ้านคุณซะด้วย!”
หลงเซียวขมวดคิ้ว นัยน์ตาสีดำฉายประกายเย็นเฉียบ “ทำไม?”
“หลงยี่คิดจะลงมือขณะดำเนินโครงการ แต่บังเอิ้ญบังเอิญ มีคนงานเห็นเข้าซะก่อน เหอๆ ความจริง คุณก็รู้… ผมก็แค่ทำหน้าที่เป็นตัวจุดชนวนให้นิดหน่อยก็เท่านั้น สรุปคือหลงยี่พูดว่าคนดูแลสูงสุดของโครงการนี้คือคุณชายรอง ชื่อบนหนังสือสัญญาเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นหลงจื๋อคุณเดาซิว่าเป็นไงต่อ?”
หลงเซียวกระดิกนิ้วเรียวสวยเป็นจังหวะลงบนหัวเข่า สงสัยจะถึงเวลาแล้วสินะ “เป็นไง?”
ไม่ต้องถามก็เดาได้แบบไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ฮ่าๆ! ใครบ้างไม่รู้ว่าพ่อของคุณปฏิบัติต่อคุณชายรองยังไง คุณชายรองในตอนนี้ถูกบ่มเพาะให้เป็นทายาทคนต่อไป หลงยี่กล้าลงมือกับเขา ก็เหมือนเป็นศัตรูกับพ่อคุณ เพราะงั้น… พ่อคุณที่กำลังโกรธจัดก็เลยสั่งถอดตำแหน่งผู้จัดการแผนกการตลาดของหลงยี่ออก ตอนนี้แผนกการตลาดวุ่นวายหนักมาก เพราะหลายคนแข่งกันแย่งชิงตำแหน่งนี้ คุณรู้ดี”
ขนตาเรียงขำขลับชี้ลงต่ำตามทิศทางของดวงตา แสงอาทิตย์อ่อนๆส่องใบหน้าของชายหนุ่มสว่างจ้า จนมองไม่เห็นความคิดและความรู้สึก
“แล้วหลงจื๋อล่ะ? ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง?”
ช่วงนี้จี้ตงหมิงกำลังยุ่งๆเรื่องทางฝั่งอเมริกา ความเปลี่ยนแปลงภายในMBKเขาเองก็เตรียมรับมือไม่ทัน แต่การที่มีกู้เยนเซินเข้ามาก็นับว่าไม่เลว
“จะเป็นยังไงได้ล่ะ? พ่อคุณโอ๋เขาซะขนาดนั้น ใครจะกล้าทำอะไรเขา? หมอนั่นสบายดี พ่อคุณก็แค่ด่าให้พอเป็นพิธี จริงๆแล้วไม่มีอะไรหรอก”
เสียงของกู้เยนเซินยังคงซ่อนความครื้นเครงไว้ไม่อยู่ แค่นึกว่าหลงยี่ต้องตกระกำลำบาก เขาก็โคตรแฮปปี้!
“อืม สงสัยจะใกล้ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับเมืองหลวงแล้วล่ะ ส่วนหลงยี่ฉันยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างต้องให้มันทำ”
“ชิท! มันเนี่ยนะ? ไม่รอดหรอก ต่อให้โครงการจะดีขนาดไหนแต่ขืนให้หมอนั่นทำ มีหวังเจ๊งหมด” แค่พูดถึงหลงยี่ กู้เยนเซินก็ไม่มีอะไรจะคอมเมนท์นอกจากคำว่า… โง่
หลงเซียวเข้าสู่ภวังค์ความคิด “ใช่ ให้มันเป็นคนทำ”
กู้เยนเซินรีบถามขึ้นอย่างสนอกสนใจ “คุณมีแผน? จะเอามันออกใช่ไหม?”
หลงเซียวยิ้มอ่อน “ไล่ออก นายก็พูดเกินไป ฉันทำดีกับคนในครอบครัวตัวเองจะตายไป”
กู้เยนเซินทำรูปปากสบถคำว่า “ฟัค! ” ค้างไว้ ไม่ออกเสียง
เมื่อวางสาย หลงเซียวโทรหาหลงถิงขณะที่สายตาก็มองนาฬิกา
ในเมื่อเรื่องที่ไม่คาดขึ้นเกิดขึ้นได้เวลาเหมาะเจาะขนาดนี้ งั้นก็เล่นมันทีเดียวไปเลยเถอะ
หลงถิงรับสายของหลงเซียว เขาเข้าใจว่าชายหนุ่มโทรมาเพื่ออยากจัดการโปรเจคที่อเมริกา “หลงเซียว ในที่สุดแกก็คิดได้สักทีนะ ฝั่งอเมริกาน่ะ…”
ทว่า ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ หลงเซียวก็พูดขึ้นเสียงเรียบ “ผมได้ใบอนุญาตแล้ว”
หลงถิงในชั่วขณะ เขาเงียบไปสิบกว่าวินาที แม้แต่เสียงลมหายใจผ่านไมโครโฟนก็เหมือนถูกอุดไว้
หลงเซียวยกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาลึกล้ำยากจะคาดเดาความคิด “ทำไมครับ? เหมือนพ่อจะไม่แฮปปี้สักเท่าไหร่”
หลงถิงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้สุดแรง ปากกาลูกลื่นในมือชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะขว้างมันลงกับโต๊ะเสียง “กึก” ผ่านไปสักพักเขาจึงพูดขึ้น “แกเอามาได้แล้ว? ทำไมแก…”
“พ่อกำลังจะพูดว่า ระดับความเข้มงวดอย่างเมืองเจียงเฉิง ผมคงไม่มีปัญญาเอามาได้?” หลงเซียวพูดสวน น้ำเสียงยังคงนิ่งเรียบจนอ่านความรู้สึกไม่ออก
“อะไรที่แกจะทำ แกคงมีวิธีของแกอยู่แล้ว ที่ผ่านมาแกก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง!” หลงถิงจับหน้าผาก ในใจหนักอึ้งราวกับมีคลื่นหลายชั้นทับถมลงมา
เขาได้มันมาแล้ว! เป็นไปได้ยังไง!
หลงเซียวพูดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ที่ผมบอกพ่อเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าหวังอยากจะได้คำชมหรืออะไรหรอก แต่ความสำคัญของโครงการที่เมืองเจียงเฉิงมันอยู่ตรงที่ ทั้งเงินลงทุนทั้งผลกระทบที่จะตามมามันส่งผลกับMBKมากที่สุดในตอนนี้ ผมกลัวว่าตัวเองจะรับภาระนี้ไม่ไหว ผมถึงยอมส่งต่อโครงการนี้”
หลงถิงแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เขาจับขอบโต๊ะพยุงตัวลุกขึ้น แล้วถามย้ำ “แกจะยอมปล่อยมือ?”
ระดับการทำงานอย่างหลงเซียว เขายอมปล่อยสิ่งที่อยู่ในมือตัวเองได้ยังไงกัน?
“ครับ การเตรียมงานทุกอย่างก่อนโครงการจะเปิดตัวผมวางแผนไว้หมดแล้ว หรือก็คือผมปูทางไว้ให้หมด ต่อไปก็แค่ทำตามขั้นตอนให้เกิดขึ้นจริงก็เท่านั้น งานก่อสร้างชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ผมว่าคนที่ทำธุรกิจอยู่ในยุโรปตั้งหลายปีอย่างพี่น่าจะมีประสบการณ์มากกว่า ดังนั้นผมจะส่งต่อโครงการให้เขา กำไรที่จะได้ระหว่างนั้นผมไม่เอา”
ทันใดนั้นหลงถิงก็ตวาดขึ้นมา “แกคิดจะทำอะไร?”
หลงเซียวมีท่าทีไม่เดือดร้อน เขาถอนหายใจ ในน้ำเสียงฟังดูอ่อนล้า “พ่อ ผมคิดดีแล้ว ถึงผมจะอยู่ในจุดสูงสุด แต่ลึกๆสิ่งที่ผมต้องการก็ยังคงเป็นบ้านกับครอบครัว ผมอยากพักผ่อนสักระยะ อยู่กับเมียผมก็แค่นั้น”
หลงถิงรู้ว่าลูกชายของตนทั้งหวงทั้งห่วงลั่วหาน แต่ไม่คิดว่าจะมากจนถึงขั้นนี้!
“ส่วนตำแหน่งท่านประธานMBKที่พ่อเคยสัญญาว่าจะยกให้ ตอนนี้ผมยังอายุน้อย ตำแหน่งสูงขนาดนี้คงไม่เหมาะกับผม งานของMBKในเมื่อเสี่ยวจื๋อทำได้ดี งั้นให้น้องทำก็แล้วกัน”
เงื่อนไขข้อสุดท้าย เหมือนเป็นฟางเชือกสุดท้าย
หลงถิงฟังทั้งที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งทั้งสงสัย แต่เงื่อนไขของเขายั่วยวนใจอยู่ไม่น้อย หลงถิงจึงอดชั่งใจคิดไม่ได้ “เมื่อไหร่?”
“ยิ่งเร็วยิ่งดีครับ ผมจะมอบอำนาจในโครงการทั้งหมดให้พี่”
“ตกลง! สองวันนี้ฉันจะให้เขาไปที่เมืองเจียงเฉิง”
“ขอบคุณมากครับพ่อ”
โทรศัพท์ถูกวางสายไป หลงเซียวหลับตาลง ริมฝีปากฉีกยิ้ม
หลงยี่ ความเร่าร้อนของเมืองเจียงเฉิง ขอให้นายสนุกกับมัน
——
บ่ายสามโมง การผ่าตัดเริ่มขึ้น
หลังผ่านไปห้าชั่วโมง การผ่าตัดก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ตลอดการผ่าตัดไม่มีแอคซิเดนเกิดขึ้นแต่อย่างใด นับเป็นเคสผ่าตัดโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่เพอร์เฟคสมบูรณ์!
เมื่อเดินออกจากห้องผ่าตัด ลั่วหานถอดหน้ากากออก เธอพยักหน้าให้เฉินว่านเหนียน “ประธานวางใจเถอะค่ะ การผ่าตัดจบลงด้วยดี ไม่มีปัญหาอะไร ตอนนี้รอแค่ให้ยาชาหมดฤทธิ์ เป่ยเป่ยก็จะฟื้น”
สองสามีภรรยาเฉินว่านเหนียนขอบคุณลั่วหานยกใหญ่ “ฉันขอบคุณคุณแทนลูกชายกับลูกสะใภ้ด้วย หมอฉู่ คุณเป็นแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ สามารถเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุขได้ในพริบตา! ขอบคุณมาก! ขอบคุณมาก!”
“อย่าเกรงใจเลยค่ะ นี่เป็นหน้าที่ของหมอ เป่ยเป่ยออกมาแล้ว ทั้งสองคนไปเฝ้าอาการที่ห้องคนไข้เถอะค่ะ คืนนี้ฉันเฝ้าเขาเอง ขอแค่ผ่านคืนนี้ไปได้ก็ปลอดภัยแล้วล่ะค่ะ หลานสาวของคุณจะต้องเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงแน่นอน”
“ตกลงๆๆ ขอบคุณคุณหมอมากๆ!”
เฉินว่านเหนียนสองสามีภรรยาตามสาวน้อยไปที่ห้องคนไข้ ลั่วหานเดินกลับห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความอ่อนล้า หมอศัลยแพทย์มือหลัก ทุกเคสผ่าตัดทำเอามือชา ขาปวดไปหมด ยิ่งเป็นหมอผู้หญิงที่ร่างกายบอบบางด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่
ลั่วหานดื่มแคลเซียมกลูโคเนตไปหนึ่งขวด ผ่านไปครึ่งชั่วโมงร่างกายถึงรู้สึกมีแรงขึ้นบ้าง
หญิงสาวนึกถึงคำพูดของเฉินว่านเหนียนที่พูดกับเธอก่อนผ่าตัด ลั่วหานคิดว่ายังไงซะเธอบอกหลงเซียวไว้จะดีกว่า เผื่อว่าเจิ้งซินสองพ่อลูกคิดจะเล่นงานเขาจริงจะได้รับมือทัน
ลั่วหานกดเบอร์โทรหาหลงเซียว เสียงรอสายดังขึ้นไม่เท่าไหร่ก็มีคนรับอย่างรวดเร็ว
“ลั่วลั่ว ผ่าตัดเสร็จแล้วหรอ?”
ลั่วหานถือขวดแคลเซียมกลูโคเนตในมือ ยิ้มออกมา “ใช่ค่ะ ผ่าตัดเสร็จแล้ว แต่ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ”
“เรื่องของฉันสำคัญกว่า ฟังเรื่องของฉันก่อน” หลงเซียวตัดประโยคของเธออย่างคนเอาแต่ใจ ไม่ให้หญิงสาวได้พูดต่อ
“ฮื้ม? อะไรคะ? ไหนว่ามาซิ”
“ยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่ไหม? หิวหรือเปล่า?”
เนี่ยนะเรื่องสำคัญที่ว่า?
“ยังเลย อีกเดี๋ยวจะไปกิน คืนนี้ฉันต้องเฝ้าคนไข้”
“รอฉัน ห้ามไปไหนทั้งนั้น”
ลั่วหานมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกตัดสาย รู้สึกหมดคำพูดหน่อยๆ นี่มันเรื่องสำคัญประเภทไหนกัน เทียบกับเรื่องที่เธอจะพูดไม่ได้เลยสักนิด
หลงเซียววางสายไป ลั่วหานเปลี่ยนเสื้อผ้า ตั้งใจจะไปห้องคนไข้ก่อน
“ฉู่ลั่วหาน คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะอยู่ที่นี่! บังเอิญจัง!” น้ำเสียงพิลึกพิลั่นดังขึ้น ‘ไม่ใช่ใครที่ไหน’ แต่เป็นเจิ้งซิน
ชีวิตนี้จะต้องเจอกันทุกที่เลยใช่ไหม!
ลั่วหานดึงเสื้อกาวน์ลวกๆ ก่อนจะปรายตาไปมองเธอแบบขี้เกียจๆ “บังเอิญจริงด้วยคุณเจิ้ง คืนนี้มาอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อ กตัญญูจังเลยนะคะ”
เจิ้งซินกัดฟันกรอด แล้วพูดขึ้นอย่างโมโห “เลิกทำตัวเป็นแม่พระสักที! อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าเธอมันนังแพศยา!”
“ลั่วลั่ว”
เจิ้งซินด่าไปได้ประโยคเดียว เสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนก็ลอยมาจากโถงทางเดิน ตามด้วยเงาร่างสูงเพรียว ร่างสูงยามกระทบกับแสงไฟตามทางเดิน ออร่าสง่างามก็แผ่ซ่านไปทั้งตัว
ลั่วหานหันไปยิ้มหวาน “ที่รัก มาแล้วหรอคะ”
ในมือของหลงเซียวถือกล่องข้าวขนาดสามชั้น ชายหนุ่มสวมสูทสีดำเรียบหรู ไม่มีความเข้ากันกับกล่องข้าวแต่อย่างใด
“รอนานแล้วล่ะสิ? ฉันเตรียมของที่เธอชอบมาให้”
เจิ้งซินเห็นหลงเซียวปรากฏตัวขึ้น ในเสี้ยววินาทีใบหน้าของเธอก็ยิ้มแย้ม หัวใจเต้นแรงขึ้นทันที “หลงเซียว คุณสบายดีไหมคะ? ไม่เจอคุณตั้งหลายวันแหน่ะ”
หลงเซียวราวกับไม่เห็นว่าเธออยู่ตรงนี้ เขาหันศีรษะไปมองก่อนจะพูดขึ้นอย่างตกใจ “คุณเจิ้ง มาอยู่ที่นี่ได้ไง?”
เจิ้งซินยิ้มแห้ง “ฉัน…อยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
หลงเซียวคว้าเอวบางของลั่วหานมาโอบ “ขอโทษที ผมไม่เห็น”
“…”เจิ้งซินได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็รู้สึกเสียหน้า “หลงเซียว ฉันก็ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเหมือนกัน ไปกินด้วยกันเถอะ”
ลั่วหานหมดคำจะพูด ผู้หญิงคนนี้ไร้อย่างอายได้ถึงขนาดนี้เลยหรือไง?
หลงเซียวขมวดคิ้ว “เกรงว่าจะไม่เหมาะ ผมเตรียมมาแค่สำหรับหนึ่งคน”
เจิ้งซินมองกล่องอาหารขนาดใหญ่ “อาหารเยอะขนาดนี้หมอฉู่กินคนเดียวหมดหรอคะ? ตอนเย็นกินเยอะเดี๋ยวจะอ้วนเอานะคะ”
หลงเซียวหยิกแก้มของลั่วหาน แล้วเอ่ยอย่างสบายอารมณ์ “แบบนี้เองหรอ…ลั่วลั่ว อีกเดี๋ยวเธอต้องกินนี่ให้หมดเลยนะ เธอผอมเกินไปแล้ว กอดแล้วมันไม่เต็มแขน กินให้มีเนื้อมีหนังหน่อยจะได้กอดได้นุ่มนิ่ม”
ลั่วหาน “…”