ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 472
ตอนที่ 472 ความเฉลียวฉลาดของคุณนายหลง
จี้ตงหมิงปาดเหงื่อ ใจเต้นเหมือนตีกลอง “ฉันเพิ่งได้รับข่าว ไม่กี่วันที่ผ่านมาคุณนายถูกจับกุมเพราะต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีร่วมกันใช้อาวุธปืนเพื่อสังหาร แต่คุณนายแจ้งกับตำรวจด้วยตนเองว่าต้องปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ดังนั้นจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีคนรู้ เพียงแต่ ในขณะที่ฉันได้ข่าว คุณหญิงก็ได้พาคุณนายไปแล้ว ฉันคิดว่า คุณหญิงน่าจะรู้คราวๆแล้ว”
ภาพเงาสีดำของบุคคลที่นั่งอยู่ภายในรถยืดออก มือที่วางอยู่บนขากลายเป็นกำหมัดแน่นโดยจิตสำนึก นิ้วมือของข้อต่อที่แยกชัดเจนงอตัวโผล่ขึ้นมาจากโครงกระดูกสีขาว “ใช้อาวุธปืนสังหาร?”
จี้ตงหมิงรีบเช็ดเหงื่ออีก “อืม คนที่ถูกฆ่าตายบนถนนในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เล่ากันว่าคนที่ว่าจ้างมือสังหารคือคุณนาย…….คุณนายแอบกำจัดบุคคลนั้นอย่างลับๆ ฉันเคยแอบตรวจสอบคำให้การของคุณนาย เธอยอมรับว่าตนเองซื้อการฆาตกรรมคน แต่เจตนาการฆาตกรรมยังสารภาพคลุมเครือ เธอพูดเพียงว่าตนเองยินยอมเป็นนักโทษประหารชีวิต”
พูดจบ จี้ตงหมิงก็กัดฟันรอการตอบกลับของอีกด้านนึง เขาแทบจะจินตนาการได้ว่าเจ้านายจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อได้ยินว่าแม่ผู้ให้กำเนิดของตนเป็นฆาตกร เพียงแต่โชคดีที่เขาไม่ได้พูดต่อหน้า ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตายยังไง
“ตึง!”
กำปั้นของหลงเซียวทุบลงบนเก้าอี้หนังแท้อย่างแรง ความเดือดดาลอันมหาศาลดังก้องอยู่ภายในรถ คนขับรถตกตะลึงจนไม่กล้าหายใจไปชั่วขณะ จู่ๆบรรยากาศภายในรถก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มซ่อนอยู่ลึกๆ อากาศอันเยือกเย็นแพร่กระจายขึ้นมาไปทั่วทุกซอกทุกมุมของรถ มากจนกระทั่งจะโจมตีระบบประสาทของคน
หลงเซียวหลับตาแน่น เขาพยายามใช้สติปัญญาของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ประโยคอันเยือกเย็นประโยคนึงจากในบำคอแฝงไปด้วยความเคร่งขรึม “ความเป็นจริงคืออะไร? เธอทำแบบนั้นจริงๆหรอ?”
จี้ตงหมิงกัดฟัน สูดหายใจเข้าลึกๆทีนึง “พยานหลักฐานที่มีทั้งหมดตอนนี้บ่งชี้ไปยังคุณนาย เดิมทีทางด้านตำรวจก็ยืนยันแล้วว่าฆาตกรก็คือคุณนาย คุณนายไม่พูดออกมาว่าใครเป็นคนดำเนินการ ดังนั้นเธอจะต้องจงใจรับความผิดโทษฐานฆ่าคน เพียงแต่ หลังจากคุณนายได้ติดต่อกับทางด้านตำรวจแล้ว จึงยื่นคำร้องการประกันตัวไปแล้ว ดูเหมือนว่าคุณนายคล้ายจะต้องการให้ทำผลรายงานการตรวจร่างกายปลอมให้กับคุณนาย”
ความโมโหของหลงเซียวถูกอัดอยู่ในลำคอในขณะที่ฟังประโยคนี้ ทันทีหนึ่งใจความก็ถูกระบายออกมา “ฉันรู้แล้ว จัดการเรื่องที่เมืองเจียงเฉิงเสร็จ ฉันจะกลับไปทันที”
“โอเค ชั่วขณะที่คุณหญิงและคุณนายอยู่ด้วยกัน คุณนายไม่ได้มีอะไรผิดปกติมาก ทุกอย่างรอให้พยานหลักฐานใหม่ออกมาแล้วจะแจ้งให้ทราบ อีกทั้งคุณหญิงยังให้ด้านนั้น…….เพิ่มความกดดันในการดำเนินการในนามของคุณ ทำให้พวกเขาตรวจสอบใหม่อีกครั้ง”
จู่ๆหลงเซียวก็ยิ้ม เรื่องราวของแม่ส่งผลกระทบกับเขาไม่น้อย ลั่วหานปิดบังเขาไม่แจ้งให้ทราบ แล้วยังใช้ชื่อของเขาเพื่อกดดันการดำเนินการของฝ่ายตำรวจ วิธีนี้ไม่เลว
ลั่วหานคิดแอบจัดการเรื่องราวให้เสร็จสิ้น เพื่อไม่ให้เขาเป็นกังวล?
เด็กโง่คนนี้ เธอลืมไปแล้วหรือยังไงนะ พวกเขาคือคู่สามีภรรยากัน สามีภรรยาก็ควรจะร่วมทุกข์ด้วยกันสิ
คนโง่ เธอต้องการให้เขาเป็นร่มกันฝนจริงๆหรอ?
“อืม คุ้มครองคุณนายให้ดี ฉันหวังว่าจะไม่ได้ยินข่าวด้านลบไม่ว่าอะไรก็ตาม”
“ครับ!”
วางสายโทรศัพท์ไปแล้ว หลงเซียวก็มองไปยังถนนด้านหน้า กำลังจะถึงอาคารใหญ่ของคณะกรรมการเทศบาลแล้ว
หลงเซียวมาถึงอาคารใหญ่คณะกรรมการเทศบาลด้วยตนเอง เจิ้งเฉิงหลินรีบลุกขึ้นมาจากเก้าอี้เมื่อเห็นรถของเขาจากไกลๆ และเจิ้งซินก็ตกใจไม่น้อย ตัวสั่นตรงไปดึงแขนของพ่อ
“พ่อ สักครู่คุณจะต้องใจเย็นไว้นะ อย่ายั่วโมโหหลงเซียว ตอนนี้เขามีหลักฐานในมือจำนวนมาก เขาสามารถทำให้พวกเราตายอย่างไร้ที่กลบฝังได้ทันที”
เจิ้งเฉิงหลินโบกมืออย่างอกสั่นขวัญแขวน นิ้วทั้งห้าของเขาต่างก็สั่นระริก “ฉันรู้ หลงเซียว…..ไอ้คนสารเลว!”
คนทั้งสองสนทนายังไม่ทันจบ ประตูห้องทำงานก็เปิดออก
“ผู้อำนวยการเจิ้ง สบายดีไหม”
น้ำเสียงที่เบาไพเราะน่าฟัง ไม่ปนเปื้อนอารมณ์ความรู้สึก ไม่แฝงไปด้วยความรักความผูกพัน ไม่ทุกข์ไม่ร้อนทั้งยังใช้อำนาจบาตรใหญ่
เงาร่างสีดำสูงใหญ่ของบุคคลยืนอยู่ในประตู ลำแสงสาดส่องมายังบนเรือนร่างของเขา แสงที่เฉียงเล็กน้อยถูกขยายหลายสิบเท่าด้วยเสน่ห์ของเขา ราวกับความน่าทึ่งและความเด็ดเดี่ยวรวมตัวกันอย่างบอกไม่ถูก
ริมฝีปากของเจิ้งซินขยับโดยไม่ได้ตั้งใจ ความปรารถนาอย่างบ้าคลั่งที่ระงับได้ยากพรั่งพรูขึ้นไปยังสมอง เธอแทบจะอยากวิ่งเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัวอะไร!
เจิ้งเฉิงหลินเบิกตาโพลงทันที กลืนน้ำลาย ยิ้มแห้งพลางกล่าวว่า “คุณหลง…….”
รองเท้าหนังสีดำเงาของหลงเซียวเหยียบลงบนพื้นเดินเข้าไปทีละก้าวทีละก้าว สายตาที่งดงามและเงียบสงบมองไปรอบๆเจิ้งเฉิงหลิน รอยยิ้มที่มีสง่าและล้ำค่า “ได้ข่าวว่าช่วงก่อนหน้านี้ผู้อำนวยการเจิ้งเข้าโรงพยาบาล การฟื้นตัวของร่างกายเป็นยังไงบ้าง?”
เจิ้งเฉิงหลินกลืนลมหายใจเข้าอย่างลึก แทบจะขาดอากาศหายใจตาย “ฉัน…..ไม่เป็นไร ฟื้นตัวดีเหมือนเดิมแล้ว”
หลงเซียวเลือกตำแหน่งที่นั่งเองแล้วนั่งลง เงาร่างของบุคคลสูงใหญ่นั่งลงแต่ออร่ายังคงไม่ลดลงเลย “งั้นก็ดี เล่ากันว่าหัวใจของผู้อำนวยการเจิ้งไม่ค่อยดีนัก จำเป็นต้องดูแลร่างกายและไม่เครียด”
เจิ้งเฉิงหลินส่งสายตาไปยังเจิ้งซิน ให้รีบไปเทกาแฟด้านหลัง
“เหอะๆ…..ขอบคุณคุณหลงมากที่เป็นห่วง ตอนนี้ฉันไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” เจิ้งเฉิงหลินนั่งลงตรงข้ามกับหลงเซียว วางก้นลงบนมุมโซฟาอย่างระมัดระวัง เฝ้าสังเกตทุกการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ที่แสดงออกของหลงเซียว
หลงเซียวยกขาข้างนึงมาซ้อนทับไว้บนเข่า “ในเมื่อผู้อำนวยการเจิ้งปกติดี อย่างนั้นก็มาเข้าประเด็นกันเถอะ”
หลงของเจิ้งเฉิงหลินเย็นเล็กน้อย เขาพยายามประคับประคองไม่ให้ตนเองแสดงความขี้ขลาดออกมา แต่ยังไงก็แบกรับไว้ไม่ไหว “โอเค……ฉันทำโฉนดที่ดินไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้ว ใบอนุญาตก็อยู่ในนี้…..คุณลองดู”
หลงเซียวกวาดสายตาไปยังเอกสารบนโต๊ะ “ประสิทธิภาพในการทำงานของผู้อำนวยการเจิ้งสูงจริงๆ ช่วงเวลาเพียงหนึ่งวันก็สามารถจัดการทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว หลงรู้สึกประหลาดใจมาก”
เจิ้งซินใช้สองมือยกแก้วกาแฟสองแก้วแบ่งให้คนทั้งสอง จากนั้นก็มองหลงเซียวอย่างระมัดระวัง
ทุกครั้งที่แอบมองเธอ รู้สึกราวกับว่าได้มองดวงดาวดวงนึงที่ขอบฟ้า สว่างเจิดจ้า สะดุดดวงตามาก……
สีหน้าเจิ้งเฉิงหลินไม่น่าดูถึงขั้นสุด “นี่…..เรื่องของคุณหลงพวกเราล้วนจัดการให้เป็นพิเศษ”
หลงเซียวเปิดเอกสาร พลิกดูรอบนึงเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ผิดพลาด แล้วจึงลงชื่อของตนเองที่มุมล่างด้านขวาของแผ่นกระดาษหน้าสุดท้ายอย่างกระฉับกระเฉง
ปากกาวาดไปบนหลังกระดาษอย่างแข็งแรงและทรงพลัง หากคำที่พูดเปรียบกับคน หลงเซียวนั้นก็คือเจ้านายที่ไม่สามารถยั่วยุได้ง่ายๆ!
เจิ้งเฉิงหลินนิ่งอึ้งมองหลงเซียวเขียนชื่อเสร็จ ทุกเส้นวาดของปากการาวกับมีดกรีดลงมาบนหัวใจของเขา หัวใจก็เจ็บปวดเป็นระลอก
เซ็นต์ชื่อเสร็จ หลงเซียวก็ปิดปากกา “กาแฟของผู้อำนวยการเจิ้งฉันไม่ดื่มนะ วันหลังฉันค่อยเชิญคุณดื่มชา”
“คุณหลงนี่คือ……ต้องการจะไปแล้วหรอ?”
ทันใดเจิ้งซินก็เงยหน้า ทำไมไปเร็วแบบนี้ล่ะ?
หลงเซียวหยิบเอกสารขึ้นมาสองฉบับ “ทำไม? ผู้อำนวยการเจิ้งยังมีวิธีจัดการแบบอื่นหรอ?”
“ไม่ๆๆ ไม่ใช่……คุณหลงงานยุ่งรัดตัว ฉันก็ไม่รั้งให้อยู่ต่อแล้ว”
เขากล้าจัดการแบบอื่นซะที่ไหน คิดเพียงแค่จะรีบส่งผู้ยิ่งใหญ่ไป
หลงเซียวลุกขึ้นจากที่นั่ง “ภายหลังยังมีโอกาสอีกมากที่คุณและฉันจะได้เจอกัน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในตอนนี้ ร่างกายของผู้อำนวยการเจิ้งสำคัญนะ การพัฒนาของเมืองเจียงเฉิงยังต้องการคำชี้แนะในการบริหารของคุณ”
ทำธุระเสร็จแล้ว หลงเซียวก็ไม่หยุดพัก รีบก้าวเท้าออกจากห้องทำงาน เจิ้งซินก็รีบเดินไล่ตามหลังเขามา
“หลงเซียว——”
“คุณเจิ้งยังมีธุระอีกหรอ?”
“ฉัน….ฉันคิดว่า ไม่ทราบว่าจะทานอาหารด้วยกันสักมื้อได้ไหม” เจิ้งซินพูดจบก็รู้สึกว่าคำเชิญของตนเองต่ำต้อยเกินไป จึงรีบปิดปาก
นิ้วที่เรียวยาวและดูดีของหลงเซียวเคาะบนปกเอกสาร สักครู่ การกระทำที่เบามากช้ามาก “คุณเจิ้งไม่กลัวว่าฉันจะนำปืนเล็งเป้าไปที่คุณอีกหรอ?”
“ฉัน……”
“คุณเจิ้ง คุณอยู่ต่อหน้าฉันไม่จำเป็นต้องแสดงตัวอ่อนแอ และไม่จำเป็นต้องเผด็จการอย่างสุดความสามารถ การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของคุณฉันล้วนไม่ได้สนใจ”
เสียงพูดจบลง หลงเซียวก็ก้าวเท้าเข้าลิฟต์ไป
เจิ้งซินหลับตาอย่างหมดเรี่ยวแรง ไม่ได้กลับออกจากความหดหู่มาช่วงนึงแล้ว เธอไม่มีโอกาสเลยสักนิดจริงๆหรอ?
หลงเซียวเป็นภูเขาใหญ่ลูกนึงที่ใครก็ฉุดไม่ล้มจริงๆหรอ?
“ซินซิน อย่าทำโง่ไปเลย หลงเซียวผู้ชายประเภทนี้คุณควบคุมไม่อยู่หรอก แบบนี้ก็เป็นได้แค่ดูถูกตัวเอง รู้ไหม?”
เจิ้งเฉิงหลินมองตัวเลขบนลิฟต์ที่ลดลงทีละชั้นๆแล้วพูดอย่างจริงใจ ส่ายหน้า
“พ่อ ฉันชอบเขาจริงๆนะ แต่ไหนแต่ไรฉันไม่เคยชอบคนๆนึงมากขนาดนี้มาก่อน ฉันเกลียดเขาไม่ลง ฉันเกลียดเขาไม่ลง ฉันรักเขา แล้วก็ไม่เจอผู้ชายที่มีเสน่ห์มากกว่าเขาอีก ไม่มีอีกแล้ว!”
เจิ้งเฉิงหลินกดลงที่บ่าของเธอ “ตัดใจซะเถอะซินซิน หลงเซียวคือหมาป่าเดียวดาย เขาทำได้เพียงกลืนกินคุณ นิสัยหมาป่าของคนนึงจะทำให้เขามีอานุภาพที่แข็งแกร่ง หลงเซียวน่ะ……คนนี้คุณไม่จำเป็นต้องยั่วยุ”
ชั้นล่างอาคารใหญ่ของคณะกรรมการเทศบาล
หวังเจี้ยนเปิดประตูรถ “ท่านประธาน…….”
หลงเซียวนำข้อมูลส่งให้เขา “สิ่งเหล่านี้ภายหลังที่คุณกลับไปยังบริษัทก็จัดการตามที่ฉันบอก ช่วยฉันเตรียมเที่ยวบินช่วงเวลาที่ใกล้ที่สุด ฉันจะกลับเมืองหลวง”
“อ่า? ท่านประธาน คุณจะกลับไปตอนนี้? ไม่ฉุกละหุกเกินไปหรอ?”
หลงเซียวเหลือบมองเวลา “จองเที่ยวบินภายในหนึ่งชั่วโมง”
หวังเจี้ยนไม่กล้าโต้เถียง “ครับ ฉันจะจองตั๋วเครื่องบินทันที”
ปัญหาที่ยุ่งยากสองอย่างของเมืองเจียงเฉิงจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่ภูเขาลูกใหญ่อีกลูกก็กดทับลงมา
——
ลั่วหานนั่งรอที่ระเบียงทางเดินยาวของศูนย์ตรวจสุขภาพ หยวนชูเฟินยังตรวจอยู่ด้านใน การเก็บตัวอย่างเลือดได้เสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว ที่เหลือก็คือการตรวจร่างกายทั่วไป
ขั้นตอนการรอคอย ทรมานคนมากที่สุด
เงาร่างบุคคลที่สวมชุดคลุมสีขาวตัวใหญ่เดินมา “คุณนายหลง จัดการช่องทางVIPให้กับคุณนายแล้ว มะรืนนี้ก็สามารถดูผลตรวจได้”
ลั่วหานพยักหน้า “โอเค ลำบากคุณเลย”
“อีกสักครู่จะต้องให้คุณนายทำการถ่ายภาพรังสีสองสามอย่าง เมื่อกี้ภาพถ่ายรังสีหัวใจออกมาแล้ว หัวใจของคุณนายไม่มีปัญหา”
“โอเค”
คุณหมอกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “คุณนายหลงวางใจเถอะ ร่างกายของคุณนายปกติดี ผลการตรวจร่างกายในขณะนี้ยังไม่พบความผิดปกติ”
ลั่วหานพยักหน้า “หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี”
ต้องเป็นไปด้วยดีแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะทำให้หลงเซียวต้องเป็นยังไง? เขาไม่สามารถแบกรับไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
ขณะนี้ ประตูห้องภาพถ่ายรังสีถูกเปิดออก คุณหมอผู้หญิงเสื้อขาวคนนึงเดินออกมาจากด้านใน
“คุณนายหลง…..”
สีหน้าของหมอผู้หญิงตื่นตระหนก พูดอ้ำๆอึ้งๆ
“เกิดอะไรขึ้น?”
ลั่วหานลุกขึ้นจากเก้าอี้ มองท่าทีการแสดงออกของหมอเธอก็รู้สึกถึงสถานการณ์ที่ไม่ดี คงไม่มีปัญหาจริงๆใช่ไหม?
เป็นไปไม่ได้มั้ง
คุณหมอผู้หญิงหยิยภาพถ่ายรังสีมาแผ่นนึง กล่าวกระซิบว่า “ผลตรวจDSAของคุณนายออกมาแล้ว บริเวณสมองของคุณนายพบจุดสีดำส่วนนึง…….คุณเป็นหมอ น่าจะทราบดี……ว่าคุณนายเธอประสบกับโรคมะเร็งแล้ว”
อะไรนะ?!
ขาทั้งคู่ของลั่วหานอ่อน ถอยร่างกายไปข้างหลังครึ่งก้าว บริเวณสมองพบจุดสีดำ ฉะนั้นพูดได้ว่าหยวนชูเฟินเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือมะเร็งสมอง?
เป็นไปได้ยังไง!
“ร่างกายของเธอดีมาโดยตลอด ทำไมถึง……เอามาให้ฉันดูสิ!”
ลั่วหานเดินไปดึงภาพถ่ายรังสีมา มองดูอย่างละเอียดรอบนึง กวาดสายตากลมโตที่เต็มไปด้วยสีแดงเลือดมอง เป็นความจริง สมองด้านขวามีจุดสีดำ ถึงแม้เนื้องอกจะนับว่าไม่ใหญ่มาก แต่ก็กดทับเส้นประสาทแล้ว ถ้ากำเริบต่อไปผู้ป่วยก็จะรู้ตัวเอง
แต่โดยคนทั่วไปแล้วที่เป็นโรคมะเร็งไม่มีทางที่จะรู้ได้ทันเวลา พอถึงวันนึงที่รู้ก็คือสายเกินไปแล้ว
“เนื้องอกที่กดในช่องกะโหลกดูแล้วน่าจะซ่อนอยู่เป็นเวลาอย่างน้อยห้าปี จนถึงวันนี้ยังไม่กำเริบถือว่าเป็นโชคดีจริงๆ แต่ว่า พอถึงวันนึงอาการโรคของคุณนายก็ต้องกำเริบ……” คุณหมอเห็นสีหน้าของลั่วหานที่ซีดเผือดแล้ว ก็ไม่กล้าพูดต่อ
ถ้าไม่เข้าใจทางการแพทย์ ยังสามารถโกหกตัวเองได้ แต่ลั่วหานเข้าใจชัดเจนว่ามะเร็งคืออะไร เข้าใจชัดเจนว่ามะเร็งสมองคืออะไร
ลั่วหานทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ นิ้วมือบีบภาพถ่ายไว้แน่น “ฉันรู้ เนื้องอกที่ร้ายแรงของต่อมใต้สมอง วันนึงโรคกำเริบ…….ก็จะตาย”