ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 488
ตอนที่ 488 ลูกอมช็อคโกแลตของคุณ ทั้งหวานและอร่อย
วันรุ่งขึ้น ลั่วหาน ตื่นนอนตั้งแต่เวลายังไม่ถึงหกโมงเช้า วันนี้ผู้เชี่ยวชาญจะเข้าไปตรวจหยวนชูเฟิน และลั่วหาน ต้องไปที่นั่นก่อนเพื่อเตรียมการ
ในใจมีเรื่องมากมาย แต่ลั่วหาน ก็ต้องรีบไปให้ทันเวลา เธอลุกขึ้นจากที่นอนกะทันหัน ก็เกิดอาการเวียนหัวโดยไม่คาดคิด ยังไม่ได้ลืมตา รู้สึกแค่ว่าการมองเห็นมืดลง คนก็ล้มลงไป
ลั่วหาน นวดๆที่หน้าผาก กดที่ขมับแรงๆ นอนราบกับเตียงและหายใจเข้าลึกๆสองสามครั้ง ความมืดที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆหายไปแปลกจัง ทำไมจู่ๆถึงรู้สึกเวียนหัว เธอคิด
เธอไม่ได้เป็นโรคโลหิตจาง ซึ่งคนที่เป็นโรคโลหิตจางจะรู้สึกเวียนหัวเมื่อลุกขึ้นอย่างกะทันหัน หรือเป็นเพราะช่วงนี้เหนื่อยเกินไปหรือเปล่า
ลั่วหาน ไม่กล้าที่จะลุกขึ้นเร็วอีก ครั้งนี้ฉลาดแล้ว จึงค่อยๆจับที่หัวเตียงพยุงตัวลุกขึ้น เธอลูบที่คิ้วเพื่อคลายความกังวลไป สักพักก็ดีขึ้น
อาจจะเหนื่อยเกินไปจริงๆนั่นแหละ เป็นเพราะช่วงนี้กังวลมากเกินไป จึงทำให้เหนื่อยง่าย
เมื่อนึกได้อย่างนี้ ลั่วหาน ก็หายใจเข้าออกสองสามทีและใส่รองเท้าแตะเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว
ตอนนี้คนรับใช้กำลังเตรียมอาหารเช้า แต่อาหารเช้ายังไม่พร้อม ลั่วหาน คิดไปคิดมาว่า หรือเธอจะบอกพวกเขาสักคำดีกว่า
ลั่วหาน เดินลงไปข้างล่างหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เห็นสาวใช้กำลังเช็ดเครื่องลายครามบนชั้นวางของโบราณในห้องนั่งเล่นอยู่ เธอมองไปที่หล่อนและพูด “อาซิ่ว ไปบอกที่ห้องครัวว่า มื้อเช้าให้โจ๊กใส่เออเจียวใส่ถั่วแดงและพุทรา อย่าทำให้ข้นเกินไปนะ”
“ค่ะคุณผู้หญิง ฉันไปเดี๋ยวนี้!” อาซิ่วพยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้ม วางเศษผ้าและเดินไปที่ห้องครัว
ลั่วหาน จับราวบันไดและยิ้มอย่างงงๆถามว่า “เมื่อกี้แกดูมีความสุขมาก เป็นอะไรรึเปล่า มีเรื่องอะไรดีงั้นเหรอ”
อาซิ่วหัวเราะเบาๆ และใบหน้าที่สะอาดยิ้มอย่างมีความสุข และตอบ “ต้องเป็นเรื่องดีๆแน่นอนสิคะ ปกติคุณผู้หญิงไม่เคยอยากกินอะไรเป็นพิเศษ แต่วันนี้ก็สั่งโจ๊กพุทราขึ้นมา!”
ลั่วหาน ขมวดคิดด้วยความงง “อย่างนั้นรึ แต่อาหารที่พวกเธอทำทุกวัน ไม่ใช่สิ่งที่ฉันชอบกินเหรอ และก็ทำในรูปแบบที่แตกต่างกันหมดด้วยนะ”
คิดคิดดูก็จริงนั่นแหละ เธอมักจะกินอาหารเช้าง่ายๆ กินเสร็จก็ต้องไปโรงพยาบาล มื้อเที่ยงก็ไม่ได้กินที่บ้าน ส่วนมื้อค่ำเธอกินอะไรก็ได้ที่คนรับใช้เตรียมไว้ให้ จึงไม่ได้ออกคำสั่งใดๆเกี่ยวกับการทำอาหารในบ้าน
เพราะเธอเตือนขึ้นจึงทำให้นึกได้
อาซิ่วหัวเราะเบาๆ บนหน้ามีลักยิ้มสองอันจางๆ “ฉันอยู่ที่นี่มาสองสามเดือนแล้ว และทุกวันจะเห็นนายน้อยบอกเกี่ยวกับเมนูอาหาร นายน้อยยังเลือกเมนูและส่งไปที่ห้องครัว เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ทำซ้ำกันในหนึ่งสัปดาห์ อาหารที่กินเมื่อวาน จะไม่มีทางวางให้เห็นบนโต๊ะอาหาร นายน้อยยังกำชับกับห้องครัวว่า ทุกเมนูที่ทำห้ามใส่ต้นหอมจีน บอกว่าคุณผู้หญิงไม่กินต้นหอมจีน”
อาซิ่วยิ่งพูดก็ยิ่งอิจฉา ยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น จนไม่สามารถหยุดไว้ได้แล้ว “ฉะนั้น ครั้งที่แล้วป้าแม่ครัวทำกุ้งผัดต้นหอมจีน แต่ยังไม่ทันได้เอามาเสิร์ฟก็ต้องเอาออกไปทิ้งไกลๆ กระทั่งรสชาติแม้ไม่มีกลิ่นออกมาก็ต้องกำจัดทิ้ง”
หัวใจของลั่วหาน รู้สึกอบอุ่น มีความอบอุ่นร้อนขึ้นมาจากหัวใจ หัวใจค่อยๆถูกแต่งแต้มด้วยรสชาติของความสุขและความหวาน
ไม่น่าแปลกใจที่เธอกินอย่างเอร็ดอร่อยได้ในทุกๆวัน เพราะไร้ที่ติจริงๆ จนเธอไม่ใส่ใจเรื่องการสั่งอาหารไปเลย เพราะคิดว่าคนรับใช้รู้รสชาติที่เธอชอบอยู่แล้ว
โดยที่ไม่รู้ว่า มีคนคอยแก้ไขเรื่องราวและปัญหาเล็กน้อยให้เธออยู่เบื้องหลัง
“โอเค ฉันรู้แล้ว แกไปห้องครัวก่อนเถอะ บอกในครัวว่าช่วงนี้ให้เตรียมโจ๊กพุทราหนึ่งที่เป็นมื้อเช้าก็แล้วกัน”
“ค่ะ คุณผู้หญิง!”
อาซิ่ววิ่งไปที่ห้องครัวอย่างมีความสุข ลั่วหาน ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวที่ด้านบนของบันไดชั้นสอง
หลงเซียวนะหลงเซียว คุณยังมีเรื่องเซอร์ไพรส์อะไรซ่อนฉันไว้อีกนะ
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ลั่วหาน จึงส่งข้อความไปหาหลงเซียว“คุณสามี คุณให้ลูกอมรสช็อกโกแลตมากมายเลยจริงๆ ถ้าไม่แกะออกก็ไม่รู้เลยว่ามันมีรสชาติอย่างไร แต่มันก็มีรสหวานทั้งนั้นแหละ ฉันมีความสุขจัง”
ชีวิตก็เหมือนลูกอมรสช็อกโกแลต ทุกเม็ดที่เขาให้เธอย่อมอร่อยและน่าประหลาดใจจริงๆ!
เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ลงไปชั้นล่าง มื้อเช้าก็พร้อมแล้ว มื้อเช้าของเธอมักจะเป็นอาหารแบบตะวันตก เพราะใช้เวลาเตรียมไม่นาน แต่โจ๊กก็ต้องรอสักพัก ลั่วหาน กินโจ๊กอุ่นๆ พุทรารสหวาน ซึ่งทำให้ท้องอุ่นขึ้น
“ช่วงนี้ นอกจากจะทำโจ๊กให้ฉันแล้ว ให้เพิ่มซุปอีกหนึ่งที่ ฉันเขียนวัตถุดิบที่จะทำซุปให้แล้ว ให้ซื้อของตามที่เขียนไว้ได้เลย ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด และสดใหม่ที่สุดด้วยนะ”
อาซิ่วและป้าแม่ครัวพยักหน้า “ได้ค่ะ คุณผู้หญิง คุณผอมมากต้องทานเยอะๆเพื่อบำรุงเสริมเข้าไป”
ทำซุปนี่เธอไม่ได้จะกินเอง แต่ทำให้สำหรับหยวนชูเฟิน ต่างหาก แม้ว่าอาหารที่มีโภชนาการของโรงพยาบาลมีมาตรฐานดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ดีเท่าอาหารที่ใช้ใจทำอาหารของคนที่บ้าน
ลั่วหาน เขียนรายการส่วนประกอบของน้ำซุปที่มีค่าทางโภชนาการเพื่อเสริมร่างกายให้กับคนรับใช้ “ซื้อวันนี้แล้วก็ตุ๋นเลยนะ หลังจากตุ๋นเสร็จ ตอนเย็นก็เอามาให้ฉันที่ส่งโรงพยาบาล”
“ได้ค่ะ คุณผู้หญิง!”
กินข้าวเสร็จ ก็ขับรถไปโรงพยาบาล ขึ้นไปที่แผนกศัลยกรรมหัวใจชั้น8 เปลี่ยนเสื้อผ้า และอ่านตารางการทำงานของวันนี้
“หมอหลิน คนไข้ที่นัดไว้ก่อนสิบโมงให้เลื่อนนัดไปหลังสิบโมงให้หมดเลยนะ เพราะฉันมีธุระต้องทำก่อนสิบโมง” ลั่วหาน พูดมอบหมายงานของวันนี้
หลินซีเหวินพลิกตารางเคสผู้ป่วยดูและพูด “โอเค ไม่มีปัญหา แล้วตอนบ่ายล่ะ อ่อ……ตอนบ่ายหมอถังมีผ่าตัดหนึ่งเคส แต่วันนี้คุณไม่มีผ่าตัด ว้าว เยี่ยมไปเลย! ไอดอลในที่สุดคุณก็ได้พักบ้างแล้ว”
ลั่วหาน ยิ้มเงียบๆ ดวงตาที่ดูฉลาดแหลมคมของเขายิ้มอย่างมีนัยยะ “ลืมสิ่งที่ฉันพูดในการประชุมแล้วเหรอ ตอนนี้ฉันได้พักบ้างแล้ว แต่พวกคุณยังต้องทำงานนะ ตอนบ่ายไปเรียนรู้กับหมอถังในห้องผ่าตัด และเขียนรายงานส่งให้ฉันด้วยในภายหลัง”
หลินซีเหวินกุมหัวและบ่น “ไม่เอาสิ สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดคือการเขียนรายงาน ได้โปรดปล่อยมันไปเถอะ”
“ครูที่เข้มงวดจะสามารถผลิตนักเรียนที่ดีออกมาได้ ฉะนั้นจะไม่มีการปล่อยผ่านไปแน่นอน” ลั่วหาน หยิบปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และขีดเส้นสองเส้นไปบนตารางการทำงาน ธุระตอนบ่ายที่ต้องทำมีเยอะมาก
ถังจิ้นเหยียนเดินมาหาในชุดเสื้อกาวน์ พร้อมกับรอยยิ้มตามปกติบนใบหน้าที่ดูดีของเขา โดยเฉพาะเมื่อเห็นลั่วหาน รอยยิ้มนั้นยิ่งดูกว้างขึ้น และพูด “พวกเขามาถึงแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
“โอเค”
หลินซีเหวินยิ้มให้ถังจิ้นเหยียน และพูด “สวัสดีคุณหมอถัง ตอนบ่ายนี้ช่วยแนะนำด้วยนะครับ”
ถังจิ้นเหยียนตอบ “โอเค ก้าวหน้าไปด้วยกัน”
ถังจิ้นเหยียนและลั่วหาน เดินออกไปพร้อมกัน เงาสูงสีขาวของทั้งสองเดินผ่านตรงทางเดิน จากนั้นก็หายเข้าไปในลิฟต์
หลินซีเหวินถามขึ้นด้วยความศรัทธา “หมอหวา คุณว่า หมอถังกับหมอฉู่ดูเข้ากันได้ดีมากเลยใช่ไหม”
หวาเทียนถือแฟ้มผู้ป่วยอยู่ ก็พยักหน้า และงอปากโค้งตอบ “แต่ว่า หมอฉู่มีท่านเซียวอยู่แล้ว จุ๊ๆ!”
หลินซีเหวินมองขึ้นไปบนฟ้าแล้วถอนหายใจพูด “เห้อ! ในเมื่อมีโจวหยูอยู่บนโลก ทำไมยังต้องการจูเก่อเลี่ยงอีกล่ะ!”
“พอเลย! ไม่ว่าจะเป็นโจวหยูหรือจูเก่อเลี่ยงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย คุณหมอฉู่ไปทำงานแล้ว พวกเราก็ไปตรวจคนไข้กันเถอะ” หวาเทียนดึงแขนหลินซีเหวินและบังคับให้เดินออกไป
“โอ๊ย คุณหมอถังของฉัน ฮือ ฮือ!”
“พอได้แล้ว! ไอ้โง่! เดี๋ยวแฟนคุณก็หยิกคุณตายหรอก!”
——
ในห้องผู้ป่วย
หยวนชูเฟินมองไปที่หมอในเสื้อกาวน์ผมสีบลอนด์ตาสีฟ้าสองสามคนที่กำลังเดินเข้ามา และมองไปที่ลั่วหาน ด้วยความงงงวย และถาม “เกิดอะไรขึ้น ฉันไม่ได้เป็นแค่โรคโลหิตจางเหรอ ทำไมถึงได้มีหมอชาวต่างชาติมาด้วยล่ะ”
ลั่วหาน นั่งข้างเธอด้วยท่าทางอ่อนโยนและสง่า จับแขนของเธอและพูดว่า “คุณแม่คะ ทั้งหมดนี้เป็นการทำให้ตำรวจดู แม่คิดว่า ในฐานะคุณผู้หญิงของตระกูลหลง คุณแม่ป่วยแล้วถ้าไม่ให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาตรวจให้ จะเหมาะสมเหรอคะ”
หยวนชูเฟินไม่เชื่อ “จริงเหรอ ลั่วหาน เธออย่าโกหกฉันนะ”
“ฉันจะโกหกคุณได้ยังไง คุณนอนลงเถอะ พวกเขาจะตรวจสักหน่อย กลับไปฉันจะเปลี่ยนผลการตรวจและส่งกลับไป ไม่เช่นนั้นจะรับมือกับการตรวจได้อย่างไร จริงไหม”
หยวนชูเฟินนอนลงอย่างเชื่อฟัง “ก็ได้ ฉันจะฟังคุณ”
“อืม! แม่เชื่อฉันนะ หายใจเข้าลึกๆ ทำสมองให้โล่ อีกครู่ก็จะดีขึ้น”ลั่วหาน พยายามทำให้เธอสงบลง ลูบหวีที่ผมของเธอ ใช้นิ้วหวีไปตามเส้นผมของเธอ และผมก็ร่วงติดนิ้วมาโดยไม่คาดคิด
เป็นไปได้อย่างไร!
เธอมีอาการผมร่วงก่อนทั้งที่ยังไม่ได้ทำเคมีบำบัดได้อย่างไร
ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจหยวนชูเฟินอยู่ด้านใน ลั่วหาน และถังจิ้นเหยียนจึงไปรอที่ห้องนั่งเล่นด้านนอก ซึ่งเป็นห้องพักฟื้นขนาดใหญ่ มีแค่ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเพียงไม่กี่คนกระซิบพูดกันเป็นภาษาอังกฤษ
ลั่วหาน ยกมือขึ้น ดวงตาแดงก่ำ และพูดด้วยเสียงสะอึก “จิ้นเหยียน แม่สามีฉันเริ่มมีอาการผมร่วงแล้ว”
เธอกำผมยาวสีดำอยู่ในฝ่ามือ ดูสะดุดตา
“นี่…..เป็นผลของยาปฏิชีวนะ และส่วนผสมบางอย่างในยาต้านมะเร็งก็ส่งผลร้ายอย่างมาก แต่ก็เป็นเรื่องปกติ คุณอย่ากังวลเกินไปเลยนะ”
ถังจิ้นเหยียนต้องการที่จะตบไหล่ของเธอ แต่ยื่นมือออกไปแล้วก็ถอยกลับมาอีก
ลั่วหาน หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด และกำผมยาวไว้ในมือแน่น “ฉันกลัวว่าจะปิดได้อีกไม่นาน แม่ของฉันฉลาดมาก เธอจะต้องรู้อย่างแน่นอน”
ถังจิ้นเหยียนถอนหายใจเบาๆ และพูดด้วยเสียงต่ำ “หรือคุณบอกเธอไปเลยก็ได้ เพื่อที่เธอจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ อย่าปิดบังเธอเลย”
ดวงตาของลั่วหาน ร้อนผ่าว รู้สึกแสบจมูก และน้ำตาก็หยดออกมา เธอหันหลังออกไปเพื่อไม่ให้ถังจิ้นเหยียนเห็นน้ำตาของเธอ และพูด “ฉันจะคิดดู ถ้าทำได้ ฉันหวังว่าจะรอจนกว่าหลงเซียวจะกลับมาแล้วค่อยบอกเธอ ถ้ามีลูกชายของคอยอยู่เคียงข้าง น่าจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง”
“ก็ดีเหมือนกัน คุณเองก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย ช่วงนี้สีหน้าของคุณดูไม่ค่อยดีนัก อย่าให้ตัวเองเหนื่อยมากเกินไปเลย”
“ฉันโอเค”
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง การตรวจของผู้เชี่ยวชาญก็สิ้นสุดลง
ชาวอเมริกันทั้งสี่คนถอดเครื่องตรวจฟังเสียงออก ส่ายหน้าด้วยความเป็นห่วงและพูด “แอนน่า สถานการณ์แม่ของคุณ ไม่ค่อยดีนัก
ลั่วหาน แทบจะไม่สามารถพยุงตัวเองไม่ให้ล้มลงได้ และบอก “คุณบอกมาเถอะ บอกผลให้ฉันรู้”
แพทย์ชั้นนำให้ผลการวินิจฉัยกับลั่วหาน “นี่เป็นผลจากการตรวจของเรา เซลล์มะเร็งของคุณผู้หญิงได้แพร่กระจายไปแล้ว หากเนื้องอกในสมองของเธอแย่ลง มันจะไปกดทับเส้นประสาท และอาจทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้”
ลั่วหาน อ่านรายงานผลที่เป็นภาษาอังกฤษอย่างละเอียดและพูด “ฉันรู้จักโรคนี้ จะส่งผลทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาท จนความจำเสื่อม แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ฉันกังวลว่าหลังจากที่มะเร็งแพร่กระจายไปแล้ว เวลาของเธอจะสั้นลง”
“สถานการณ์ตอนนี้ของแม่สามีของคุณเข้าขั้นวิกฤติมาก เราหวังว่าจะทำการรับเคมีบำบัดโดยเร็วที่สุด หากประสบความสำเร็จ บางทีเธออาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกสองสามปี แต่ถ้าไม่สามารถทนความทรมานของการทำเคมีบำบัดได้…..ก็”
เคมีบำบัด….
ลั่วหาน กัดฟันพูด “หมอโฮเท่อ แม่สามีของฉันสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้หรือไม่ เมื่อเทียบกับเคมีบำบัดแล้ว เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จของการผ่าตัดไม่ได้มากกว่าเลย ฉันหวังว่าคุณจะเลือกแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดไปใช้”
หมอโฮเท่อพูดกับเพื่อนหมอด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา หลังจากนั้นก็พูดขึ้น “การผ่าตัดไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ว่า สภาพร่างกายของแม่สามีของคุณค่อนข้างแย่ และตำแหน่งเนื้องอกในกะโหลกศีรษะของเธอก็อยู่ในตำแหน่งที่มีความเสี่ยงสูงมาก หากการผ่าตัดล้มเหลว คุณผู้หญิงก็ไม่สามารถลุกจากเตียงได้อีก”
ลั่วหาน กุมหน้าผากด้วยความเศร้าโศก และหลับตาลงแน่นถาม “แล้วตอนนี้ล่ะ”
“ถ้ารับการทำเคมีบำบัด ก็สามารถเรื่องได้ในไม่กี่วัน…ถ้าหาก…”หมอโฮเท่อหยุดชะงักพูดอย่างระมัดระวังว่า “ถ้าทำการผ่าตัด เราจะให้ความร่วมมือกัน แต่โอกาสสำเร็จมีเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น คุณยินยอมที่จะรับความเสี่ยงหรือไม่”