ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 552
ตอนที่ 552 เวลาทดสอบ EQ มาถึงแล้ว
ในห้องทำงานที่กว้างใหญ่ พลันเงียบลงอย่างกะทันหัน ทำให้เลขาฯที่กำลังรอรายงานอย่างตื่นเต้น พลันตกใจจนไม่กล้าจะทำอะไรเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำพูดของท่านหลง ที่ดังขึ้นขัดฝันหวานของหัวหน้าหวังด้วย
ลั่วหานหันสายตาจ้องเขม็งไปยังผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟา พร้อมทั้งส่งสัญญาณไปบอกเขาด้วยว่า อย่าทำให้หัวหน้าหวังลำบากใจ
รายงานที่ได้ยินเขารายงานเมื่อสักครู่นี้ ถึงแม้จะไม่สามารถเข้าใจกราฟการเติบโตอะไร หรือจะเป็นพวกการเปลี่ยนแปลง หรือความหมายของศัพท์เฉพาะ ของประเภทค่าเงินตราอะไรก็ตามแต่ แต่หัวหน้าหวังก็อธิบายมาอย่างจริงจัง แถมยังมีท่าทางที่ดี ถือว่าเป็นขุนพลสำคัญภายใต้กู้เยนเซินเลยก็ว่าได้ คงจะไม่ทำอะไรผิดพลาดแบบนั้นหรอกมั้ง?
หลงเซียวยิ้มกลับให้กับสายตาของลั่วหาน ก่อนจะพูดขึ้นทันทีว่า “ผู้ช่วยหวัง เมื่อกี้นายเพิ่งจะบอกว่า เดือนนี้บริษัทได้กำไรที่งดงามมา แล้วสถิติพวกนี้มันมีถึงตอนไหนหรือ?”
หัวหน้าหวังหันหน้าไปหาท่านหลงด้วยท่าทีที่สั่นเทิ้ม เขาเกร็งเสียจนมือทั้งสองเกือบจะถือเอกสารหนาๆ ไว้บนมือไม่ไหว ก่อนจะเหลือบตามองดูตัวเลข “มะ…เมื่อวานครับ”
หลงเซียวพยักหน้า “พูดแบบนี้ แสดงว่าการทำงานของแผนกบัญชีถือว่าปกติมากเลยนะ แล้ววันนี้ตอนเช้าเก้าโมงครึ่ง ธนาคารได้ออกมาประกาศเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ล่าสุด กับการเปลี่ยนแปลงเลขจำนวนสี่ตัวท้ายนั้น เธอรู้หรือเปล่า?”
หัวหน้าหวังคิดอะไรไม่ออกไปทันที ในเมื่อตัวเป็นพนักงานของแผนกบัญชี เวลามีข่าวสารอะไรใหม่ต้องเอาใจใส่ตลอดเวลา แต่เรื่องที่ท่านหลงเซียวถามถึงตัวเลขด้านหลังที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนั้น ทำให้เขาคิดไม่ถึงจริงๆ เพราะเมื่อเช้าตอนที่เขาดูอัตราแลกเปลี่ยนมานั้น เขาจำมาแค่สามตัวหน้าเสียด้วยซ้ำ
“เลขด้านหลังคือแปดเจ็ดหก…แต่ท่านบอกว่าสี่ตัว เพราะงั้น ผะ…ผมจะรีบกลับไปตรวจเช็คด่วนเลยครับ” หัวหน้าหวังมีเหงื่อเม็ดโตผุดออกมาจากปลายจมูก แค่มองหางตายังเห็นเลยด้วยซ้ำ
หลงเซียวหันสายตาไปมองที่เลขาฯอีกครั้ง “แล้วเธอล่ะ รู้ไหม?”
เลขาฯก้มหัวต่ำจนไม่รู้จะต่ำยังไงแล้ว จนแทบจะหดคอกลับเข้าไปเลยด้วยซ้ำ “ขอโทษค่ะท่านประธานหลง ฉันก็ไม่รู้ค่ะ”
ลั่วหานเองก็แอบเตรียมจะค้นหาในเว็บแล้วด้วย
“แล้วคุณล่ะประธานฉู่?”
ใครจะไปรู้ว่า ยังไม่ทันที่ลั่วหานจะได้ควักเอามือถือออกมา หลงเซียวก็โยนคำถามมาที่เธอซะได้
ลั่วหานไม่ค่อยเข้าใจเรื่องบัญชีกับเงินตราอะไรพวกนี้นัก ปกติแล้วการแลกเปลี่ยนพันธบัตรดอลลาร์ ก็มักจะไปจัดการที่ธนาคารโดยตรงเลย อย่างมากที่สุดก็จะสนใจแค่เลขท้ายสองตัวเท่านั้น ดังนั้นเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“เรื่องนั้น…ฉันเองก็ไม่รู้”
น่าอายจริง แค่ถามพวกเขาก็ได้แล้วนี่ รู้ๆ อยู่ว่าเธอไม่รู้อะไรเลยแต่ก็ยังถามอีก ท่านหลงจะล้อเล่นเกินไปหน่อยแล้ว
“ดีมากๆ”
หลงเซียวพูดดีมากขึ้นมาสองรอง ก่อนจะลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินไปหยิบเอกสารจากในมือของหัวหน้าหวัง แล้วพูดขึ้นต่อ “ทั้งสามคนที่ได้รับบทบาทสำคัญของบริษัทฉู่ซื่อ แต่แม้แต่ความรู้พื้นฐานยังไม่มี หัวหน้าแผนกบัญชียังไม่เข้าใจเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ แต่กลับอธิบายให้ฟังอย่างอลังการงานสร้าง แผนกบัญชีของบริษัทก็ค่อนข้างดี แต่พนักงานไม่ได้มาตรฐาน คุณว่ากิจการจะไปดีได้ยังไงล่ะ?”
ตอนนี้หัวหน้าแผนกบัญชียืดตัวตรงไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาก้มหน้ายอมรับผิดอยู่แบบนั้นไม่หยุด “ขอโทษด้วยครับๆ เป็นเพราะผมบกพร่องในหน้าที่ คราวหน้าผมจะ…”
หลงเซียวไม่มีกะจิตกะใจจะรอฟังเขาพูดจบ “จากข้อมูลสถิติของบัญชี ทุกวันเวลาเก้าโมงครึ่งตอนเช้า ต้องทำรายงานเรื่องยอดเงินใหม่ตลอด แต่กลับคำนวณรายรับรายจ่ายของเมื่อวานมา แบบนี้เรียกว่าคุ้มค่างั้นหรือ?”
ลั่วหาน : “……”
แค่ขาดไปวันเดียวก็ไม่ได้งั้นหรือ?
หัวหน้าหวังรู้ผิด จึงก้มหน้าพูด “ท่านพูดถูกแล้วครับ เป็นเพราะผมไม่เพียบพร้อมเองครับ”
ร่างกายของหลงเซียวตอนนี้ถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง จนดูแล้วเหมือนกับคนที่สดใสเป็นมิตร แต่กลับยากที่จะเข้าใกล้
ลั่วหานคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ทันทีที่เธออ้าปากก็คิดว่าคงจะทำให้เรื่องมันบานปลายกว่าเดิม จึงปิดปากเงียบไปทันที
หลงเซียวเปิดเอกสารที่ถือไว้ ก่อนจะเลือกสถิติที่สำคัญออกมาหลายๆ แผ่น พร้อมทั้งเริ่มอ่านทำความเข้าใจอย่างละเอียด ซึ่งเป็นการอุดปากของหัวหน้าหวังเอาไว้อย่างง่าย
เป็นเพราะการทำหน้าทำตาของเขาเมื่อครู่นี้ ทำให้ดูเหมือนว่าเหตุการณ์มันน่าหัวเราะยังไงยังงั้น
ลั่วหานมองไปยังหลงเซียวที่ยืนตำหนิลูกน้อง อยู่เพียงโต๊ะทำงานกั้น เขาพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน ตอนที่ก้มตาต่ำนั้น แววตาของเขาก็ดูยากแท้หยั่งถึง อีกทั้งใบหน้าด้านข้างของเขา ก็เผยให้เห็นเค้าโครงเดิมได้อย่างชัดเจน
เวลาที่หลงเซียวทำงานนั้น หรือแม้กระทั่งช่วงเวลาที่เขาอยู่ในมาดที่นิ่งดูเป็นผู้ใหญ่ ทำให้ชวนหลงใหลได้แม้กระทั่งเส้นผมเลยทีเดียว
หลังจากพูดคุยเสร็จ หลงเซียวก็เอาเอกสารพวกนั้น ยัดกลับใส่มือที่แข็งทื่อของเขา ก่อนจะใช้มือที่อบอุ่นตบลงไปบนบ่าเบาๆ “เหนื่อยหน่อยนะหัวหน้าหวัง ช่วยกลับไปทำใหม่อีกชุดหนึ่งทีนะ”
หัวหน้าหวังเคร่งเครียดขึ้นมาทันที พร้อมทั้งรีบพูดว่า “ไม่เหนื่อยเลยครับๆ เป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้วครับ!”
หัวหน้าหวังตกใจกลัวจนแทบจะหยุดหายใจไปเลย จากนั้นหลงเซียวก็ฟังรายงานของเลขาฯอีกรอบหนึ่ง ซึ่งเรื่องสำคัญของบริษัทฉู่ซื่อในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ ในภาพรวมก็ถือว่าควบคุมเอาไว้ได้
เขาจำต้องยอมรับเลยว่า ไป๋เวยมีความสามารถในการบริหารจัดการมาก ถึงขนาดเอาบริษัทขนาดใหญ่ยกให้กับเธออย่างไม่กังวลใจใดๆ เลย
ในที่สุดเลขาฯก็จากไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อผ่านช่วงเวลาที่เคร่งเครียดจนแทบจะเป็นลมไปหนึ่งชั่วโมงกว่านั้น ลั่วหานก็ผ่อนลมหายใจยาวบนเก้าอี้ ก่อนจะรีบดื่มชาลงไปอึกหนึ่ง เพื่อระงับความตื่นตกใจเอาไว้
หลงเซียวเอามือทั้งสองค้ำโต๊ะ พร้อมทั้งเอียงกายเข้ามาใกล้ใบหน้าที่ขาวผุดผ่องของเธอ ก่อนจะอมยิ้มมองเธอด้วยแววตาที่ดูน่าดึงดูด “เป็นอะไรไปหรือท่านประธาน ลองเล่าแนวคิดของคุณให้ฟังหน่อยสิครับ”
“เหอะๆ ฮ่าๆๆ” ลั่วหานดื่มชาตามลงไปอีกอึกใหญ่ “สมแล้วที่เป็นท่านเซียว เวลาจะสอนใครนี่ทำตัวเหมือนฮิตเลอร์เลยนะ”
เป็นนักลงทุน เป็นนักเผด็จการ แล้วก็เป็นฮิตเลอร์จำแลงอีกด้วย
นี่คุณนายหลงของเขา จะหาคำที่ไพเราะกว่านี้มาเรียกเขาไม่ได้งั้นหรือ?
หลงเซียวขมวดคิ้ว “ท่าทีอย่างเมื่อกี้เขาไม่ได้เรียกสั่งสอนหรอกนะ แต่เป็นการชี้แนะแนวทางให้ถึงแก่นแท้ต่างหาก ผมได้บอกถึงวิกฤตที่ซุกซ่อนไว้ของแผนกบัญชีให้หัวหน้าหวังฟัง มันเป็นเพราะเส้นทางในการทำธุรกิจของผมมาสิบกว่าปี เคยผ่านส่วนที่ดีที่สุดมาก่อน ไม่ใช่ว่าเขาทำงานได้ไม่ดีหรอก แต่เขาไม่เคยเจอเรื่องลำบากมามากเท่ากับผมเท่านั้นเอง”
ดังนั้นเขาจึงได้เล่าประสบการณ์ที่โชกโชนของเขา สั่งสอนและแนะนำให้เขาโดยไม่มีค่าตอบแทน แต่ก็เพื่อให้ภรรยาของเขาเข้าใจด้วย
“ผมคิดว่าพวกเขาทำได้บกพร่องกันมาก และก็อาจจะทำให้คุณผิดหวัง ผมคิดว่าบริษัทฉู่ซื่อกับ MBK มีข้อแตกต่างกันมากจริงๆ ดังนั้นคุณอาจจะมองไม่ถึงจุดนี้”
ลั่วหานขมวดคิ้วแน่นจนเห็นร่องรอยบางๆ ในใจของเธอก็อดไม่ได้ที่จะไตร่ตรอง ว่าความแตกต่างของเธอกับหลงเซียวมันมีมากจริงๆ
หลงเซียวยืดแขนยาวๆ ของเขาข้ามโต๊ะไป คว้าเส้นผมของเธอขึ้นมา แล้วทัดผมของเธอไว้หลังหู พร้อมด้วยกลิ่นเตกีล่าโชยมา
“บริษัท MBK ถือเป็นตัวอย่างให้เรียนรู้อย่างดีของบริษัทฉู่ซื่อ บริษัทฉู่ซื่อตอนนี้ยังไม่พร้อม แต่ผมจะให้พวกเขาค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละก้าวเอง”
ลั่วหานเอียงแก้มลงไปบนฝ่ามือของเขา เพื่อเข้าใกล้ความอบอุ่นที่มีของเขา “คุณซื้อบริษัทฉู่ซื่อกลับมาให้ฉัน แถมบริษัทโม่ซื่ออีกด้วย มันมากเกินไปมาก ถ้าไม่ยังงั้นคุณไม่จดทะเบียนบริษัทโม่ซื่อไว้เป็นชื่อคุณงั้นหรือ?”
หากไม่ได้เป็นเจ้าของ ก็จะไม่รู้ว่าที่นั่นมีสภาพเป็นอย่างไร ลั่วหานมองดูบริษัทโม่ซื่อกับฉู่ซื่อมาตั้งแต่ต้น เธอถูกสถิติของบัญชีทำให้ตะลึงตกสั่นสะท้านก่อน หลังจากนั้นก็ถูกปัญหาการบริหารที่ซับซ้อนทำให้ปวดหัวขึ้นอีก เธอเองไม่ใช่บุคลากรที่เหมาะสมแบบนั้นจริงๆ
หลงเซียวมองดูเวลาก็ใกล้จะได้เวลาแล้ว จึงจูงมือเธอขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นชื่อของคุณหรือของผม ทั้งบริษัทฉู่ซื่อและบริษัทโม่ซื่อ ต่างก็เป็นสินทรัพย์ในสัญญาสมรสของพวกเราทั้งนั้น ทั้งคุณและผมต่างก็แบ่งกันคนละครึ่ง ดังนั้นไม่มีข้อแตกต่างอะไร ถ้าหากคุณไม่อยากได้จริงๆ วันหลังก็ค่อยยกให้ลูกก็ได้แล้วล่ะ”
หือ? ยกให้ลูก? เฮอะๆๆ!
“พ่อที่เผด็จการอย่างคุณนี่ใจกว้างจังนะ!”
“ผมดูคนเป็นอยู่แล้วน่า”
หลังจากจัดการงานเสร็จ คุณหมอฉู่ที่กำลังตั้งท้องอยู่ก็เริ่มหิวขึ้นมา ทั้งสองคนจึงตัดสินใจที่จะไปหาอะไรกินก่อนสักมื้อ พร้อมทั้งฟังหลงเซียวสอนเรื่องเศรษฐกิจการเงินด้วย
“นางฟ้า! นางฟ้ามาจริงๆ ด้วย! เมื่อกี้ฉันกำลังไปเอารายการเดินบัญชีที่แผนกการตลาดอยู่เลย พอได้ยินว่าคุณมาฉันก็รีบมาหาทันที ไม่คิดว่าจะใช่จริงด้วย!”
พลันที่สุดทางเดินก็มีโจวโร่หลินกำลังวิ่งมาหาอย่างลุกลี้ลุกลน
ลั่วหานก็พยักหน้ารับ “ฉันแค่มาเยี่ยมน่ะ ตอนนี้จัดการธุระเสร็จ และกำลังจะไปกินข้าวแล้วล่ะ”
โจวโร่หลินหันไปมองดูหลงเซียวที่อยู่ข้างๆ เธอ ก่อนจะเบะปากให้ พร้อมทั้งยกมือทักทายอย่างเลื่อมใส “สวัสดีค่ะ ท่านเซียว”
หลงเซียวพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“จะไปกินข้าวกันที่ไหนหรือคะ? ใกล้ๆ นี้มีร้านดีๆ เยอะเลย งั้นให้ฉันแนะนำให้สักร้านแล้วกันนะคะ ถ้างั้น…จริงๆ แล้วฉันก้หิวอยู่เหมือนกันนะคะ…ฮัดเช้ย!!”
พอโจวโร่หลินพูดถึงช่วงที่ตื่นเต้น จู่ๆ เธอก็จามออกมาเสียงดัง เธอจึงรีบยกมือขึ้นปิดปาก “ขอโทษด้วยค่ะ พอดีฉันเป็นหวัดน่ะ แค่กๆ”
หลงเซียวขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะดึงกายของลั่วหานมาไว้ด้านหลังเพื่อปกป้องไว้ เพราะคนท้องมักจะติดเชื้อได้ง่าย เขาต้องปกป้องสุขภาพของลั่วหานเอาไว้
ลั่วหานเองก็เข้าใจดี จึงไม่ได้ขยับอะไร
“นางฟ้า ประธานกู้กับประธานไป๋กับหัวหน้าหวังไม่มีใครอยู่เลย ฉันไปกินข้าวกับพวกคุณด้วยไม่ได้หรือคะ?” โจวโร่หลินไม่ได้อยากจะหาใครไปกินข้าวด้วยหรอก เพียงแค่เธอทนรับการขูดรีดจากเกาจิ่งอานไม่ได้ เลยอยากจะหาโอกาสที่จะทำให้เขายุ่งยากเท่านั้น
หลงเซียวปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “ฉันกับลั่วลั่วไม่ได้จะไปกินข้าวแถวนี้หรอกนะ”
โจวโร่หลินร้องโอดครวญอย่างหดหู่ “งั้นก็โอเคค่ะ”
ลั่วหานมองดูสีหน้าของเธอที่ดูเหลืองไป คงจะเป็นทั้งหวัดแล้วก็เป็นไข้ด้วย “ทำไมถึงไม่สบายล่ะ?”
“ก็ไม่ใช่เพราะเกาจิ่งอานหรือ ฉันประสาทแทบจะกินอยู่แล้ว เขาให้ฉันเป็นคนคอยรับใช้เขา แถมยังให้ฉันนอนอยู่บนโซฟาห้องรับแขกที่บ้านเขาอีก ถ้าไม่เป็นหวัดก็แปลกแล้วล่ะค่ะ!” โจวโร่หลินก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่างรู้สึกปลดปล่อย ช่างสดชื่นจริงๆ!
“เกาจิ่งอานแกล้งเธอแบบนั้นเลยหรือ? เอาไว้วันหลังฉันจะโทรไปเตือนเขาให้แล้วกัน หลังจากนี้เขาจะได้ไม่กล้าทำอีก” ภาพความประทับใจที่เกาจิ่งอานมีต่อลั่วหานนั้น เป็นสิ่งพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ใช่สุภาพบุรุษอะไรขนาดนั้น
แต่หลงเซียวกลับพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “คุณโจวพูดแบบนี้ก็ดูไม่ถูกเท่าไหร่นะ เกาจิ่งอานทำเพื่อช่วยเธอจากบาดแผล การจะดูแลคนที่ช่วยชีวิตตัวเองก็แน่นอนอยู่แล้ว แล้วจะบอกว่าเขามาแกล้งได้ยังไง?”
“แต่ว่าฉัน…”
หลงเซียวจ้องมองเธอด้วยแววตาลึกซึ้ง “แต่ว่าอะไร?”
โจวโร่หลินนิ่งไปทันที “ไม่มีอะไรค่ะ…”
หลงเซียวดึงมือลั่วหานเอาไว้ไม่ให้เธอพูดอะไรอีก “ในเมื่อไม่มีอะไร คุณโจวก็ดูแลเขาให้ดีก่อนแล้วกัน บุญคุณและความแค้นต้องแยกออกจากกัน คุณโจวเองก็ฉลาดขนาดนี้ คงจะรู้ว่าผมจะพูดว่าอะไรใช่ไหม?”
โจวโร่หลินเองก็พูดอะไรไม่ออกทันที ทำได้เพียงพยักหน้ารับ “รู้แล้วค่ะ”
“ก็ดี งั้นผมจะรอข่าวคุณเกาหายดีนะ” หลงเซียวเผยรอยยิ้มอย่างไม่อาจคาดเดา
หลังจากเดินออกมาจากตึกบริษัทตระกูลฉู่ซื่อ ลั่วหานกำลังพยายามคิดเข้าใจในความหมายของเขา หลังจากนั้นก็ดึงชายเสื้อเขาเอาไว้ จากนั้นก็มองด้วยแววตาที่เจ้าเล่ห์ “หลงเซียว นี่คุณกำลังแนะนำเกาจิ่งอานให้กับโจวโร่หลินอยู่งั้นหรือ?”
หลงเซียวแสยะยิ้ม ขณะที่เขากำลังจะพูดนั้นเอง เขาก็เห็นหวังเค่ยกำลังเดินเข้ามา ด้วยใบหน้าที่บวมเป่งมาก ราวกับถูกอัดมา
แค่ไปดื่มกาแฟกับภรรยาเก่า มันต้องโหดร้ายแบบนี้เลยหรือ? ช่างมีความสามารถจริงๆ
“ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ? สรุปว่าใช่ไหม?” ลั่วหานรั้งชุดสูทเขามาถาม
หลงเซียวพลันพยายามบุ้ยปากให้เธอมองไปข้างหน้า
ชั่วประเดี๋ยวเดียว แววตาทั้งหกก็มองประสานกัน หวังเค่ยที่ยืนอยู่ขั้นบันไดล่างนั้น ดูสีหน้าราวกับจนตรอก สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่ด้านบนก็ทำสีหน้าดูสว่างโชติช่วง
หวังเค่ยก้มหน้าอย่างกระอักกระอ่วน พร้อมอาศัยเส้นผมที่ปรกลงมาบังใบหน้าด้านซ้ายของตัวเองเอาไว้ “ไม่ได้เจอกันนานนะครับ ท่านประธาน คุณหลง”
ลั่วหานเผยอมุมปาก “หวังเค่ย นาย…”
หลงเซียวห้ามลั่วหานไว้อีกครั้ง ภรรยาของเขานี่นะ เป็นคนท้องที่ไม่รู้จักแยกแยะสถานการณ์บ้างหรือไงนะ?
“ไม่ได้เจอกันนานนะ” หลงเซียวพูดขึ้น แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นรอยบนหน้าของเขา
ลั่วหานเพิ่งจะสำนึกตัวขึ้นมาได้ นี่เธอเป็นคนปัญญาอ่อนจริงๆ นี่เธอคิดจะถามเขาว่าโดนผู้หญิงต่อยมางั้นหรือ?
พระเจ้า! สมองของเธอหายไปไหนแล้วกันเนี่ย?
หวังเค่ยชี้ไปข้างหน้าอย่างเขินอาย “ท่านประธานมีธุระอะไรหรือครับ? ถ้าไม่มีล่ะก็ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ได้สิ ไปเถอะ”
“งั้น…ไว้เจอกันครับ” หวังเค่ยเดินโซซัดโซเซไปก้าวยาวราวกับวิ่งหนีไป