ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 557
ตอนที่ 557 ผู้ชายในคืนนั้นคือเขาไม่ผิดแน่
คำตอบคือเธอทำไม่ได้แน่นอน
มือของเธอคลายออกโดยอัตโนมัติ ลั่วหานทำสีหน้าขรึมลง ก่อนจะอดกลั้นความขมขื่นไว้ในดวงตา “ถ้านายไปที่นู่นก็สามารถเข้างานได้ทันทีเลยนะ ผู้อำนวยการเตรียมตำแหน่งดีๆ ไว้ให้นายแล้วล่ะ”
“ขอบคุณนะ ลั่วหาน”
เธอเบือนหน้าหนี ไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาในดวงตาของเธอ “จิ้นเหยียน ขอให้มีความสุขนะ”
หากช่วยเหลือกันยามลำบากไม่ได้ ก็จงลืมเลือนกันและกันไป ฉันหวังว่าหนทางข้างหน้าของนายจะราบรื่น หวังว่าชีวิตของนายจะมั่นคง
ถังจิ้นเหยียนเอียงตัวไปอีกข้างหนึ่ง ไม่อยากจะเห็นแววตาของเธออีก แล้วก็ไม่กล้าจะมองดูเธอโศกเศร้าด้วย แต่พอก้มหน้าก็พบว่ามีน้ำตาที่ร้อนผ่าว เอ่อล้นออกมาเสียแล้ว
“เธอเองก็เหมือนกันนะ”
พูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไปทันที มือของลั่วหานคลายออกฉับพลัน แต่พอหันกลับไปมองก็พบว่าไม่เห็นตัวของเขาแล้ว
ถ้าหากรู้ก่อนหน้านี้ว่าระหว่างพวกเธอจะมาถึงจุดนี้ล่ะก็ ลั่วหานก็หวังว่าจะไม่รู้จักถังจิ้นเหยียนตั้งแต่ต้น ถ้าเป็นแบบนั้น ชีวิตของเขาก็อาจราบรื่นและไปได้ไกลมากกว่านี้
ถังจิ้นเหยียนอาศัยวันหยุดในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ในการจัดการงานที่เหลือที่โรงพยาบาลต่อจนดึก อีกไม่กี่วันเขาก็จะต้องไปจากที่นี่แล้ว
หวาเทียนที่กลับมาจากห้องยา เขาถือกล่องพลาสติก ที่มียาใส่อยู่เต็มกล่องมาด้วย “คุณหมอฉู่คงจะรู้แล้วใช่ไหม? ว่าคุณหมอถังจะลาออกน่ะ”
ลั่วหานรีบปาดน้ำตาทิ้ง ก่อนจะพูดด้วยแววตาที่แดงก่ำ “อืม ฉันรู้แล้วล่ะ เมื่อกี้นี้ฉันก็คิดจะรั้งเขาไว้ แต่ท่าทีของเขาดูแน่วแน่มาก ฉันเลยทำไม่สำเร็จน่ะ”
หวาเทียนถือกล่องพลาสติกนั้นยืนพิงกำแพง “เมื่อยืนอยู่ในจุดเดียวกันกับผู้ชาย ฉันก็เห็นด้วยในการตัดสินใจของคุณหมอถังนะ แล้วก็สนับสนุนเขาด้วย คุณหมอถังน่ะรักเธอมากเกินไปล่ะนะ”
ลั่วหานกลอกตามองเขา “เอาเวลาที่พูดมาทำงานดีกว่าไหม? ในเมื่อคุณหมอหลินไม่อยู่นายก็ต้องยุ่งหน่อยล่ะนะ”
หวาเทียนราวกับจะเรียกร้องขอความเป็นธรรม “ฉันพูดจริงนะ พูดจริงๆ นะ!”
“ไม่ได้ยินเลย” ลั่วหานก้าวเท้าเดินจากไป เธอรีบเดินมาที่หน้าประตูลิฟต์ ซึ่งขณะนั้นประตูก็เปิดพอดี หลังจากที่เธอเข้าไปเธอก็รีบกดปุ่มอย่างบ้าคลั่ง เพื่อไม่ให้หวาเทียนเดินตามเข้ามา
หลังจากที่ประตูลิฟต์ปิดสนิท ลั่วหานก็ยืนพิงกำแพงเหล็กในนั้น พร้อมด้วยน้ำตาที่หยดลงอาบแก้มอีกครั้ง
หวาเทียนถือกล่องใบนั้นพร้อมด้วยสีหน้าอึดอัด “ผู้หญิงมักจะอารมณ์เสียแบบนี้หรือเปล่าเนี่ย? พอถึงเวลาดื้อทีไรตัวเองก็เป็นใหญ่ที่สุดทุกที”
คนที่บ้านเขาเองก็เหมือนกัน ถึงแม้จะสุขุมมีสติปัญญาเหมือนกับคุณหมอฉู่ก็ตาม แต่ก็เป็นแบบนี้แหละ
ลั่วหานกลับมาถึงที่ห้องทำงานก็พบว่าคุณหมอหลินไม่อยู่แล้ว แม้แต่ความเย็นยะเยือกก็ยังไม่มีสักนิด
ช่างอ้างว้างเหลือเกิน
ยังดีที่พอถึงเวลาทำงานก็ยุ่งเสียจนไม่ได้คิดเรื่องอื่น ทำให้ลั่วหานลืมเรื่องที่มาคอยกวนใจได้หมด
หลังจากทำงานจนถึงเวลาประมาณสี่ทุ่ม ลั่วหานก็บีบไหล่ของตัวเองเพื่อผ่อนคลาย
เธอเปิดมือถือขึ้นดูเบอร์ของเจิ้งซิ่วหยาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกดโทรออกไป
ถ้าหากว่าถังจิ้นเหยียนจะลาออก แบบนี้เจิ้งซิ่วหยาไม่โมโหตายยังงั้นหรือ?
เสียงเรียกเข้าดังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมีคนกดรับสาย พลันเสียงของเจิ้งซิ่วหยาก็ดังออกมา “ทำไมจู่ๆ ถึงโทรมาหาฉันได้ล่ะคุณหมอฉู่? เคสคุณยายของเธอพวกเรายังตรวจสอบกันอยู่เลยนะ”
“ไม่ใช่เรื่องแม่ผัวของฉันสักหน่อย เธอรู้แล้วใช่ไหมว่าถังจิ้นเหยียนจะไปประเทศสหรัฐอเมริกาน่ะ?” ลั่วหานลองถามหยั่งเชิงไปดู
เจิ้งซิ่วหยาปล่อยมือออกจากเมาส์ ก่อนจะพยักหน้าอย่างสง่างาม “รู้แล้วล่ะ เขามาบอกฉันและขอเลิกกับฉันแล้ว แถมยังบอกฉันด้วยว่ายังลืมเธอไม่ได้ จนไม่สามารถที่จะอยู่ที่โรงพยาบาลนั้นต่อไปได้อีก ดังนั้นจึงตัดสินใจหนีไปที่สหรัฐอเมริกา เธอว่าตำรวจที่สง่างามอย่างฉัน ทำไมถึงไปหลงรักผู้ชายที่ไม่มีอนาคตแบบนั้นกันนะ? ฉันนี่กลุ้มใจจริง!”
กลับกันลั่วหานก็รู้สึกเกรงใจขึ้นมา “เธอรู้หมดแล้วหรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ พวกเราคุยกันตั้งนานแล้ว แต่เธอวางใจเถอะนะ ไม่ว่าเขาจะไปยังไง หรือกลับมายังไงก็ตาม ตอนนี้ถังจิ้นเหยียนก็เหมือนมีเส้นผมมาบังภูเขา ไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องเห็นความดีของฉันแน่ ไม่แน่หลังจากนี้เขาอาจจะร้องไห้ กลับมาขอฉันคืนดีก็ได้!”
“เอ่อ…” ลั่วหานพูดอะไรไม่ออกไปทันที เจิ้งซิ่วหยาช่างเป็นคนที่มีจิตใจที่แข็งแกร่งเหลือเกิน
เจิ้งซิ่วหยาตัดใจไม่พูดเรื่องของถังจิ้นเหยียนอีกต่อไป เธอหยิบเอาเอกสารฉบับหนึ่งมาเปิดขึ้น “คนที่น่ารักน่าลุ่มหลงอย่างถังจิ้นเหยียน ฉันไม่มีทางจะปล่อยให้หลุดมืออยู่แล้วน่า! แต่ว่าคุณหมอฉู่ ดูเหมือนว่าศาสตราจารย์ส้งจะเจอกับเรื่องยุ่งยากเข้าแล้วล่ะนะ”
ศาสตราจารย์ส้ง?!
ลั่วหานรีบถามขึ้นทันที “เขาเป็นอะไรไปหรือ? เรื่องยุ่งยากอะไรน่ะ?”
เจิ้งซิ่วหยาชี้ไปที่โจวจั่น ก่อนเขาจะหอบเอากองเอกสารขนาดใหญ่มา ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับส้งชิงเซวี๋ยนทั้งหมด “วันสองวันที่ผ่านมา ฉันมัวแต่หาข้อมูลของศาสตราจารย์ส้ง จนแทบไม่ได้กินอะไรเลย หลังจากที่ฉันอุดอู้อยู่ในที่แคบๆ นี้พักหนึ่ง ก็ได้พบบุคคลที่น่าสงสัย เธอมาที่นี่หน่อยสิ จะได้แยกแยะคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกได้”
เจิ้งซิ่วหยาเล่าสถานการณ์ให้ฟังอย่างเคร่งขรึม ทำให้ลั่วหานไม่กล้าที่จะล่าช้าเลยแม้แต่นิด ก่อนจะรีบเลิกงานก่อนเวลา แล้วไปที่สถานีตำรวจทันที
หลังจากที่มาถึงห้องมัลติมีเดีย เจิ้งซิ่วหยาก็กำลังเอารูปภาพผู้ต้องสงสัยกว่าสิบรูป วางไว้บนหน้าจอโปรเจคเตอร์ที่ฉายเข้ากำแพง จากนั้นก็ใช้ไฟฉายส่องไปที่คนแรก “คุณหมอฉู่ ตรงนี้มีคนทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน ฉันอยากให้เธอแยกแยะให้หน่อยว่าคืนนั้นคนที่เธอเห็นมีใครบ้าง เธอแยกได้ใช่ไหม?”
ลั่วหานนั่งลงบนเก้าอี้ รักษาระยะห่างกับหน้าจอนั้น เธอหลับตาลงย้อนคิดไปถึงผู้ชายในคืนนั้น ก่อนจะพยักหน้า “ได้สิ ถึงแม้ว่าจะเลือนรางนิดหนึ่ง แต่ฉันก็เป็นหมอนะ ฉันจำพวกลักษณะเฉพาะได้ง่ายๆ แถมมันยังช่วยเรื่องความจำฉันอีกด้วย”
เจิ้งซิ่วหยาพยักหน้า “งั้นก็ดี พวกเรามาดูกันไปทีละคนดีกว่า เธอเลือกคนที่น่าสงสัยออกมา แล้วค่อยเอามาคัดเลือกครั้งสุดท้ายอีกที เธอต้องตั้งสติตลอดเวลานะ โอเคไหม?”
ลั่วหานพยักหน้ารับ เธอเคยทำการผ่าตัดทั้งเล็กและใหญ่มาตั้งกี่พันเคสแล้ว เพราะฉะนั้นเธอทำได้แน่นอน
หลังจากผ่านไปสิบนาที
เจิ้งซิ่วหยา โจวจั่นและเฉินเจาทั้งสามคนก็แทบจะหยุดหายใจ สายตาทั้งสามคู่ตอนนี้มองมาที่ฉู่ลั่วหานเป็นตาเดียว “คุณหมอฉู่ เธอแน่ใจหรือว่าที่เธอคัดออกไปทั้งหมดนั้นไม่ใช่น่ะ?”
ลั่วหานส่ายหัว เธอได้ทำการยืนยันซ้ำอีกรอบแล้ว ซึ่งไม่ใช่จริงๆ เธอมั่นใจได้เลย หากอิงเอาความรู้สึกและความจำของหมอมาใช้ “ไม่ใช่ทั้งหมดเลย ฉันมีภาพความจำที่ชัดเจนอยู่ในหัว ดังนั้นไม่ใช่แน่นอน”
ถึงแม้ว่าจะผ่านมานานแล้วก็ตาม แต่ลั่วหานมีความจำที่ดีเลิศ เวลาที่เธออ่านหนังสือ ผู้ป่วยคนหนึ่งต้องอ่านมันถึงสองรอบถึงจะเข้าใจ ตาของเธอจำได้ว่ารถมันไปทางไหน แถมคืนนั้นเธอก็เห็นใบหน้าด้านข้างของชายคนนั้นอีก เพราะฉะนั้นไม่มีทางผิดแน่นอน
เจิ้งซิ่วหยากับเฉินเจาต่างก็หันมาสบตากัน พร้อมทั้งเลือดภายในที่คุกรุ่นไปมา
ขณะที่พวกเขากำลังตึงเครียดกันอยู่ ลั่วหานก็ไล่ดูมาจนถึงผู้ต้องสงสัยคนสุดท้ายแล้ว
“คุณหมอฉู่ เหลือแค่คนสุดท้ายแล้ว เธอจะไม่ลองกลับไปดูใหม่อีกทีหรือ?” เจิ้งซิ่วหยากำหมัดแน่น จนเผยให้เห็นเส้นเลือดปูดออกที่หลังมือของเธอได้ชัดเจน
“ไม่ต้องหรอก เอาคนสุดท้ายมาให้ฉันดูได้แล้ว” ลั่วหานจ้องมองไปบนหน้าจอด้วยแววตาที่สดใสราวกับน้ำ แสงสว่างขนาดใหญ่ตอนนี้พาดผ่านไปทั่วทั้งห้อง โดยไม่มีจุดใดที่ตกอยู่ในความมืดเลย
เฉินเจาเป็นคนเปลี่ยนภาพสุดท้ายด้วยตัวเอง เขากลืนน้ำลายดังอึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองลั่วหานโดยที่ยังคุกเข่าอยู่ “คุณนายหลงครับ คุณต้องดูให้ดีๆ นะครับ คนนี้เป็นคนสุดท้ายแล้ว”
โจวจั่นเองก็ตึงเครียดขึ้นมา พร้อมทั้งกำมือทั้งสองข้างแน่น อีกทั้งพูดอย่างตะกุกตะกัก “คุณหมอฉู่ คุณ…”
พลันแววตาของลั่วหานก็หรี่ลง พร้อมทั้งหยุดชะงักดูรูปภาพใบนั้นด้วยแววตาที่เคร่งขรึม ใบหน้าที่ขยายให้ใหญ่กว่าหลายเท่าเข้าสู่สายตาของเธอ ถึงจะแปลกหน้าแค่ไหนแต่กลับรู้สึกคุ้นตา!
“ใช่ คนนี้ล่ะ คนที่เห็นในคืนนั้นคือเขาเลย ฉันจำใบหน้าด้านข้างของเขาได้ ไม่ผิดแน่” ลั่วหานชี้ไปที่คนตรงหน้า ก่อนจะพยักหน้าอย่างมั่นใจ โดยที่ไม่มีลังเลสงสัยเลยแม้แต่นิด
โครม!
โจวจั่นผลักเก้าอี้จนล้มระเนระนาดไป ก่อนจะค่อยๆ พยุงมันกลับมาอย่างเดิมอย่างลุกลี้ลุกลน ก่อนจะผงกหัวอย่างเขินอาย “คือผม…ผมดีใจไปหน่อยน่ะครับ”
สีหน้าของเจิ้งซิ่วหยากับเฉินเจาเองก็เปลี่ยนไปฉับพลัน ทั้งสองคนต่างก็นั่งลงพร้อมกัน และตกเข้าสู่ความเงียบ
ลั่วหานยักไหล่อย่างไม่เข้าใจ “พวกเธอเป็นอะไรกันไปน่ะ? หาผู้ต้องสงสัยเจอแล้วก็ต้องดีไม่ใช่หรือไง? ในเมื่อรู้แล้วว่าคนร้ายเป็นใคร ก็ออกหมายจับไปเลยสิ การตอบสนองของพวกเธอดูแปลกๆ ไปนะ”
เจิ้งซิ่วหยายิ้มแห้ง ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าอารมณ์ไร้ความรู้สึก “คุณหมอฉู่ ศาสตราจารย์ส้งของเธอเป็นคนยังไงกันหรือ? เขาเคยมีความแค้นกับใครหรือเปล่า?”
ลั่วหานยิ่งขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีก จนใบหน้าที่แดงระเรื่อของเธอเริ่มซีดขาว ศาสตราจารย์ส้งงั้นหรือ? ตอนนั้นเขาคลุกคลีอยู่กับพวกมู่เส้าเอินกับหลงถิง ก่อนหน้านี้ที่หยวนชูเฟินจ้างนักฆ่านั้น หลงถิงก็แอบโต้กลับหลงเซียวอยู่ลับๆ หรือว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนกันนะ?
คงไม่ใช่หรอกมั้ง?
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ศาสตราจารย์ส้งไปทำอะไรใครงั้นหรือ?” สีหน้าของลั่วหานดูไม่แน่ใจ ขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกเหมือนสมองบวมขึ้นหลายเท่าเลย
เฉินเจายื่นเอกสารฉบับหนึ่งมาให้ลั่วหานด้วยสองมือ พร้อมทั้งทำหน้าดำคร่ำเครียด ราวกับถูกดินปืนอัดมายังงั้น “คุณลองดูนี่แล้วกันครับ อ่านจบเดี๋ยวก็รู้เองล่ะครับ”
เจิ้งซิ่วหยาเองก็ถอนหายใจเฮือกยาว “ให้ตายเถอะ ฉันนี่ดวงดีจังเลยนะ สิ่งที่ต้องเผชิญมาในหน้าที่ของฉันนี่มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!”
ลั่วหานเปิดเอกสารนั้นออกดู หน้าแรกเป็นประวัติของเขา พร้อมด้วยรูปภาพที่แปะอยู่มุมขวาบน แถมยังดูอ่อนเยาว์อีกต่างหาก ดูท่าทางแล้วอย่างมากที่สุดก็น่าจะอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี
ผู้ต้องหามีชื่อว่าเหมาจู้นพ่อกับแม่ของเขาเคยเป็นอาชญากรข้ามชาติ แถมยังเคยถูกจับเข้าคุกมาด้วย แต่ต่อมาก็ถูกประกันตัวออกมา หลังจากออกมาจากคุกได้สองปี ก็ได้เข้าร่วมภารกิจหนึ่ง ซึ่งทั้งสองคนก็ได้เสียชีวิตไปในภารกิจนั้น
แต่เรื่องราวมันเป็นอย่างไร ในเอกสารกลับว่างเปล่าไม่ได้บอกเอาไว้ เพียงแต่บอกเอาไว้แค่ว่าตายโดยไม่ทราบสาเหตุ
พวกเขาเหลือเพียงลูกชายที่สืบทอดพ่อแม่เขามาเต็มๆ อายุสิบห้าต้องไปเข้าค่ายแรงงาน พออายุสิบแปดก็ออกจากคุก จากนั้นก็ได้เข้าสู่สังคมมืดไป……
“ให้ตายสิ…” ลั่วหานรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดจนตัวชา “เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องมันยาวเกินไปแฮะ”
เจิ้งซิ่วหยาช่วยเธอพลิกไปหน้าหลัง “เธอยังไม่ได้เห็นจุดสำคัญเลย นี่เป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น แถมคนนี้ก็ไม่ใช่หัวใจหลัก เขาเคยเปลี่ยนสัญชาติ ตอนนี้เขามีสัญชาติเป็นลูกครึ่งจีน-อเมริกัน เขาวนเวียนไปมาอยู่แถบเอเชียแปซิฟิคกับยุโรปและอเมริกา เบื้องหลังของเขามีแก๊งอาชญากรที่เป็นความลับอยู่ด้วย แต่เขาก็เป็นแค่ลูกสมุน เพราะยังงั้น…”
เจิ้งซิ่วหยายกมือขึ้นกุมหน้า “ศาสตราจารย์ส้งอยู่ในตัวตนไหนกันแน่?”
ลั่วหานวางเอกสารลง “มันก็ง่ายมาก แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขามันไม่ได้ง่ายแบบนั้น ศาสตราจารย์ส้งเคยให้ข้อมูลแก่พวกเธอเมื่อหนึ่งกว่าปีก่อน ซึ่งสามารถเอาทั้งสองคดีนี้มาเปรียบเทียบและตรวจสอบดูได้”
“ให้ตายเถอะ!” เฉินเจาโกรธจนตบมือลงไปบนเอกสาร “แบบนี้มันต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วแน่ๆ”
โจวจั่นพยายามประคองตัวเองนั่งลง “หัวหน้า พี่ใหญ่ ทำไมผมรู้สึกเหมือนกับ จะเกิดการก่อความวุ่นวายขึ้นมาเลยล่ะ”
เจิ้งซิ่วหยาออกแรงนวดขมับทั้งสองข้าง “ศาสตราจารย์ส้งกับมู่เส้าเอินเป็นเพื่อนสนิทกัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดการเข่นฆ่ากันตลอดสามสิบปี อีกทั้งนักฆ่าก็ยังอยู่บนโลก ทำให้เหตุการณ์นองเลือดของตระกูลมู่ต้องทำการรื้อคดีขึ้นมาใหม่”
ลั่วหานพลันมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดออกมาอย่างไม่รู้ตัว การตรวจสอบคดีใหม่ของมู่เส้าเอิน คงต้องลากหยวนชูเฟินเข้ามาเกี่ยวข้องกันอย่างช่วยไม่ได้ แถมอาจจะเปิดเผยตัวตนของหลงเซียวด้วย
พอถึงตอนนั้นเรื่องทั้งหมด คงจะถูกเปิดเผยต่อสายตาสาธารณชนแน่ๆ
แล้วมันจะเกิดโศกนาฏกรรมอะไรบ้างนะ?
เจิ้งซิ่วหยาแกว่งมือไปมาต่อหน้าของลั่วหาน “คุณหมอฉู่ กำลังเหม่ออะไรอยู่หรือ?”
ลั่วหานหันกลับมาราวกับตื่นจากฝัน “อื๋อ? ไม่…ไม่มีอะไรหรอก”
เจิ้งซิ่วหยาทำเสียงจิ๊ปาก “พอพูดถึงตระกูลมู่ทำไมเธอถึงได้เป็นแบบนี้ล่ะ? แถมสีหน้าก็เปลี่ยนไปด้วย เธอรู้จักคนของตระกูลมู่งั้นหรือ?
ลั่วหานพยายามหัวเราะออกมา “เมื่อสามสิบปีก่อนตอนที่ตระกูลมู่ยังไม่ได้ถูกฆ่าล้างครอบครัวนั้น ฉันยังไม่ได้เกิดเลย”
โจวจั่นยกมือขึ้นปาดเหงื่อ “พี่ใหญ่ พี่อย่าพูดมั่วสิ”
เจิ้งซิ่วหยาเชิดคางพูดอย่างเอ้อระเหย “ก็ใช่นะ แต่ฉันขนลุกไปหมดแล้วล่ะ เฮ้อ ตอนนั้นคนที่เกี่ยวข้องกับศาสตราจารย์ส้งเกือบจะถูกฆ่าตายไปแล้ว ถ้าหากตระกูลมู่ยังมีผู้รอดชีวิตอยู่จริง คงยากที่จะหนีจากความตายเป็นแน่ ให้ตายเถอะ ไปยุ่งกับพวกสังคมมืดแบบนั้น พวกนั้นมีอำนาจเยอะจะตายไป! ไม่ต้องพูดถึงแค่ฆ่าคนเลย แต่ทำได้แม้กระทั่งประหารเก้าชั่วโคตร โธ่เอ๊ย! ฉันนี่ตกใจกลัวแทบแย่!”
“ตุ้บ!”
พลันมือถือของลั่วหาน ก็ถูกปล่อยผล็อยลงบนพื้นอย่างแรง