ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 558
ตอนที่ 558 บัตรเชิญที่คุณชายใหญ่ส่งมา
คำพูดของเจิ้งซิ่วหยาราวกับสายฟ้า ที่ฟาดลงกลางใจของลั่วหานอย่างไม่ต้องสงสัย ขณะเดียวกันก็ทำให้ลั่วหานตะลึงไปทันที
“คุณหมอฉู่ เธอเป็นอะไรไปน่ะ? ตั้งแต่เมื่อกี้จนถึงตอนนี้สีหน้าเธอดูแปลกมากเลยนะ เธอไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหม?” เจิ้งซิ่วหยารีบสาวเท้าเข้าไปเก็บมือถือขึ้น ก่อนจะยื่นคืนให้เธอ
“โอ้โห แตกละเอียดหมดเลย” เจิ้งซิ่วหยาส่งเสียงทอดถอนใจ
เป็นเพราะมันตกลงในมุมที่พอดี หน้าจอมือถือแตกจนเป็นรอยร้าว ตั้งแต่มุมซ้ายล่างจนถึงมุมขวาบน แถมด้านในฟิล์มกันรอยก็แตกเปิดออกมา
ลั่วหานรับมือถือมาแล้วลูบฟิล์มกันรอยนั้นไปมา แต่ส่วนที่แตกละเอียดนั้นไม่ใช่เป็นฟิล์มกันรอย แต่เป็นที่หน้าจอต่างหาก แต่เรื่องนี้มันก็ปกปิดความไม่เป็นตัวของตัวเองของเธอเมื่อกี้นี้ได้พอดี เธอยัดมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋า “ไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวไปร้านซ่อมก็โอเคแล้วล่ะ”
เจิ้งซิ่วหยาพยักหน้า “ก็ดี ที่จริงตอนนี้คดีของพวกเราก็มีความคืบหน้าอย่างมากแล้ว เพียงแค่หลังจากนี้ต้องทำทุกอย่างไปอย่างละเอียด หลังจากนี้ถ้าหากมีอะไรคืบหน้าอีก พวกเราจะแจ้งเธอเป็นคนแรกเลย”
ลั่วหานลุกออกจากเก้าอี้ ก่อนจะยกมือขึ้นทัดผมที่ปรกลงข้างหูของเธอ “โอเค ถ้าอย่างนั้นรบกวนทุกท่านด้วยนะ”
เฉินเจากับโจวจั่นก็รีบผงกหัวรับ “เป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้วครับ”
เจิ้งซิ่วหยากลอกตามองโจวจั่น เจ้าคนที่ไม่มีอนาคตนี่ ทุกครั้งพอได้เจอกับคุณหมอฉู่ก็มักจะเป็นแบบนี้ ทำอย่างกับไม่เคยเจอผู้หญิงมาเป็นเวลานานยังงั้น
“เดี๋ยวฉันส่งเธอออกไปเอง” เจิ้งซิ่วหยาหันมาพูดกับเธอ
“โอเค”
ทั้งสองคนเดินออกจากประตูห้องมัลติมีเดียไป พลันลั่วหานก็ได้ยินเสียงพูดคุยของโจวจั่นกับเฉินเจาด้านหลัง “คุณส้งเกือบจะตายไปแล้ว ฉันสงสัยว่าเรื่องมันคงไม่ได้ง่ายแบบนั้น พวกเราไม่มีวิธีที่จะตามหาได้เลยว่า ตระกูลมู่มีผู้รอดชีวิตเหลืออยู่จริงไหม ถ้าหากว่าแก๊งค์แลนด์HK ไปร่วมมือทำผิดกฎหมายกับคนอื่นด้วยอีกล่ะก็ ตระกูลมู่คงจะตกอยู่ในอันตรายแน่”
โจวจั่นยังคงหันมามองด้านหลังของลั่วหานอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะพยักหน้ารับ “หัวหน้าพูดถูก นี่มันแค่เริ่มเท่านั้น”
“ให้ตายเถอะ! นายเอาตาไปมองที่ไหนน่ะ? นายกล้ามองผู้หญิงของหลงเซียวหรือไง?” เฉินเจาเคาะเอกสารลงบนกระหม่อมของโจวจั่นอย่างแรง
ต่อจากนั้นโจวจั่นก็ร้องเสียงโหยหวนออกมา
หลังจากเดินออกมาจากสถานีตำรวจ เจิ้งซิ่วหยาก็พูดขึ้น “คุณหมอฉู่ ตอนที่อยู่ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานในฐานะที่เป็นหัวหน้า ฉันเลยไม่ได้ถามเธอ แต่ด้วยความที่ฉันมีความรู้เข้าใจในสถานการณ์ที่ซับซ้อนของตระกูลเธอเพียงครึ่งเดียว พวกเธอกับตระกูลมู่นั้น มีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า?”
เจิ้งซิ่วหยาสวมรองเท้าหนังส้นสูงแบบหยาบๆ ทำให้ไม่สูงห่างจากลั่วหานมาก ทำให้สายตาของทั้งสองคนอยู่ในระดับเดียวกัน หดังนั้นสายตาจึงสบตากันเป็นแนวราบได้อย่างง่าย
ลั่วหานหัวเราะ หลังจากที่เดินออกมา ความรู้สึกตึงเครียดเมื่อกี้นี้ก็หายไปเยอะแล้ว “คุณตำรวจเจิ้งคิดมากไปหรือเปล่า? ฮ่าๆ”
เจิ้งซิ่วหยาเองก็หัวเราะตาม “จะบอกว่าฉันคิดมากไปงั้นหรือ? ไม่ว่าจะเป็นยังไง คุณหมอฉู่ก็ต้องระวังความปลอดภัยไว้ด้วยนะ อีกอย่างในเมื่อผู้ต้องสงสัยกำลังเคลื่อนไหวอยู่ต่างประเทศ ฉันขอแนะนำว่าให้ศาสตราจารย์ส้งกลับเข้ามาในประเทศเถอะ สถานการณ์ต่างประเทศมันสลับซับซ้อน มาตรการการป้องกันก็สะเพร่า หลังจากกลับมา หากอาศัยอำนาจและการเงินของคุณหลง การจะจัดหาคนรับใช้และบอดี้การ์ดคงจะไม่เป็นปัญหาหรอก”
“โอเค ฉันจะลองพูดกับศาสตราจารย์ส้งก็แล้วกัน เธอก็รีบกลับไปทำงานเถอะ ฉันขอตัวก่อนนะ”
เจิ้งซิ่วหยาเดินลงขั้นบันไดไปกับเธอสองสามขั้น ก่อนที่ในที่สุดจะอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว “คุณหมอฉู่ แล้วถังจิ้นเหยียนเขาเป็นยังไงบ้าง? ยังดีอยู่ไหม?”
แค่คำว่าถังจิ้นเหยียนสามคำ ยังคงเหมือนเป็นบาดแผลที่สดใหม่ในใจของเจิ้งซิ่วหยาตลอดไปอย่างไม่ต้องสงสัย หากไปสัมผัสโดนก็จะรู้สึกเจ็บปวด ถึงคนอื่นจะไม่เข้าใจ แต่ลั่วหานเข้าใจดี
การที่ถังจิ้นเหยียนทำกับเธอแบบนี้ มันเหมือนกับตอนนั้นที่เธอทำให้หลงเซียวหรือเปล่านะ?
ลั่วหานส่ายหัว ก่อนจะพูดตามความจริง “ไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะ เขาในตอนนี้ต้องการความเอาใจใส่และความรักมากน่ะ”
เธอยกมือขึ้นตบชุดนอกสีดำที่ดูสง่างาม ของเจิ้งซิ่วหยาอย่างคลุมเครือ ก่อนจะบอกเป็นนัยๆ ว่า “ฉันเข้าใจนะ”
ขณะเดียวกันนั้น ณ คฤหาสน์ตระกูลหลง
หลงถิงเดินลงบันไดวนที่สูงชัน เขายืนอยู่บันไดขั้นที่ห้ามองดูห้องโถงใหญ่ที่ชั้นแรก เป็นเพราะวันพรุ่งนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ จึงมีคนรับใช้ที่กำลังปัดกวาดเช็ดถู จัดระเบียบเครื่องใช้ในบ้านอย่างละเอียดลออ แถมยังตกแต่งดอกไม้แกะสลักที่สวยงามไว้บนชั้นโบราณตัวหนึ่งด้วย
โจวหยู่เช่นขณะนั้นถือว่าเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในคฤหาสน์ตระกูลหลง แถมยังเต็มไปด้วยท่าทางที่สูงส่งของเจ้าบ้าน เธอสวมชุดกระโปรงยาวรัดรูปสีม่วงเข้ม พร้อมด้วยผ้าคลุมไหล่สีครามผืนหนาบนไหล่ของเธอ เธอยืนกอดอกอยู่ตรงกลางห้องโถงนั้น ซึ่งกำลังสั่งให้เหล่าคนรับใช้ทำงานต่างๆ นาๆ
“บอกไปตั้งกี่ครั้งแล้ว ว่าโคมไฟต้องมาแขวนไว้ตรงนี้ แขวนไว้ด้านละอัน ใครใช้ให้เธอไปแขวนบนตู้โบราณนั้นกัน?”
โจวหยู่เช่นพูดด้วยน้ำเสียงที่แหลมคม และท่าทีที่ดุร้าย ท่าทีของเธอดูมีอำนาจ เกือบจะตำหนิให้คนรับใช้ตกลงมาจากบันไดเลย
คนรับใช้คนนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ พร้อมด้วยมือที่ถือโคมไฟสีแดงใหญ่ ที่สืบทอดกันมาในประเทศจีน ที่ฝังไปด้วยแผ่นคริสตัลมากมาย “แต่ว่า ก่อนหน้านี้ก็แขวนไว้ตรงนี้ตลอดเลยนะคะ คุณหญิงให้ฉันแขวนไว้ตรงนี้ตลอดเลยค่ะ”
โจวหยู่เช่นส่งเสียงหึในลำคอ “แล้วปีนี้คุณหญิงของพวกเธออยู่ไหมล่ะ? จะแขวนไปให้ใครดูกัน?”
คนรับใช้ก้มหน้าอย่างรู้สึกลำบากใจ แต่ก็ไม่กล้าจะพูดอะไรออกไป แต่พอคิดว่าคุณหญิงเป็นนายหญิงของบ้านนี้จริงๆ ซึ่งเธอคนนี้เป็นเพียงลูกสะใภ้หรือคนนอกเท่านั้น ทำไมถึงทำเป็นออกคำสั่งแบบนี้ล่ะ?
“จะนิ่งอึ้งอยู่ทำไม? ใช้ให้แขวนตรงไหนก็แขวนไว้ตรงนั้นสิ รีบเอาลงมาเร็วเข้า แค่ทำเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ยังทำไม่ได้เลย พูดจนปากเปียกปากแฉะไปหมดแล้ว!” โจวหยู่เช่นส่งเสียงอย่างเย็นชา
หลงถิงมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยแววตาที่อึมครึม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงดุและกดดันให้โจวหยู่เช่น “ทำอะไรน่ะ!”
โจวหยู่เช่นพลันตกใจจนสะดุ้งโหยง จนเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พลันเธอก็เห็นตัวของหลงถิง ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ พูด “คุณอารอง ลงมาแล้วหรือคะ พวกเรากำลังตกแต่งโถงรับแขกอยู่พอดี วันพรุ่งนี้ก็จะถึงเทศกาลแล้ว ที่บ้านคงจะครึกครื้นน่าดูเลยนะคะ”
สาวรับใช้ที่อยู่ตรงบันได ก็โค้งคำนับเขาอย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะนายท่าน”
หลงถิงเดินลงบันไดมาทีละขั้น พร้อมด้วยแววตาที่มองดูโคมไฟสีแดงแสบตานั้น และหายใจอย่างอึดอัด “เอาโคมไฟนั่นมาให้ฉัน”
คนรับใช้เองก็ไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟัง ก่อนจะยื่นไปให้เขาด้วยมือทั้งสอง “นี่ค่ะนายท่าน”
โจวหยู่เช่นคิดว่าเขาจะเอามันไปแขวนไว้ตรงเรือนนาฬิกา จึงยิ้มพูด “อย่างที่ฉันบอกเลยใช่ไหมคะคุณอารอง แขวนไว้ตรงนี้มันดีกว่าเยอะเลยค่ะ”
“หุบปากไปซะ!” หลงถิงพูดตะคอกอย่างไม่สบอารมณ์ จนรอยยิ้มของโจวหยู่เช่นหายไปบนใบหน้า “อย่าลืมสถานะของตัวเองไปซะล่ะ เธอยังไม่มีสิทธิ์ทำอะไรในบ้านหลังนี้ทั้งนั้น”
ถึงเสียงของหลงถิงจะไม่ดัง แต่ก็เผ็ดร้อนพอที่จะทำให้โจวหยู่เช่นไม่กล้าแม้แต่จะแย้งกลับ เธอเพียงก้มหน้าอยู่แบบนั้น “ค่ะ คุณอารอง ฉันแค่ไม่เข้าใจสถานการณ์เท่านั้นเองค่ะ คุณอารองอย่าได้โกรธไปเลยนะคะ”
หลงถิงยกโคมไฟขึ้นมอง ก่อนจะหันไปพูดกับคนรับใช้ที่อยู่ตรงบันได “ลงมา”
หลังจากคนรับใช้ลงมา หลงถิงก็เดินขึ้นบันไดนั้นไปเอง ร่างกายของเขาดูสุขภาพดีอย่างมาก แค่เดินขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นไม่ได้กินแรงอะไรนัก แต่นั่นก็พอที่จะทำให้คนรับใช้และพ่อบ้านต่างก็ตกใจ จนต้องรีบเข้ามาประคองบันไดเอาไว้ เพราะกลัวว่าจะล้มลงมา
หลงถิงแขวนมันไว้บนตู้โบราณนั้นด้วยตัวเอง หลังจากแขวนด้านซ้ายเสร็จ เขาก็เดินลงมาย้ายบันไดไปแขวนด้านขวาต่อ
โคมไฟทั้งสองถูกแขวนเอาไว้สูง ชั่วขณะนั้นแสงที่ถูกตกแต่งของมัน ก็ทำให้รู้สึกสว่างและเฉลิมฉลองอย่างมาก หลงถิงยืนอยู่บนบันได พร้อมกับจ้องมองแสงสีแดงของโคมไฟเขม็ง
เขาจำได้ว่าทุกปี หยวนชูเฟินมักจะมาแขวนโคมไฟนี้ด้วยตัวเอง หลังจากนั้นพอถึงตอนเย็น เธอก็จะจุดเทียนสีแดงในโคมไฟ และเธอก็มักจะชอบยืนมองมันอยู่หน้าตู้นี้เป็นพักใหญ่ทีเดียว
ตอนนั้น ทิวทัศน์ด้านหลังของเธอช่างสวยงาม ดูสง่าอรชรราวกับสายน้ำที่ไหลผ่านขุนเขา แต่เวลานั้นในทุกปี เขากลับรู้สึกว่าห่างไกลจากเธอมากยิ่งขึ้นทุกที
หลงยี่กับหลงเซิ่งได้ยินเสียงจากฝั่งนี้ จึงรีบรุดมาที่นี่ ก่อนที่หลงยี่จะพูดอย่างสุภาพ “เป็นอะไรไปหรือครับคุณอารอง?”
หลงถิงพลันได้สติกลับมา ก่อนจะเดินลงจากบันได “แขวนโคมไฟสองอันนี้ไว้ตรงนี้ล่ะ ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้ย้ายเด็ดขาด”
“ครับ คุณอารอง”
“ค่ะ คุณอารองวางใจได้เลย”
เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ห้องโถงของบ้านตระกูลหลง ก็ถูกตกแต่งไปด้วยของใหม่ๆ ที่ใช้ในเทศกาล เป็นคฤหาสน์โบราณที่ยังคงมีกลิ่นอายความหรูหราอยู่ หากเมื่อเทศกาลมาถึง ที่นี่ก็จะเปรียบดั่งตารางขนาดใหญ่ เพื่อที่จะได้เสพสุขในกรงนี้จนไม่อาจหนีไปไหนได้
หลงถิงหยิบเอากรรไกรมาตกแต่งดอกไม้บนกระถาง ที่วางอยู่หลังตู้ โดยพูดทั้งหันหลังให้พวกเขา “วันพรุ่งนี้ที่คฤหาสน์จะไม่จัดงานเลี้ยง”
เขาพูดอย่างสบายๆ โดยไม่รู้สึกว่าเทศกาลนี้มันสำคัญอะไรนัก หากจะจัดที่บ้านคงจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่
หลงยี่หันไปแลกเปลี่ยนสายตากับหลงเซิ่งอย่างรวดเร็ว “คุณอารองครับ หนึ่งปีมีเทศกาลนี้เพียงครั้งเดียวเองนะครับ แถมเป็นวันที่ดีในการรวมญาติกันด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นจะไม่ค่อยดีไหมครับ?”
หลงเซียวยิ้มอย่างเยือกเย็น รวมตัวกันงั้นหรือ ทั้งภรรยาและลูกเขาก็ไม่อยู่ ครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาบ้าอะไรกัน!
“ฉันบอกว่าไม่จัดก็ไม่จัดสิ ฟังไม่รู้เรื่องหรือยังไง?” หลงถิงสับกรรไกรลงไปอย่างหงุดหงิด จนใบไม้บนต้นหายไปอีกใบหนึ่ง
หลงเซิ่งรีบเดินเข้าไปหา “น้องรอง ยังไม่ได้ข่าวของอาเฟินอีกหรือ? ใกล้จะถึงเทศกาลแล้ว เธอจะกลับมาหรือเปล่า?”
หากไม่พูดขึ้นมาจะดีกว่านี้ พอเขาพูดถึงหยวนชูเฟิน ก็เหมือนกับไปจี้จุดของหลงถิง ทำให้หลงถิงยิ้มอย่างเยือกเย็น “เรื่องของผม พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”
หลงเซิ่งได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าคงจะยังไม่มีข่าวคราวใดๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้ม “เป็นตระกูลเดียวกันทั้งนั้น พี่เองก็เป็นห่วงอาเฟินเหมือนกัน เสี่ยวจื๋อก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ หลังจากหลงเซียวแต่งงานไป เขาก็ไม่ได้กลับมาเลย เฮอะ ถ้าหากจะไม่จัดงานก็ไม่จัดก็ได้”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น พ่อบ้านก็เดินออกไปและกลับเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ พร้อมด้วยบัตรเชิญในมือหลายใบ
บัตรเชิญสีแดงสดกับโคมไฟสีแดงในโถงช่างดูเหมาะสมกันมาก “นายท่านครับ คุณชายใหญ่ให้ผมมามอบอันนี้ให้ รบกวนนายท่านอ่านหน่อยเถอะครับ”
หลงถิงวางกรรไกรในมือลง ก่อนจะเหลือบมองบัตรเชิญนั้นด้วยใบหน้าที่อึมครึม พร้อมทั้งยิ้มอย่างเยือกเย็น “บัตรเชิญของหลงเซียวงั้นหรือ?”
“ใช่ครับนายท่าน ผู้ช่วยของคุณชายใหญ่มาส่งให้ด้วยตัวเองครับ” พ่อบ้านก้มหน้ายื่นซองจดหมายนั้นให้อย่างระมัดระวัง
“ช่างมีความกล้าเหลือเกินนะหลงเซียว รู้ที่จะส่งบัตรเชิญให้กับฉันแล้วนี่!” หลงถิงกัดฟันเค้นเสียงพูด
หลงยี่ก็รีบก้าวเข้ามา ก่อนจะเปิดซองสีแดงที่อยู่ด้านบนสุด โจวหยู่เช่นเองก็แอบชะโงกมาดู ก็เห็นตัวอักษรสีดำใหญ่ๆ บนนั้น
……
มือถือที่ตกจนแตกละเอียดของลั่วหาน พลันสั่นไหวขึ้น พร้อมด้วยหน้าจอที่แสดงเบอร์ของหลงเซียว
“คุณคงจะไม่ได้มารับฉันใช่ไหมคะคุณสามี? ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลนะ” ลั่วหานเป็นห่วงว่าเขาจะรอนานเกินไป จึงรีบบอกเขาก่อน
หลงเซียวที่นั่งอยู่ในรถตัวเอง พร้อมหยังเซินที่กำลังขับรถอยู่ เขาก็ก้มดูเวลาพูดขึ้น “คุณอยู่ไหนแล้ว? เดี๋ยวผมไปรับคุณเอง”
ลั่วหานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ฉันเพิ่งจะไปคุยกับเจิ้งซิ่วหยามาน่ะค่ะ ตอนนี้กำลังจะตรงดิ่งกลับบ้านเลยล่ะ”
เจิ้งซิ่วหยา?
หลงเซียวถือมือถือให้ห่างนิดหนึ่ง ก่อนจะหันไปถามหยังเซิน “จากตรงนี้ไปสถานีตำรวจใช้เวลาเท่าไหร่กัน ไปถนนที่ใกล้ที่สุดเลย”
หยังเซินรีบมองดูทางอย่างรวดเร็ว “เส้นทางที่ใกล้ที่สุดก็ประมาณยี่สิบนาทีครับ”
หลงเซียวพยักหน้า ก่อนจะหันมาพูดกับลั่วหานต่อ “รบกวนคุณภรรยาไปรออยู่ที่ร้านกาแฟใกล้ๆ ก่อนนะ แล้วก็ช่วยสั่งกาแฟให้ผมด้วย เดี๋ยวผมจะรีบไป”
“หา? คุณไม่ต้องมารับฉันก็ได้นะ เดี๋ยวฉันเรียกรถไปเองสะดวกกว่า” ลั่วหานยืนโบกรถอยู่ แต่กลับยังเรียกไม่ได้สักคัน
“คุณไม่ได้ขับรถมา แถมถนนตรงนั้นก็ไม่ดีที่จะเรียกรถด้วย จะไปสะดวกได้ยังไง? ไปนั่งรอผมอยู่ในร้านเถอะ