ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 574
ตอนที่ 574 แผนการ ภาพเก่าที่หวนคืน
ณ อาคารบริษัทMBK
การประชุมผู้บริหารเร่งด่วนถูกจัดขึ้น ณ ห้องประชุมในชั้นยี่สิบ
จี้ตงหมิงกับแอนดี้คนหนึ่งยืนสูดหายใจอยู่นอกประตู ส่วนอีกคนก็ถูมือของตัวเองอย่างไม่หยุด อยากจะรู้จริงๆ ว่าสถานการณ์ภายในห้องตอนนี้เป็นยังไงบ้าง แต่ที่น่าแปลกคือ การประชุมในครั้งนี้ไม่มีการโต้เถียงใดๆ ทั้งสิ้น อย่างน้อยก็ไม่ได้ยินเสียงใครตะโกนขึ้นมาอ่ะนะ มันเงียบจนทำให้ใจคอไม่ดีเลย
นิ้วของแอนดี้ถูกถูจนจะถลอกอยู่แล้ว สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจนต้องถามจี้ตงหมิงไปว่า “ผู้ช่วยจี้ คุณคิดว่าครั้งนี้ท่านประธานจะออกจากMBKจริงๆ หรือเปล่าคะ? แล้วถ้าท่านประธานไปจริงๆ แล้วคุณจะตามเขาไปด้วยไหมคะ?”
จี้ตงหมิงตอบกลับไปแบบไม่ต้องคิดเลยว่า “นายท่านไปไหนผมก็ไปนั่น สิ่งที่ผมทำงานให้ไม่ใช่บริษัทไหน แต่เป็นตัวท่านเอง แล้วคุณคิดว่าไงล่ะครับ?”
แอนดี้ค่อยๆ แย้มปากออก ยิ้มออกมาอย่างฝืนๆ “อันนี้ฉันรู้ดีค่ะ แต่เมื่อไหร่ที่ท่านประธานออกจากMBKไป คนอย่างพวกเราก็คงจะถูกไล่ออกอยู่แล้วสินะ สิ่งที่ฉันหนักใจไม่ใช่จุดนี้ แต่เป็นที่ฉันกังวลคือถ้าท่านประธานเลือกที่จะไปที่บริษัทฉู่ซื่อหรือโม่ซื่อละก็แล้วเขาจะยอมพาพวกเราไปด้วยหรือเปล่า? บอกตามตรงนะคะ ฉันเป็นเลขาให้ท่านประธานมาตั้งเจ็ดปีแล้ว ฉันจึงไม่อยากเปลี่ยนเจ้านายใหม่เลยจริงๆ ค่ะ”
แอนดี้มองไปยังประตูของห้องประชุม กัดริมฝีปาก คนที่ปกติดูนิ่งมีไหวพริบอย่างเธอ วันนี้กลับดูร้อนรนมากเป็นพิเศษรู้สึกทำตัวไม่ถูก
จี้ตงหมิงยื่นมือขึ้นมาแตะไหล่ของแอนดี้โดยอัตโนมัติ ไหล่ของเธอผอมมาก มือใหญ่ๆ ของเขาวางไปก็สามารถปิดไหล่ของเธอได้จนหมด การสัมผัสที่ไม่คุ้นเคยทำให้ความวิตกขึ้นมาเล็กน้อยในใจของจี้ตงหมิง เขาจึงรีบชักมือกลับทันที “ไม่เป็นไรครับ ท่านประธานไม่มีทางทอดทิ้งคนที่ซื่อสัตย์กับท่านแน่นอนครับ”
แอนดี้เหลียวมามองที่หัวไหล่ของตนเอง มีการกระเพื่อมเล็กน้อยเกิดขึ้นภายในจิตใจของเธอ แล้วเธอก็รีบพยักหน้าเครื่องสำอางที่ประดับไว้ได้บดบังความงามที่เกิดขึ้นชั่วขณะ “รอดูก่อนก็ได้ค่ะว่าท่านประธานจะตัดสินใจยังไง จริงสิพวกนักข่าวต่างก็มารออยู่ที่ใต้ตึกแล้วนะคะ ท่านประธานได้สั่งไว้หรือเปล่าคะว่าต้องทำยังไง? ต้องเตรียมการเพื่อแถลงข่าวไหมคะ?”
จี้ตงหมิงส่ายหน้า “ไม่ต้องครับ ท่านประธานไม่อยากทำให้เรื่องต้องวุ่นวายมาก”
ภายในห้องประชุม
หลงถิงกำลังใช้นิ้วที่อ้วนท้วนของเขาเคาะไปที่โต๊ะประชุมอยู่ “สรุปก็คือ ผู้บริหารทุกท่านต้องการให้หลงเซียวยังคงดำรงตำแหน่งประธานบริษัทของMBKต่อไปใช่ไหม?”
หลงถิงค่อยๆ พูดประโยคนี้ออกมาอย่างช้าๆ กัดฟันพูดออกมาทีละคำทีละคำ ทุกคำพูดลอดออกมาจากช่องว่างระหว่างฟัน กวาดตามองไปยังทุกคนที่นั่งอยู่ห้องประชุม แล้วใช้หางตาสังเกตการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของหลงเซียว
หลงเซียวยังคงนั่งนิ่งอย่างสง่างามอยู่ตรงที่นั่งของตัวเอง มือทั้งสองข้างวางประสานกันอยู่บนโต๊ะ มองดูสถานการณ์ด้วยแววตาที่เรียบเฉย รังสีแห่งความเยือกเย็นแผ่ซ่านไปทั้งตัว
บรรดาผู้บริหารต่างจ้องกันไปมา เหมือนต้องการหาอะไรบางอย่างจากตัวของอีกฝั่ง หลังผ่านการคิดวิเคราะห์ไตร่ตรองกันอยู่นาน ในที่สุดก็ได้มีผู้บริหารคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงเยื้องๆ กับหลงเซียวพูดขึ้นสักที
“ท่านประธานบริษัทครับ จริงอยู่ที่ท่านประธานได้ยกหุ้นส่วนทั้งหมดให้คุณหญิงไปแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงทรัพย์สินหลังแต่งงานแล้วก็ยังเป็นของทั้งคู่อยู่ดี ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันไม่ได้ต่างกันเลยครับ”
หลงเซียวแอบขำ แต่ใบหน้าก็ยังไม่ได้เผยอารมณ์ออกมาตามเคย ผู้บริหารคนนี้ถือว่าเข้าใจในกฎหมายของคู่สมรสได้ดีทีเดียว
จากนั้น ก็มีผู้บริหารอีกคนพูดเสริมขึ้นมาว่า “อีกอย่างนะครับ ครั้งก่อนที่ท่านประธานจากบริษัทไป ทางบริษัทก็สูญเสียไปกว่าหมื่นล้านเลยนะครับ ผมว่าท่านประธานบริษัทควรไตร่ตรองเรื่องนี้อีกทีนะครับ”
เมื่อมีคนพูดเปิดประเด็น พวกคนที่เหลือก็ช่วยกันพูดเสริมขึ้นมาทันที ความต้องการที่จะให้หลงเซียวอยู่ต่อในMBKเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องอยู่ต่อ
มาคิดๆ ดูแล้วมันก็จริง ในช่วงสิบปีที่รุ่งเรือง ทุกอย่างที่หลงเซียวทำต่างก็มองเห็น เห็นๆ อยู่ว่าหลงเซียวเป็นเหมือนต้นเงินต้นทองของMBK แล้วใครจะอยากปล่อยให้เขาไปล่ะ?
อย่าว่าหลงถิงจะกดดันเลย ต่อให้หลงถิงโมโหจนอาจถอดถอนผู้บริหาร พวกเขาก็ยังยืนหยัดที่จะเก็บหลงเซียวผู้ซึ่งสร้างเงินสร้างรายได้ตัวจริงให้พวกเขาเอาไว้
หลงเซียวยังคงไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา เขาแค่ยกแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาจิบน้ำแล้วนั่งดูสถานการณ์ต่อ
แล้วมือถือของเขาก็สั่นขึ้นมาทีหนึ่ง เขาหยิบมันขึ้นมาดู กู้เยนเซินเป็นคนส่งข้อความมา
“คุณชายหลงครับ ตอนนี้ตู้หลิงเซวียนได้ร่วมมือกับบริษัทไห่ลุนอย่างเป็นทางการแล้วครับ แถมตู้หลิงเซวียนยังแอบลงมือลับหลังบริษัทไห่ลุนด้วย ณ ตอนนี้บริษัทไห่ลุนยังไม่รู้ความจริง เราควรทำยังไงดีครับ?”
หลงเซียวหมุนแหวนในนิ้วไปแปปหนึ่ง ตู้หลิงเซวียนนี่ไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ แน่ใช้ได้เลย! ที่กล้าฉวยโอกาสอย่างนี้!
“ให้คนของบริษัทไห่ลุนรู้เองดีกว่าครับ เรื่องยิ่งใหญ่ยิ่งดีครับ”
แววตาของหลงเซียวเป็นประกาย มุมปากแย้มขึ้น
กู้เยนเซินตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “ตู้หลิงเซวียนกับเสิ่นคั่วมีการรู้จักกันเป็นการส่วนตัว คุณต้องระวังจุดนี้ไว้ด้วยนะครับ”
“ตู้หลิงเซวียนกับเสิ่นคั่วนั้นมีแต่ประวัติแย่ๆ ตอนนี้คนที่เสิ่นคั่วอยากจัดการที่สุดก็คือผม สิ่งที่เขาอยากได้ที่สุดก็คือMBK คุณจับตาดูคนแซ่ตู้เอาไว้ อย่าให้เขาเข้าใกล้ลั่วลั่วเป็นอันขาด”
กู้เยนเซินกุมขมับ เฮ้อ! ไม่ว่าเมื่อไหร่สิ่งที่เขาเป็นห่วงที่สุดก็ยังคงเป็นเมียอยู่ดี!
“OK อีกอย่างครับ ข่าววันนี้บันเทิงมากเลยครับ ฮาๆฮาๆฮา!”
ข้อความสุดท้ายของกู้เยนเซินกับการหัวเราะของเขา มันช่างดูชั่วร้ายเหลือเกิน ทันใดนั้นหลงเซียวก็ได้นึกถึงข่าวซุบซิบที่ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อเช้า จากนั้นสีหน้าของเขาก็เข้มขรึมขึ้นมาทันที
วางมือถือลงโดยไม่ตอบกลับ
“พอได้แล้ว!”
สิ่งที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่มันทำให้อำนาจของหลงถิงกำลังสั่นคลอน เสียงที่เขาเปล่งออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวได้สยบเสียงเหล่านั้นลงได้
เสียงภายในห้องประชุมได้เงียบหายไปชั่วขณะหนึ่ง ทุกๆ คนต่างพากันมองไปที่สองพ่อลูก ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันเลยระหว่างการประชุม มันไม่เหมือนคนเป็นพ่อลูกกันเลยสักนิด แต่เหมือนศัตรูกันซะมากกว่า และเหมือนจะเกลียดกันมาเป็นชาติแล้วด้วย
ดูท่าระหว่างพ่อลูกคู่นี้คงเกิดเรื่องบาดหมางกันขึ้นแน่ๆ นี่มันข่าวใหญ่เลยนะเนี่ย
หลงถิงสบถเบาๆ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ไม่สบอารมณ์นัก “นี่พวกคุณยังที่จะให้คนที่หัวใจไม่ได้อยู่ที่MBKนานแล้วแบบเขามาคอยคุมหางเสือให้อย่างนั้นเหรอครับ? ผู้บริหารทุกท่านครับ พวกคุณคิดให้ดีๆ ก่อน ถ้าต่อไปหุ้นที่พวกคุณถืออยู่ในมือเกิดมีปัญหาขึ้นมา หลงเซียวก็ไม่อาจรับประกันอะไรให้พวกคุณได้อีกแล้ว
เพราะทรัพย์สินทั้งหมดของเขามันไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว ส่วนคนที่เป็นภรรยานั้น หากตกอยู่ในช่วงวิกฤตก็คงต่างคนต่างหนีแหละ!”
พวกผู้บริหารหลายคนได้แอบคุยกันมาแล้วว่า ต่อให้หลงเซียวจะยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ลั่วหานไปแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนมันดีเกินกว่าสามีภรรยาทั่วๆ ไป จึงไม่มีทางที่พวกเขาจะหย่ากันได้เลย
“ท่านประธานบริษัทครับ MBKภายใต้การนำของคุณชายหลงจะไปมีปัญหาได้ยังไงครับ?”
“ท่านประธานบริษัทครับ ผมเชื่อครับว่าท่านประธานจะต้องนำพาMBKให้ก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิมได้อย่างแน่นอนครับ!”
คำชมต่างๆ นาๆ ถูกพูดขึ้นอีกมากมาย เสียงดังยิ่งกว่าเมื่อกี้เสียอีก
สายตาที่อันตรายของหลงถิงกำลังจ้องไปยังหลงเซียวที่กำลังทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำที่โกรธเกรี้ยวว่า “หลงเซียวนี่คือเป้าหมายของแกใช่ไหม? ทำให้การประชุมผู้บริหารหันมาต่อต้านฉัน!”
หลงเซียวขยับตัวเล็กน้อย แล้วตอบกลับไปด้วยเสียงที่สุดแสนจะสดใสว่า “สิ่งที่ท่านประธานบริษัทกำลังพูดออกมานั้นผมฟังไม่เข้าใจครับ สิ่งที่ผู้บริหารทุกคนเป็นห่วงที่สุดก็คือเงินในกระเป๋าของตัวเอง ใครที่สามารถมอบผลประโยชน์ให้กับพวกเขาได้ พวกเขาก็จะเข้าข้างคนๆนั้น แต่ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับที่ผมบังเอิญเป็นคนๆนั้นพอดี”
“นี่แกคิดจะลองดีกับฉันใช่ไหม?” ดวงตาที่เยือกเย็นของหลงถิงหรี่เล็กลงประมาณเศษหนึ่งส่วนสาม แล้วใช้ตาขาวส่งให้จ้องมาที่เขา
หลงเซียวเริ่มรู้สึกรำคาญแล้ว เขาจัดเสื้อสูทของตัวเอง แล้ววางเท้าที่กำลังไขว้กันอยู่ลง “คุณเพิ่งจะดูออกเหรอครับ? ความช่างสังเกตของท่านประธานบริษัทดูจะถดถอยลงนะครับ”
“นี่แกกล้า___” หลงถิงโกรธจนดวงตาแทบจะถลนออก เส้นเลือดสีแดงผุดขึ้นมาอยู่บนดวงตา แต่เขายังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกหลงเซียวขัดเอาไว้ก่อน
นิ้วชี้ของหลงเซียวถูกยกขึ้นมาหยุดอยู่ตรงกลางของริมฝีปาก แล้วเขาก็ยิ้มออกมาอย่างเกียจคร้าน “ท่านประธานบริษัทครับ คุณควรจะซึมซับบรรยากาศแบบนี้เอาไว้นะครับ แล้วรีบทำตัวให้ชิน เพราะเรื่องอย่างนี้ยังจะเกิดขึ้นอีกหลายครั้งเลยล่ะครับ”
หลงถิงสูดลมหายใจที่เย็นเฉียบเข้าไปลึกๆ เขารับรู้ได้ถึงบรรยากาศอันไม่ปลอดภัยที่อยู่รอบๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนมีดาบเล่มหนึ่งกำลังลอยอยู่บนหัวแล้วพร้อมที่จะฟันลงมาผ่าสมองของเขาให้ออกเป็นสองเสี่ยง
“หลงเซียว นี่แกคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หลงเซียวแย้มปากออก มุมปากที่แหลมคมกลายเป็นรอยยิ้มที่แสนอันตราย “ท่านประธานบริษัทครับ คุณไม่รู้สึกว่าภาพที่อยู่ตรงหน้ามันดูคุ้นๆ เหรอครับ? ลองคิดดูดีๆ สิครับ ว่าคุณเคยเห็นภาพแบบนี้หรือเปล่า ไม่สิ สิ่งที่คุณเคยเห็นน่าจะยิ่งใหญ่มากกว่านี้เสียอีก”
หลงถิงรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขานั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเก้าอี้ ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่ขยับตัว
ภาพที่คุ้นเคยอย่างนั้นเหรอ?
แล้วภาพในหัวก็นึกย้อนกลับไปยังอดีตที่ห่างไกล ช่วงที่บริษัทโม่ซื่อกำลังเผชิญกับการล้มละลาย ห้องทำงานที่กำลังโต้เถียงกัน มู่เส้าเอินถูกพวกผู้บริหารกดดันจนไร้ทางหนี ภายในห้องประชุมก็มีแต่เสียงกดดัน ก่นด่า บังคับ จนทำให้มู่เส้าเอินเครียดจนกระอักเลือด……
จนถึงตอนนี้เขายังจำสีหน้าของมู่เส้าเอินได้เป็นอย่างดี สิ้นหวัง อ้อนวอน ขอร้อง เจ็บปวด เขาย้ำแล้วย้ำอีกว่าจะต้องกอบกู้สถานการณ์ให้กลับมาได้ แต่ก็ไม่มีใครรับฟัง พวกผู้บริหารที่ได้รับผลประโยชน์แล้วต่างพากันหักหลัง ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด พวกเขาก็ทิ้งมู่เส้าเอินเอาไว้คนเดียว
คุ้นเคย……มันช่างคุ้นเคยจริงๆ มันเป็นภาพที่เขาไม่มีวันลืมเลย แต่ว่า เขารู้เรื่องนี้ได้ยังไง!
หลงเซียวไปรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามสิบปีก่อนได้ยังไง!
สายตาจ้องเข้าหากัน แววตาที่เรียบเฉยของหลงเซียวนั้นแฝงไปด้วยความเยือกเย็นที่หยั่งลึกลงไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนมันกำลังจะกลืนกินหลงถิงเข้าไป
ส่วนหลงถิงนั้นเผลอหลบตาไปครู่หนึ่ง เมื่ออยู่ต้องเผชิญหน้ากับการจ้องมองของหลงเซียวแบบนี้มันก็ทำให้เขาสั่นคลอนได้เหมือนกัน
“หลงเซียว นี่แกต้องการจะทำอะไร? แกอยากจะทำอะไรกับMBKกันแน่?”
หลงถิงอ้ำอึ้ง ต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงสามารถพูดออกมาได้อย่างสมบูรณ์
รอบๆ ยังมีเสียงหาลือกันของพวกผู้บริหารดังแทรกอยู่ด้วย ช่องว่างเล็กๆ แห่งนี้มันเหมือนถูกกีดกันออกไปอีกโลกหนึ่งเลย ไม่มีใครสามารถแทรกเข้ามาได้ ไฟแห่งความแค้นนั้นแค่ลุกโชนอยู่บนตัวของพวกเขาสองคนเท่านั้น
หลงเซียวเอนตัวลงมา แล้วค่อยๆ พูดอย่างเน้นๆ ทีละคำว่า “ผมไม่ได้อยากทำอะไร แค่อยากให้ท่านประธานบริษัทเข้าใจถึงเหตุผลบางอย่างเท่านั้นครับ เลือด ต้อง ล้าง ด้วย เลือด”
ถึงมันจะเป็นคำพูดที่แสนอำมหิต แต่เขาก็ยังพูดมันออกมาอย่างสง่าผ่าเผย ดูบริสุทธิ์อย่างไม่มีอะไรเจือปน
โครม!
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นอยู่ในหัวของหลงถิง เขาเงยหน้าขึ้น แล้วมองหลงเซียวด้วยแววตาที่สุดแสนจะระแวง นี่เขารู้เรื่องแล้วเหรอ? แม้แต่เรื่องของมู่เส้าเอินเขาก็ยังรู้อย่างนั้นเหรอ?
“หลงเซียวแกอย่าได้ใจเกินไปนะ ไม่งั้นแกจะต้องเสียใจ”
“ขอบคุณที่เตือนสติครับ แต่ผมก็ขอเตือนท่านประธานบริษัทด้วยความหวังดีเหมือนกันครับ MBKจะสามารถยืนหยัดได้อีกนานแค่ไหน ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับท่านแล้วครับ ดังนั้นช่วยทำดีกับผมหน่อย ไม่แน่ผมอาจจะใจอ่อนลงบ้างก็ได้นะครับ เพราะไม่อย่างนั้นผมอาจจะทำให้คุณกลับไปเป็นเหมือนเมื่อสามสิบปีก่อนในทันที สภาพก่อนที่จะรู้จักกับคุณพ่อของผม และผมจะทำให้คุณทรมานยิ่งกว่าตอนนั้นอีกร้อยเท่า หมื่นเท่าเลยครับ”
เขายังคงพูดด้วยรอยยิ้ม ความรู้สึกที่พวกผู้บริหารเห็นแล้วก็เหมือนกับพ่อลูกสองคนที่กำลังปรึกษากันอย่างไม่ได้บาดหมางกันเลย
หลงถิงทรุดตัวลงบนเก้าอี้ แล้วนั่งแข็งทื่อไปเลย
เขารู้เรื่องนั้นแล้วจริงๆ!
หลังจากข่มขู่ไป หลงเซียวก็ยืนขึ้นอย่างสง่างาม จัดแจงเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วค่อยๆ พูดขึ้นว่า “ผู้บริหารทุกท่านครับขอบคุณทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนผม แต่ผมจะไม่กลับมารับตำแหน่งประธานของMBKอีกแล้วครับ ขอให้ผู้บริหารทุกท่านร่ำรวยๆ นะครับ”
อะไรนะ?!
เขาปฏิเสธมันอย่างนั้นเหรอ?!
พูดจบหลงเซียวก้าวเท้าออกไป
“รอเดี๋ยว!”
ไฟสงครามในหัวได้ลุกโชนขึ้นมาในทันที หลงถิงกระเด้งตัวขึ้น แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น “หลงเซียว ฉันต้องการให้แกอยู่ต่อ!”
หลงเซียวหันหลังให้เขา รอยยิ้มที่เย็นเยือกปรากฏออกมา “หือ? ท่านประธานบริษัทต้องการให้ผมอยู่ต่ออย่างนั้นเหรอครับ? นี่ผมหูฝาดไปหรือเปล่าครับ? ต้องการให้อยู่หรือขอร้องให้อยู่กันแน่ครับ?”
นี่มัน………บรรดาพวกผู้บริหารต่างพากันอึ้งไปเลย คุณชายใหญ่พูดอย่างนี้กับคนเป็นพ่อได้ยังไง?!
ริมฝีปากของหลงถิงกำลังสั่นรัว “หลงถิง แกอย่าได้คืบจะเอาศอกนะ!”
หลงเซียวค่อยๆ หันหลังกลับมา เงาร่างของเขาช่างดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน “สรุป ท่านประธานบริษัทกำลังขอร้องผมอยู่หรือเปล่าครับ?”