ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 639
ตอนที่ 639 ลูกสะใภ้สามารถเปลี่ยนอาชีพเป็นแม่สื่อได้ไหม
เกาจิ่งอานยิ่งจับช้อนในมือแน่นขึ้น เขาออกแรงจับมากจนเหมือนกับช้อนใบเล็กๆมีความสามารถพิเศษ สามารถดูดพละกำลังในตัวเขาจนหมดเกลี้ยง
หยุดนิ่งชั่วขณะ จากนั้นเกาจิ่งอานก็ดึงสติกลับมาจากความรู้สึกเจ็บปวดขึ้น “พี่สาว ทำการผ่าตัดเถอะนะครับ”
เขาไม่ตอบคำถามของเกาหยิ่งจือ อันที่จริงเขาหวาดกลัวมากว่าตัวเองจะทนไม่ไหว
หลังจากเติบใหญ่ เขากับเกาหยิ่งจือก็ห่างเหินกันมาก เพราะมีความคิดเห็นหลายเรื่องที่ไม่ตรงกัน เลยมักทะเลาะเบาะแว้งกัน และหลังจากที่พ่อแม่จากไป เกาหยิ่งจือก็เข้มงวดต่อเขาเป็นอย่างมาก
ความต่อต้าน ความบ้าคลั่ง และความไม่เชื่อฟังของเขา บางครั้งก็สร้างความต่อต้านต่อพี่สาว
โดยเฉพาะสิ่งที่เกาจิ่งอานทำทุกอย่างต่อถังจิ้นเหยียน ซึ่งทำให้เกาจิ่งอานกับพี่สาวต้องมาแตกหักกัน
แต่เมื่อปัดทิ้งความรู้สึกไม่พอใจ และนึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุขตอนเป็นเด็กอยู่ด้วยกัน นึกถึงตัวเองที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆที่ซ่อนอยู่ข้างหลังพี่สาวด้วยท่าทางมีความสุข แล้วเขาจะใจจืดใจดำได้ยังไงกัน?
ตอนที่เกาจิ่งอานรู้สึกโมโหมากที่สุด เขาเคยหวังอยากให้เกาหยิ่งจือยอมรับบทลงโทษทางกฎหมาย และสำนึกผิดของตัวเองในเรือนจำดีๆ
แต่ในตอนนี้เวลานี้ เกาจิ่งอานมีเพียงความคิดเห็นเดียว เขาหวังอยากให้พี่สาวมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่เพียงแค่มีชีวิตอยู่ต่อ แต่ยังมีชีวิตอย่างอิสระด้วย นับตั้งแต่นี้ต่อไปไม่ต้องประสบกับความรู้สึกเจ็บปวดแล้ว
มีเพียงตัวเราเองที่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองที่สุด เขาเงยหน้าขึ้น โดยที่ในดวงตาไม่ได้มีสายตาโศกเศร้าเสียใจ แต่เป็นสายตาสงบนิ่ง เด็ดขาด เหมือนกับวีรบุรุษ
เกาหยิ่งจือฝืนยิ้มออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงมึนงงเล็กน้อย “ผ่าตัดหรอ? ผ่าตัดอะไร? ฉันป่วยเป็นอะไรหรอ?”
เมื่อเผชิญกับเกาหยิ่งจือที่มีสีหน้าตกตะลึง เกาจิ่งอานไม่ได้เลือกวิธีการปกปิดเหมือนครอบครัวอื่น แต่เขาพูดตามความจริงว่า “พี่สาว พี่เป็นหมอนะ ร่างกายมีความผิดปกติ พี่ไม่รู้ตัวเลยหรอ? หรือพี่ไม่อยากยอมรับมากกว่า?”
เกาหยิ่งจือใช้มือข้างเดียวออกแรงสะบัดผ้าห่มออก เพราะออกแรงมากเกินไป ข้อนิ้วมือเลยมีลักษณะขาวซีด
“นาย….นายอยากบอกอะไรฉันหรอ?”
เกาหยิ่งจือวางจานลง แล้วยื่นมือสองข้างจับบนบ่าของเกาหยิ่งจือเบาๆ พร้อมกับจ้องมองเธอด้วยสายตาสงบนิ่งดั่งสายน้ำ และพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “พี่สาว พี่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านม โชคดียังเป็นแค่ระยะแรก เพราะตรวจพบเจอเร็ว ดังนั้นขอเพียงร่วมมือทำการผ่าตัดกำจัดออก และหยุดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง…..เราก็มีความหวังที่จะหายนะครับ”
“ตูม!”
คำพูดของเกาจิ่งอานเหมือนกับสายฟ้าฟาด ทำเกาหยิ่งจือถึงกับสะดุ้งตกใจ เธอจ้องมองเกาจิ่งอานเหมือนกับเขาเป็นปีศาจ ซึ่งในดวงตาแฝงด้วยสายตาจริงจังและคล้ำเครียดมาก
“นาย….”
ริมฝีปากของเธอสั่นเทา เพิ่งพูดออกมาเพียงคำเดียว น้ำตาก็ทะลักไหลออกมาอาบแก้ม แล้วค้างอยู่ใต้คางที่ผอมซูบอย่างไม่สามารถอดกลั้นได้
เกาจิ่งอานเป็นคนพูดปลอบโยนใครไม่เก่งตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อเห็นพี่สาวมีสภาพที่เจ็บปวดแบบนี้ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดแทน แต่ไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี เขาอดกลั้นความรู้สึกอยากร้องไห้ไว้ “พี่สาว การหนีไม่ใช่ทางออก พวกเราต้องรีบจัดการตั้งแต่ต้น ถ้าหากพลาดเวลาการผ่าตัดที่ดี อาจเกิดผลลัพธ์ร้ายแรงที่ไม่อาจจินตนาการได้เลยนะครับ”
เกาหยิ่งจือนิ่งอึ้งอยู่สักพักใหญ่ เธอไม่ได้ร้องไห้อาละวาด แต่กำลังอดทน โดยการกำผ้าห่มอย่างแน่นเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเอง แต่เพียงหลับตาครั้งเดียว น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างบ้าคลั่งจนแทบไม่สามารถหยุดได้เลย
คออันเนียนขาวเผยเส้นเลือดปูดขึ้น และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น น้ำตาก็ไหลลงตามการเคลื่อนไหวของเธอ
เกาจิ่งอานรู้สึกเจ็บปวดใจมาก เลยอ้าแขนโอบกอดเธออย่างแน่น
กอดครั้งนี้ทำให้เขารู้ว่า ที่แท้เธอผอมมากถึงขนาดนี้!
ตรงบ่าแทบไม่มีเนื้อเลย ทั้งที่เธอมีความสูงเกือบหนึ่งเมตรเจ็ดสิบเซนติเมตร แต่น้ำหนักแทบไม่ถึงเก้าสิบกรัมเลย ทั้งตัวล้วนเป็นกระดูกหมดเลย
มิน่าล่ะ…..
มิน่าเธอถึงเครียดจนป่วย เธอใช้ชีวิตในเรือนจำเป็นอย่างไรบ้าง?
นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือนเอง….ไม่กี่เดือนเท่านั้น!
เกาจิ่งอานเผยสายตาเป็นกังวล และรู้สึกแสบตาขึ้น จากนั้นเขาก็ร้องไห้น้ำตาไหลออกมาหยดลงบนบ่าของเกาหยิ่งจือ น้ำตาที่ร้อนอุ่นเปลี่ยนเป็นน้ำตาที่หนาวเย็น
ผู้หญิงที่ผอมบางเหมือนกระดาษที่อยู่ในอ้อมอก เพราะโศกเศร้าเสียใจมากเลยมีอาการชักไม่หยุด ขณะเดียวกันมือก็จับบนบ่าของเขาไว้ และเอาใบหน้าของตัวเองซบลงบนหน้าอกของเขา เธอร้องไห้อย่างหนัก ร้องไห้จนสีหน้าบิดเบี้ยวหมดเลย แต่ไม่ได้อาละวาดอย่างบ้าคลั่ง
ความอดทนและเด็ดเดี่ยวของเธอทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดหัวใจราวกับถูกมีดแทงหัวใจ
“จิ่งอาน….จิ่งอาน….” เธอเรียกขานชื่อของเขา ญาติเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ของเธอ เธอไม่รู้ว่า นอกจากเรียกชื่อเขาแล้ว เธอยังสามารถทำอะไรได้อีก
เกาจิ่งอานยิ่งออกแรงกอดเธออย่างแน่น “พี่สาว ผมอยู่ตรงนี้ ผมอยู่ที่นี้”
เกาหยิ่งจือน้ำตาไหลดั่งสายน้ำ และกำมืออย่างแน่นจนนิ้วจะขาด “จิ่งอาน….ฉันกลัว…..”
ผู้หญิงที่แข็งแกร่งคนนั้น และเป็นผู้หญิงที่มีความทะนงตัวไม่ยอมก้มหัวให้ใครคนนั้น กลับซับบนหน้าอกของเขา และพูดว่า “ฉันกลัว” ซึ่งในตอนนี้เกาจิ่งอานเองก็รู้สึกเจ็บปวดใจไม่น้อยกว่าเธอหรอก
“ผมอยู่ที่นี้ ไม่ต้องกลับ ไม่ต้องกลัว”
เกาหยิ่งจือหลับตาลงด้วยสีหน้าผิดหวัง เธอค่อนข้างรู้ว่าการผ่าตัดเป็นยังไง ฮอร์โมนของผู้หญิงมีความอ่อนแอมากกว่า ดังนั้นชีวิตในอนาคตของเธอคงไม่ปกติเหมือนกับผู้หญิงทั่วไปแล้ว และเธออาจจะไม่มีลูกได้อีกแล้ว
อีกอย่าง……
เธอยังไม่เคยถูกผู้ชายรักอย่างจริงจังเลย และยังไม่เคยมีความรักหอมหวาน แม้แต่เข้าพิธีแต่งงานก็ยังไม่เคย และไม่เคยถูกผู้ชายสวมแหวนแต่งงานเป็นเจ้าสาวด้วย
ในชีวิตของเธอมีเรื่องเสียดายเยอะมาก และมีความว่างเปล่าเยอะมากด้วย
เธอกลัว!
เกาจิ่งอานตบลงบนบ่าของเธอเบาๆ และเก็บอาการร้องไห้พูดขึ้นว่า “ตอนนี้พี่เป็นแบบนี้แล้ว ผมจะยื่นร้องขอรักษาตัวต่างประเทศกับทางเรือนจำ พี่ไม่ต้องกลับเข้าไปอีก”
เกาหยิ่งจือนิ่งเงียบ เธอพูดอะไรไม่ออก นอกจากร้องห่มร้องไห้
“ผมจะไปคุยกับพี่หลงเอง เขากับพี่สะใภ้คงทนดูคนตายไม่ช่วยเหลือไม่ได้หรอก อีกอย่างพี่สะใภ้เป็นหมอ เธอต้องช่วยพี่หาหมอที่ดีที่สุดให้แน่”
เกาหยิ่งจือร้องไห้จนรู้สึกเหนื่อย เธอเลยปล่อยมือจากเกาจิ่งอาน และค่อยๆเงยหน้าขึ้น แล้วหัวเราะประชดตัวเองเล็กน้อย ในตอนนี้ดวงตาของเธอแดงช้ำมาก และตอนยิ้มก็ไม่เห็นตาขาวด้วย “ฉู่ลั่วหานหรอ? จิ่งอาน เธอช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ในตอนนั้นฉันทำร้ายเธอขนาดนั้น เธอจะยอมให้อภัยฉันได้ยังไงกัน? เธอคงอยากให้ฉันตายในเรือนจำมากกว่า”
“เธอไม่ได้เป็นคนอย่างที่พี่คิดนะครับ ผมเชื่อว่าเธอต้องช่วย”
เกาจิ่งอานมองต่ำลง “ฮ่าฮ่า…..เวรกรรม นี่เป็นเวรกรรมของฉัน”
“ผมไม่อนุญาตให้พี่พูดแบบนี้! ใครต่างก็สามารถทำผิดกันได้ ขอเพียงกลับเนื้อกลับตัวก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้! พี่สาว พี่เพิ่งอายุสามสิบปีเอง พี่ยังมีเวลาอีกเยอะ ทำสิ่งที่พี่อยากทำเถอะ! ผมไม่อนุญาตให้พี่คิดลบ!”
เกาจิ่งอานจับไหล่เธอให้หันมาทางตรง และบีบคั้นให้เธอเงยหน้าอย่างกล้าหาญขึ้น
เกาหยิ่งจือรู้สึกเหนื่อยมาก เธอเลยสะบัดผมสั่นปัดหน้าผากเล็กน้อย และพูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “จิ่งอาน คุณช่วยฉันติดต่อใครคนหนึ่งให้ฉันได้ไหม?”
……
หลังจากที่เถียนเถียนกับจ้าวฟางฟางคุยกันสักพัก เด็กน้อยก็เอาโทรศัพท์ยัดใส่มือของหวังเค่ยไม่พูดอีก
หวังเค่ยหอมแก้มลูกสาวตัวเองหนึ่งที “เถียนเถียน ไม่ใช่ว่าคิดถึงแม่หรอกหรอ? แล้วทำไมไม่คุยแล้วล่ะ?”
จ้าวฟางฟางที่รอฟังเสียงของลูกสาวในสายก็อดใจไม่ไหว พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เถียนเถียน หนูไม่คิดถึงแม่แล้วหรอ? หนูได้ยินเสียงของแม่ไหม?”
เถียนเถียนโอบกอดคอของหวังเค่ยอย่างแน่น พร้อมกับวางใบหน้าหลังแผ่นหลังของหวังเค่ยแล้วเผยสายตาผิดหวังขึ้น “คุณไม่ใช่แม่ของหนู”
อะไรนะ?
ไม่ใช่แม่หรอ?
จ้าวฟางฟางนั่งไม่ติดแล้ว แต่ตะโกนพูดในสายว่า “เถียนเถียน หนูได้ยินเสียงของแม่ใช่ไหม ที่หนูได้ยินเป็นเสียงของแม่ไหม ฉันเป็นแม่ของหนูนะ หนูจำแม่ไม่ได้แล้วหรอ?”
เถียนเถียนยิ่งหนีไปซ่อนที่ไกล พร้อมกับตัวสั่นเทาเล็กน้อย “เธอเป็นแม่ที่ไม่ดี หนูต้องการแม่ของหนู”
เมื่อ หวังเค่ยได้ยินแบบนี้ก็ถึงกับนิ่งอึ้งเล็กน้อย แม่ไม่ดีอะไรกัน? แม่ไม่ดีหรอ? หรือว่าไม่ใช่คนเดียวหรอ?
จ้าวฟางฟางร้องไห้สะอื้น”เถียนเถียน หนูโกรธแม่อยู่หรือเปล่า? สิ่งที่แม่ทำเมื่อก่อนไม่ถูกต้อง แม่ผิดไปแล้ว แม่สัญญาว่าต่อไปจะรักและเอ็นดูหนู เรียกแม่หน่อยได้ไหม?”
เถียนเถียนเผยสีหน้าหวาดกลัวขึ้น “พ่อค่ะ หนูกลัวเธอ….”
เมื่อ หวังเค่ยได้ยินลูกสาวพูดว่า กลัวจ้าวฟางฟาง ในหัวสมองก็ย้อนนึกถึงเรื่องราวในอดีต และความอ่อนโยนที่ใจอ่อนเพราะได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกสาวก็สลายหายไป เขาก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วตะคอกพูดว่า “จ้าวฟางฟาง! เธอทำตัวยังไงกับลูกสาว เธอย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ! ตอนนี้ลูกสาวจำเธอไม่ได้แล้ว สมน้ำหน้า!”
“หวังเค่ย! คุณฟังฉันพูดก่อน ฉันผิดไปแล้ว ฉันรู้ตัวว่าผิดไปแล้ว คุณให้โอกาสฉันสักครั้งได้ไหม ฉันจะกลับตัว!”
กลับตัวหรอ? คำๆนี้แทบไม่มีความหมายต่อเขาเลย
หวังเค่ยกลัวลูกสาวกระทบกระเทือนทางจิตใจ เลยรีบพูดขึ้นว่า “จ้าวฟางฟาง ลูกสาวจำคุณไม่ได้แล้ว เชิญเป็นสะใภ้ตระกูลเสิ่นของคุณต่อไปเถอะ และต่อไปพวกเราอย่าได้ติดต่อกันอีก!”
พูดจบ หวังเค่ยก็วางสายลง แล้วอุ้มเถียนเถียนเดินจากไป
ลั่วหานคิดไม่ถึงว่าเถียนเถียนจะคุยเสร็จเร็วขนาดนี้ “มีอะไรหรอ? เถียนเถียนดีขึ้นหรือยังคะ?”
หวังเค่ยลูบบนหัวของลูกสาวเบาๆ และพูดด้วยน้ำเสียงจนปัญญาว่า “โทรศัพท์แล้ว แต่เมื่อเถียนเถียนได้ยินเสียงของเธอก็เอาโทรศัพท์คืนให้กับผม และบอกว่าผมว่าเธอกลัว”
ลั่วหานหันหน้ามองหลงเซียว และพูดขึ้นว่า “เป็นแบบนี้นี่เอง….”
“ผมนึกว่าเถียนเถียนอยู่กับผมที่ผ่านมา ในใจยังคงคิดถึงแม่ แต่ดูเหมือนไม่ใช่แล้ว” หวังเค่ยถอนหายใจและพูดขึ้น
ลั่วหานลูบแก้มของเถียนเถียนเบาๆ เด็กคนนี้หวาดกลัวจริงๆ ดวงตาที่แดงก่ำเพราะร้องไห้เมื่อกี้ ตอนนี้กลับเบิกตากว้างด้วยสายตาตกใจ
“พูดแบบนี้ มีเพียงคำอธิบายเดียว ภายใต้จิตสำนึกของเถียนเถียนยังคงปราณนาแม่อยู่ ดังนั้นเธอจึงนึกถึงช่วงเวลามีความสุขตอนอยู่ด้วยกันกับแม่ แต่เมื่อได้พบกับจ้าวฟางฟางจริงๆ ความทรงจำที่เลวร้ายที่เธอเคยประสบก็หวนย้อนกลับมาให้เธอนึกถึง และมาทดแทนความทรงจำที่มีความสุข ในทางการแพทย์เรียกว่าความทรงจำชั่วคราว ”
ลั่วหานพูดอธิบายขึ้น และแจ้งถึงอาการทางจิตใจของเถียนเถียน
เป็นความจริง ตอนที่อยู่โรงพยาบาลครั้งก่อน เมื่อเถียนเถียนเห็นจ้าวฟางฟางก็มีท่าทางหวาดกลัวขึ้น แล้วทำไมจู่ๆถึงนึกถึงเธอล่ะ?
เด็กน้อยผู้น่าสงสาร เพิ่งอายุน้อยเท่านี้เองก็ไม่มีแม่คอยอยู่เคียงข้างแล้ว แน่นอนว่าเธอก็ต้องรู้สึกเศร้าใจอยู่แล้ว
หลงเซียวยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้าง พร้อมกับโอบกอดลั่วหานด้วยมือข้างเดียว ซึ่งภายในใจก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เธอกล่าวไว้
หวังเค่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าละอายใจ “ต้องโทษผม…..ผมควรมอบครอบครัวที่สมบูรณ์แบบให้กับเธอ”
ลั่วหานลูบเปียผมของเด็กน้อย และซักถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เถียนเถียน หนูบอกน้าหน่อยว่า หนูต้องการแม่แบบไหน?” เถียนเถียนส่ายหน้าไม่พูดจา
เมื่อเห็นเธอมีสีหน้าเศร้าใจ ลั่วหานก็ไม่ซักถามเด็กน้อยอีก แต่พูดกับ หวังเค่ยว่า “ถ้าหากเป็นไปได้ ฉันแนะนำให้คุณหาคนที่เหมาะสมสักคน ผู้หญิงที่หย่าและมีลูกติด ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามเอ็นดูเถียนเถียน บางทีอาจจะสามารถลบล้างปมในใจของเถียนเถียนได้ เธออายุน้อยขนาดนี้ก็เริ่มมีปัญหาด้านจิตใจแล้ว ฉันกังวลว่าเมื่อเติบใหญ่ไปจะยิ่งอาการหนัก”
หวังเค่ยยิ้มอย่างละอายใจขึ้น “อย่างผมหรอ? ผมเป็นพ่อหม้าย แถมมีลูกติดด้วย ใครอยากมาแต่งงานกับผมครับ?”
ลั่วหานตบลงบนบ่าของเขาเบาๆ และพูดให้กำลังใจว่า “หย่าแล้วยังไง? ผู้ชายที่เคยหย่ายิ่งเป็นคนเอาใจใส่ มีผู้หญิงตั้งหลายคนอยากแต่งงานกับผู้ชายแบบนี้
อีกอย่าง เถียนเถียนน่ารักขนาดนี้ หากถูกเรียกขานว่าแม่คงรักตายเลย ดีออก! อีกอย่างคุณเป็นคนหล่อมีเสน่ห์ แถมเป็นพนักงานดีเด่นของบริษัทฉู่ซื่อของเราด้วย หากใครไม่แต่งงายด้วยคนนั้นคงโง่เขลามาก!”
หลงเซียวขยับริมฝีปากเล็กน้อย….
ภรรยาพูดเก่งขนาดนี้ หากต้องเปลี่ยนอาชีพเป็นแม่สื่อก็ไม่อดตายแน่