ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 646
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
ตอนที่ 646 แหวกหญ้าให้งูตื่น
ในสถานีตำรวจ
เมื่อเริ่มปฏิบัติการ ทีมปฏิบัติการก็อยู่ในสถานการณ์เคร่งเครียด ต้องเตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์
รวมถึงเจิ้งซิ่วหยาด้วย
ในออฟฟิศเงียบสงบ มีแต่โจวจั่นที่เคาะแป้นพิมพ์ดัง ถ้าไม่ได้เห็นหน้าจอที่เขาทำงานอยู่ ต้องเข้าใจผิดนึกว่าเขากำลังเล่นเกมแน่นอน เพราะมันเร็วมาก
นิ้วทั้งสิบนิ้วของเขาขยับไปเร็วด้วยความเร็วบนแป้นพิมพ์ เคาะแป้นพิมพ์ดังก้องไปทั่วห้อง
เจิ้งซิ่วหยาใส่เสื้อคลุมนอกสีดำ กางเกงขาสั้นสีดำ บนเท้าก็ใส่บูททรงสูงสีดำ สีดำทั้งตัว ทำให้เธอดูกระฉับกระเฉง
เธอกำลังก้มหน้าดูจุดสีแดงที่กำลังเคลื่อนไหวบนจอคอมพิวเตอร์ คิ้วขมวดเข้าหากัน “ขยายใหญ่หน่อย”
โจวจั่นตอบรับ เลื่อนเมาส์ไปที่หน้าจอขยายแผนที่ แผนที่กลายเป็นภาพมีมิติขึ้นมา สามารถเห็นอาคาร ถนน ตรอกซอยต่างๆอย่างชัดเจน
“ขยายอีก ให้ฉันเห็นภาพถนน” เสียงเจิ้งซิ่วหยาหนักแน่นชัดเจน คำสั่งก็หนักแน่น
“ครับ” โจวจั่นเปลี่ยนเป็นระบบการมอง บนหน้าจอกลายเป็นภาพสามดีอย่างคมชัด สามารถมองเห็นรถและสนามหญ้า ป้ายชื่อร้านค้าอย่างชัดเจน
“หัวหน้า เป้าหมายเข้าไปในนี้ แต่ตรงนี้เป็นบ้านพักคน เข้าไปโดยพลการไม่ได้?” โจวจั่นไม่ได้เคาะแป้นพิมพ์ต่อ วางมือถาม
เจิ้งซิ่วหยาด่าอย่างไม่สุภาพ “พ่อมันเอ้ย”
โจวจั่นพูด “พ่อไม่พ่อก็ไม่มีประโยชน์ พวกเรายังไม่มีหมายค้น สืบยังไง? บุกรุก ถ้าเกิดผิดพลาด ก็ไม่ค่อยดีนะ”
ไม่ค่อยดี ก็ต้องทำ
เจิ้งซิ่วหยาไม่พูดอะไร ก็หมุนเก้าอี้ของโจวจั่น ให้คนหันมา “เก็บของ ไปกับพี่”
โจวจั่นขยี้ผม ไปก็ไป ติดตามลูกพี่ทำเรื่องนอกกรอบก็ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว
คำว่าของ ก็คือปืนของทั้งสองคน ปืนเอ็มเก้าห้าคนละกระบอก เจิ้งซิ่วหยาเปิดซองกระสุนอย่างถนัด เห็นข้างในมีกระสุน ก็ปิด หนีบไว้ตรงเอวอย่างกระฉับกระเฉง
โจวจั่นก็ทำท่าเดียวกัน แต่ช้ากว่าเจิ้งซิ่วหยานิดหนึ่ง “ลูกพี่ หัวหน้าไปทีมจับยาเสพติดแล้ว เราจะหาคนไปด้วยกันไหม”
คนในกล้องวงจรปิดเป็นนักโทษติดคดี ทางตำรวจสงสัยว่าเขามีการลักลอบค้ามนุษย์ แต่หลักฐานไม่พร้อม ข้างบนให้พวกเขาอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น
ไม่อย่างนั้น ก็คงไม่ต้องนั่งดูกล้องตลอด ไม่จัดส่งคนไป
แต่เจิ้งซิ่วหยารอได้ที่ไหน เธอเกลียดพวกเศษสวะพวกนี้จะตาย
กัดฟัน “ข้างบนไม่ให้แหวกหญ้าให้งูตื่น เรื่องนี้ต้องรอก่อน นายไปกับฉัน แต่ว่า นายกลัวไหม?”
เจิ้งซิ่วหยาจับกุญแจ ผมเย็นพัดผ่าน เธอหันตัวเดินออกไปแล้ว
โจวจั่นจัดทรงผมตัวเอง หมุนทวนเข็มนาฬิกาให้ผมตั้งขึ้น “กลัว? ผมโจวจั่นในพจนานุกรม……มีคำว่ากลัวอยู่จริง”
“แม่ง”
เจิ้งซิ่วหยาพูดคำหยาบออกมา เดินลงบันได
โจวจั่นยิ้มอย่างสอพลอ “พี่ฟังอมพูดจบก่อน เมื่อก่อนกลัว แต่ติดตามพี่ผมก็ไม่กลัวแล้ว พี่เป็นยันต์ป้องกันของผม ยันต์ช่วยชีวิต ปั๊มน้ำมันยามสำคัญ”
“พูดมาก” เจิ้งซิ่วหยาทิ้งคำพูดไว้ เปิดประตูรถ นั่งเข้าไปที่นั่งคนขับ
โจวจั่นพูด “ลูกพี่ ผมขับรถ กลางคืนพี่ขับรถมันไม่ค่อยดี ไม่ว่ายังไง พี่ก็เป็นผู้หญิง”
“อย่าพูดมาก ขึ้นรถ”
โจวจั่นไม่กล้าเถียงเจิ้งซิ่วหยา ก็ขึ้นรถโดยดี คิดในใจ เดี๋ยวเขาต้องรักษาความปลอดภัยของลูกพี่
รถเบนซ์สีดำของเจิ้งซิ่วหยาขับไปตามถนน ล้อหมุนใบไม้บนพื้นปลิวขึ้น วิ่งไปบนถนนจนเป็นรอยบนพื้น
……
ค่ำคืน ค่อยๆมืดลง นาฬิกาบนผนังเดินไปอย่างเงียบๆ
ลั่วหานไม่มีความง่วงแล้ว ลืมตาขึ้นมา ข้างกายว่างเปล่า หลงเซียวยังไม่กลับมานอน ทำงานอยู่ในห้องหนังสืออีกแล้ว
เมื่อกี้เธอหลับไปสักพัก ตอนนอนหลงเซียวยังอยู่ข้างกายเธอ แต่นอนไปแค่แป๊บเดียว เขาก็ไม่อยู่แล้ว
ก็พอคิดได้ เมื่อก่อนคงมีบ่อยครั้ง เมื่อเธอหลับแล้ว เขาก็แอบไปทำงานต่อซินะ?
ลั่วหานลูบท้อง พูดอย่างอ่อนโยน “ลูกรัก พ่อของหนูเพื่อเราสองคนแล้ว ทำงานอย่างลำบาก อีกหน่อยหนูออกมาแล้ว ต้องเชื่อฟังคำพูดพ่อ และรักพ่อมากๆนะ”
นั่งคิดอยู่สักพัก ลั่วหานเปิดผ้าห่มออก ใส่รองเท้าแตะนุ่มเดินไม่มีเสียง เธอผลักประตูออก ในห้องหนังสือไฟยังสว่างอยู่
ก็ได้ คุณหลงตอนนี้เพื่อบริษัทฉู่ซื่อเหนื่อยจนทรมานไตแล้ว
ไม่ไปรบกวนเขา ลั่วหานเดินกลับห้องนอน
ตอนนี้อเมริกาเป็นเวลากลางวัน จิ้นเหยียนคงต้องทำงานอยู่?
ลั่วหานนั่งอยู่บนเตียง หยิบมือถือขึ้นมาแล้ววางลง เธออยากถามให้ชัดเจน แต่ก็กลัวจะทำลายความสัมพันธ์ อีกหน่อยเธอกับถังจิ้นเหยียนจะเป็นเพื่อนกันต่อยังไง
ถ้าถังจงรุ่ยเคยข่มขู่และทำให้พ่อของเธอตายจริง ความโกรธแค้นนี้เธอกลืนไม่ลงแน่นอน
เฮ้อ…..
เสียงถอนหายใจยาว ลั่วหานหยิบมือถือขึ้นมา
ลองถามคร่าวๆดูดีกว่า
ไม่ได้โทรไป แต่แค่ส่งข้อความ
“จิ้นเหยียน ฉันอยากรู้ว่า ทำไมพ่อคุณไม่ทำธุรกิจแล้วเปลี่ยนไปเป็นครู? เกิดอะไรขึ้น คุณรู้รึเปล่า?”
ส่งข้อความไปแล้ว ลั่วหานขมวดคิ้ว
ถังจงรุ่ย……ฉันหวังว่าคุณจะไม่ใช่ฆาตกร หวังว่าไม่ใช่คุณนะ
ถังจิ้นเหยียนที่อยู่ไกลถึงอเมริกาได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น นึกว่าเจิ้งซิ่วหยาตอบข้อความมา เปิดดูเป็นข้อความของลั่วหาน ดูข้อความแล้ว เขาก็รู้สึกประหลาดใจ
อยู่ดีๆ ทำไมเธอถึงมาถามเรื่องของพ่อเขา?
ถังจิ้นเหยียนนั่งในห้องทำงาน อาการเมาค้างจากเมื่อคืนยังทำให้ปวดหัวอยู่ “พ่อผมเขาไม่อยากต่อสู้ในแวดวงธุรกิจ อยากอยู่อย่างสงบ ก็เลยตัดสินใจไปสอนหนังสือ เขาบอกว่าเขาชอบชีวิตสงบแบบนี้……ทำไมเหรอ?”
ลั่วหานลังเล สงบ?
ถังจงรุ่ยอยากอยู่อย่างสงบ แต่ว่า……
“พ่อคุณไม่ได้กลับประเทศนานแล้วซินะ? ถ้าคุณกลับมา ก็พาพ่อแม่คุณกลับมาดูบ้านเกิดด้วย ฉันยังไม่เคยได้เจอคุณลุงคุณป้าเลย อยากทักทายพวกเขาด้วยตัวเอง”
ยังไงลั่วหานก็ใจแข็งไม่พอ
อาจจะเป็นเพราะตัวเองเป็นแม่คนแล้ว ความเด็ดเดี่ยวแต่ก่อน ความเกลียดความแค้น ตอนนี้ทุกอย่างก็พัดไปตามกาลเวลาแล้ว
ถังจิ้นเหยียนลังเลอยู่สักพัก “ถ้าผมกลับไป แน่นอน…..ดึกมาแล้ว คุณพักผ่อนเถอะ”
ถังจิ้นเหยียนกดไปหน้าเมนูหลัก ข้อความที่ส่งไปให้เจิ้งซิ่วหยาก็ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่ยังไม่ได้รับข้อความตอบกลับเลย
……
“ลูกพี่ ถึงแล้ว คนอยู่ข้างบน ตึกนี้ไม่มีลิฟต์ ต้องเดินขึ้นบันได”
เจิ้งซิ่วหยามองขึ้นไปบนตึก ทั้งหมดเจ็ดชั้น ผู้ต้องสงสัยอยู่ชั้นเจ็ด
“ได้ ขึ้นไป”
โจวจั่นต้องยอมใจจริงๆ “ลูกพี่ ลุยคนเดียวแบบนี้……เป็นผู้หญิงไม่กลัวเลยเหรอ?”
เจิ้งซิ่วหยาใช้ยางรัดผมรวบผมมัดไว้ด้านหลัง “กลัว ฉันก็ไม่มาเป็นตำรวจแล้ว”
ได้ คิดสักว่าเขาไม่ได้ถามละกัน
ทั้งสองเดินขึ้นบันได ไม่นานก็ถึงชั้นเจ็ด ทุกชั้นมีสี่ห้อง เป้าหมายพวกเขาอยู่ห้องหนึ่งซ้ายมือ มีตาแมวอยู่ตรงประตู
เจิ้งซิ่วหยาพูดเสียงเบา “นายรออยู่นี่ ฉันไปเคาะประตู”
โจวจั่นทำท่าOK
เจิ้งซิ่วหยาเดินไปหน้าประตู กดกริ่ง
ไม่มีการตอบสนอง
ก็กดอีกครั้ง ก็ไม่มีการตอบสนอง
กดติดต่อกันหลายครั้ง ก็ยังคงไม่มีการตอบสนอง
ต่อมา ข้างในมีเสียงดัง “ปัง” เหมือนของอะไรสักอย่างล้ม
“แม่ง ชนประตู”
คนอยู่ข้างในจริง แต่กลัวไม่กล้าเปิดประตู ต้องมีแผนการอะไรแน่
ชนประตู? นี่มันประตูกันขโมยสองชั้น ทำเป็นล้อเล่น
โจวจั่นยังไม่ทันตั้งตัว เจิ้งซิ่วหยาก็ควักปืนออกมา ยิงไปที่กลอนประตู “ปัง” นัดเดียว ล็อกก็ถูกปลดออก ประตูเสียหาย เธอก็ยกเท้าขึ้นถีบประตูออก
โจวจั่น “……”
เขาผิดแล้ว เธอไม่ใช่ผู้หญิง
ทั้งสองบุกเข้าไป ในห้องไม่มีใครสักคน มีกลิ่นมาม่า กลิ่นบุหรี่ เสื้อผ้าวางเต็มไปหมด
มาม่ายังร้อนอยู่ กินไปได้ครึ่งหนึ่ง กลิ่นบุหรี่ยังแรงอยู่ สูบไม่หมดทิ้งอยู่บนพื้น
“ค้น”
ทั้งสองคนทุ่มเต็มที่แล้ว มีสามห้องนอน หนึ่งห้องรับแขกค้นจนหมด ไม่มีแม้แต่เงา
โจวจั่นค้นห้องนอนและห้องน้ำ ข้างในสกปรกมาก มีกลิ่นเน่าเหม็น เหมือนมีคนอยู่ ก็เหมือนไม่มีคนอยู่
เจิ้งซิ่วหยามองที่หน้าต่าง “เหี้ยเอ้ย มันหนีไปทางหน้าต่างแล้ว”
ก้มลงไปดูที่หน้าต่าง ขอบหน้าต่างมีเชือกเส้นหนึ่ง ห้อยลงไป แต่เชือกท่อนล่างถูกตัดไป
ทำได้ยังไง?
มีเงาดำกำลังวิ่ง ความเร็วนั้นเหมือนคนกำลังหนีตาย
“มีคนหนีแล้ว ตาม” เจิ้งซิ่วหยาตะโกน กัดฟันวิ่งออกไป
โจวจั่นด่าอยู่เงียบๆ “แม่งเอ้ย มันถอดเครื่องติดตามที่เราติดบนตัวมันออกแล้ว มันรู้ตัวแล้ว”
ตามมาถึงที่แล้ว จะไม่ให้สงสัยได้ยังไง? ไม่มีสมองก็เป็นคนเลวไม่ได้
“เดินบันไดช้าเกินไป ฉันลงไปตามเชือก” เจิ้งซิ่วหยาเก็บปืนเข้าที่ หยิบผ้าชิ้นหนึ่งมาพันมือไว้ กระโดดออกนอกหน้าต่าง หันหน้าเข้าผนังตึก ความสูงเจ็ดชั้นเหมือนคนงานก่อสร้าง ไม่มีอะไรป้องกันตัวเลย ก็ลงไปแบบนั้น
เชือกถึงชั้นสองก็โดนตัดขาด เจิ้งซิ่วหยาเหวี่ยงตัว ขาไปเกี่ยวที่ระเบียงขั้นสอง แค่พริบตา เธอก็เหมือนแมว ยืนนิ่งอยู่บนระเบียงชั้นสอง แล้วบินตามท่อน้ำลงไปที่ชั้นหนึ่ง
ทั้งหมดไม่ถึงสองนาที เธอเหมือนนกบินผ่าน
โจวจั่นดูจนตาค้าง ลูกพี่ก็คือลูกพี่ ไม่เสียชื่อที่เป็นตำรวจหญิงจบมาจากโรงเรียนตำรวจในอเมริกา
สุดยอด
ไม่เสียเวลา โจวจั่นก็ใช้ความเร็วระดับเดียวกันลงไป
ฝีมือโจวจั่นสู้เจิ้งซิ่วหยาไม่ได้ แต่เขาแขนขายาว เวลาลงไปก็ไม่ช้า
เครื่องติดตามบนตัวผู้ต้องสงสัยไม่มีแล้ว พวกเขาเลยติดตามค่อนข้างลำบาก
เจิ้งซิ่วหยากระโดดขึ้นรถ “ตามไปบนถนน มันไปไม่ไกลแน่”
วิ่งไม่ไกลก็ถูก แต่เขาอาจหลบซ่อน
ตามคาด ทั้งสองไล่ไปตามทางไม่มีอะไรเลย คนร้ายก็หนีไปแบบนี้เลย เหลือเพียงมาม่าที่กินไม่หมด กับบุหรี่ครึ่งมวน
เจิ้งซิ่วหยากัดฟัน “บ้าเอ้ย เกือบสำเร็จอยู่แล้ว”
เธอโกรธจนเส้นเลือดนูนออก โจวจั่นก็สีหน้าโมโห ทั้งสองออกไปอย่างสง่า แต่กลับมาอย่างหน้ามน
เพิ่มกลับถึงสถานี เฉินเจาก็เดินมาสีหน้าเย็นชา
“เจิ้งซิ่วหยา เธอนี่หาที่ตายใช่ไหม”
เฉินเจาด่าสายฟ้าแลบ
เจิ้งซิ่วหยาพูดในใจ บ้าเอ้ย……แหวกหญ้าให้งูตื่น
“หัว…..”
“หัวบ้าอะไร”