ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 654
เราจะทยอยไล่แก้ให้ยามว่างอยากให้แก้เรื่องไหนคอมเมนต์ไว้นะคะ
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
ตอนที่ 654 show เพื่อนเก่า
ชายผู้ที่ยืนหันหลังให้กับหลงถิงได้ยิน เมื่อได้ยินเขาพูดดังนั้นก็ค่อยๆหันหลังกลับมา บรรยากาศแสงไฟภายในห้องไม่ได้สว่างเท่าไรนัก เพราะด้านในมีเพียงแค่ไฟดวงเดียวห้อยลงมาจากเพดาน แสงไฟนั้นส่องเข้ามาในตาของเขา
หลงถิงมองไปที่ใบหน้าของเขาอันซีดเซียว
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะครับ ลูกพี่!” คำว่าลูกพี่ที่พูดออกมานั้นไม่ได้สื่อถึงความเคารพนับถือ เมื่อพิจารณาดูดีๆคล้ายกับเป็นการประชดประชันเสียด้วยซ้ำ
หลงถิงนำกล่องไม้ที่ถือมาวางบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง เขานำมันวางไว้ข้างๆแจกัน “อืม หลายสิบปีมาแล้ว นานแล้วจริงๆสินะ”
ใบหน้าของชายผู้นั้นปรากฏรอยตีนกาเล็กน้อย มองออกว่าอายุน้อยกว่าหลงถิงหลายปี แต่เขาได้ดูแลสุขภาพและผิวพรรณเป็นอย่างดี ไม่อ้วนท้วนเกินไป สีหน้ามีเลือดฝาดมองดูก็รู้ได้ว่าเขามีชีวิตการกินอยู่อย่างมีความสุข
กลับกันมองมาที่หลงถิงก็สามารถเดาได้ว่าเขาแบกรักภาระใหญ่หลวงไว้มากมายเพียงใด
นิ้วนางข้างซ้ายของชายผู้นั้นสวมแหวนสีทองวงใหญ่ ขณะที่เขายกมือขึ้น แสงไฟกระทบกับแหวนนั้นเป็นประกายแวววาว บ่งบอกถึงสัญลักษณ์แห่งความสุขสม
หลงถิงใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า และรับรู้ได้ว่าหลายปีมานี้เขากินอยู่อย่างมีความสุขไม่มีทุกข์ใดๆช่างแตกต่างจากเดิมในความทรงจำ
ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะ บนโต๊ะมีอุปกรณ์ดื่มชาวางคั่นอยู่ ในแก้วกาน้ำชานั้นไอร้อนลอยขึ้นมา ด้านข้างมีกล่องใส่ใบชาอยู่ 2-3 กล่อง แต่ละกล่องมีชนิดที่แตกต่างกันไป
ชาปี้หลัวชุน จวินจิ้นเหมย เอิร์ลเกรย์ชาดำ ชาอูหลงและชาผูเอ่อร์
หลินเหว่ยเย่หยิบจวินจิ้นเหมยขึ้นมาโดยไม่ลังเล เขายิ้มแล้วถามว่า “ลูกพี่ตอนนี้ยังชอบดื่มชาแดงอยู่หรือเปล่า?”
หลงถิงนำมือวางลงไปที่เข่าทั้งสองด้วยความระมัดระวัง เขายิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “คิดไม่ถึงว่าคุณยังจำสิ่งที่ผมชอบได้อยู่ แต่ตอนนี้ผมไม่ค่อยได้ดื่มชาเท่าไหร่ โดยมากอายุป่านนี้แล้วมักจะดื่มเหล้า”
หลินเหว่ยเย่ใส่ใบชาลงไปในกาต้มน้ำชา จากนั้นมองดูสีของน้ำที่ค่อยๆเปลี่ยนไปตามสีของใบชา เขาริมน้ำชาแรกทิ้งไปและใส่น้ำเข้าไปใหม่ “หลายปีมานี้ธุรกิจของคุณไปได้สวย พรรคพวกเมื่อสมัยก่อนแต่ละคนก็วางมือกันหมดแล้ว เหลือแค่ลูกพี่คนเดียวที่ยังยืนหยัดอยู่อย่างยิ่งใหญ่ได้ พวกเราชื่นชมยิ่งนัก”
เขาพูดพลางรินน้ำชาร้อนลงไป อุณหภูมิ เวลา ปริมาณ ทุกอย่างควบคุมได้พอดี การชงชานั้นมีศิลปะเฉพาะตัว หากเวลาความร้อนและปริมาณผิดพลาดไปก็จะไม่ได้รสชาตินี้
ชีวิตแต่ละวันของเขาจึงได้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า
สายตาของหลงถิงมองไปยังน้ำที่ไหลรินลงมาแล้วพูดด้วยท่าทางจริงจังว่า “การที่ผมเดินมาจนมีทุกวันนี้ก็ได้รับความช่วยเหลือจากพวกคุณ เราคนกันเองไม่จำเป็นต้องพูดจาเกรงใจขนาดนั้น”
แต่เห็นได้ชัดว่าหลินเหว่ยเย่ไม่ต้องการจะเข้าใกล้เขาไปมากกว่านี้ เขาใช้สองมือยื่นแก้วน้ำชาให้กับหลงถิง สายตามองไปยังกล่องที่วางอยู่นั้น วัสดุชั้นเลิศฝีมือประณีต เพียงแค่กล่องด้านนอกก็สามารถรับรู้ได้ว่าของด้านในนั้นเป็นของที่มีมูลค่า นักสะสมอย่างหลินเหว่ยเย่มองดูก็รู้ว่าของสิ่งนี้มีมูลค่าในด้านธุรกิจและคุณค่าในการเก็บรักษา
หลงถิงดื่มชาเข้าไปอึกหนึ่ง และเอ่ยชมออกมาว่า “ชานี้รสดีจริงๆ ได้ดื่มชาของคุณแล้วผมคงไม่อยากดื่มชาของคนอื่นอีกเลย ฮ่าๆๆ!!!”
หลินเหว่ยเย่เองก็ดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง แล้วพูดว่า “อืม วันนี้ผมตั้งใจที่จะชงมันออกมา หวังว่าลูกพี่จะไม่รังเกียจก็พอแล้ว ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนลูกพี่ให้ความสำคัญกับการดื่มชามาก”
“ไม่ๆ บอกตามตรงนะว่าตอนนั้นผมก็ไม่ได้ชอบดื่มอะไรพวกนี้หรอก เพียงแต่ว่าในตอนนั้นมีคนดูถูกเหยียดหยามผม จึงได้แกล้งทำออกมาแบบนั้นเอง ให้ผมพูดตามตรงนะผมแค่ชงชาเก๊กฮวยมาก็พอแล้ว”
หลินเหว่ยเย่หัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ!” จากนั้นดื่มชาในแก้วจนหมด “ตอนนี้ธุรกิจของลูกพี่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้คงไม่มีใครกล้าที่จะพูดจาดูถูกอีกแล้วล่ะครับ”
หลงถิงนำนิ้วมือที่ค่อนข้างจะอุดมสมบูรณ์ของเขาคลำไปรอบๆแก้วน้ำชา แววตานั้นเผยถึงความไม่พอใจและอาฆาต “เหอะๆ ตอนนั้นที่พวกเราก่อตั้งธุรกิจกันที่ USA ผมมันก็แค่ไอ้กระจอกคนหนึ่งที่ไม่ว่าเดินไปทางไหนก็ล้วนมีแต่คนดูถูกเหยียดหยาม การที่ผมเดินมาได้ถึงวันนี้รู้ไหมว่าเพราะอะไร? เพราะผมพยายามต่อสู้ดิ้นรนกับทุกอุปสรรคและมีพรรคพวกแบบพวกคุณคอยช่วยเหลือ”
หลินเหว่ยเย่ยิ้มอย่างเยือกเย็น เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
หลงถิงกลับพูดต่อไปว่า “ในตอนนั้นพวกเราทุกคนทั้งยากจนและไม่มีอะไรติดตัวมาเลย พวกเราก่อตั้งครอบครัวด้วยสองมือ เมื่อลองคิดดูแล้วมันช่างน่าขันเสียจริง” หลินเหว่ยเย่มองเขาออกว่าหลายปีที่ไม่ได้เจอกันมานี้ อยู่ๆเขาได้มาหาตนและพูดถึงเรื่องความรู้สึกและเรื่องวันวานเหล่านั้น มองดูแล้วคงไม่ใช่เพียงแต่เป็นการนั่งดื่มน้ำชาและไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบธรรมดาแน่นอน
“วันนี้ลูกพี่อุตส่าห์เดินทางมาหาผม ไม่รู้ว่ามีธุระอะไรหรือเปล่า พูดมาตรงๆไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก ผมช่วยได้รับรองว่าผมต้องช่วย แต่พี่ก็รู้ดีว่าตอนนี้ผมวางมือจากการต่อสู้ฆ่าฟันแล้ว”
เขาวางตัวและควบคุมสถานการณ์ได้ดีทีเดียว
หลงถิงยิ้มออกมาจนเห็นรอยตีนกา เขาพูดว่า “แหมพูดอะไรออกมาเนี่ย ไม่เจอกันแค่ไม่กี่สิบปี จะให้ผมเอ่ยปากขอความช่วยเหลือเลยได้ยังไง จริงด้วยสิ……”
เขาวางแก้วน้ำชาลงแล้วหยิบกล่องไม้นั้นส่งให้หลินเหว่ยเย่ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ลองดูนี่สิ”
หลินเหว่ยเย่ไม่ได้เปิดออกมาดู เขารู้สึกถึงความไม่ปกติจึงถามว่า “นี่คืออะไร?”
หลงถิงใช้ตะเกียบหยิบขนมอันแสนประณีตที่วางอยู่ตรงหน้าเข้ามากิน “ได้ยินมาว่าคุณกำลังตามหาถ้วยไก่ในสมัยราชวงศ์หมิง สิ่งนี้มีราคาแต่หาซื้อไม่ได้ ผมคิดว่าคุณเองก็พยายามมากมายเหมือนกัน”
ถ้วยไก่งั้นเหรอ?
ดวงตาของหลินเหว่ยเย่เป็นประกายขึ้นมา แม้เขาจะพยายามควบคุมอารมณ์ความรู้สึกอยู่ แต่ถ้วยไก่สามคำนี้ทำให้เขาไม่อาจควบคุมไว้ได้
ถ้วยไก่คือของสะสมที่เขาพยายามค้นหามาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งของในราชวงศ์หมิง แก้วที่องค์จักรพรรดิใช้ในการดื่มสุรา ขั้นตอนการทำองค์จักรพรรดิทรงตรวจสอบด้วยตนเอง ดังนั้นจึงผลิตออกมาเพียงไม่กี่ใบ ใบที่ผลิตออกมาได้สมบูรณ์แบบที่สุดได้มอบให้แก่องค์จักรพรรดิ ส่วนใบอื่นๆได้ทำลายทิ้งจนหมดสิ้นดังนั้นจึงเหลือไว้เพียงน้อยนิด
เวลาผ่านไปหลายร้อยปี ปัจจุบันเหลืออยู่บนโลกนี้เพียงไม่กี่ใบเท่านั้น และนักสะสมต่างๆล้วนใช้แก้วถ้วยไก่นี้อวดอ้างในความสามารถของตน
สำหรับหลินเหว่ยเย่นั้นหากได้ถ้วยไก่มาไว้เป็นของสะสม ไม่เพียงแต่เป็นเกียรติที่ได้มาอีกครั้งยังรู้สึกภูมิใจที่ได้ไว้ในครอบครอง แต่หลายปีมานี้เขาพยายามค้นหาเพียงใดก็หาไม่พบ
เมื่อหลายปีก่อนมีมหาเศรษฐีคนหนึ่ง ประมูลไปได้ ทำให้หลินเหว่ยเย่รู้สึกเสียใจยิ่งนัก
บัดนี้ของที่เขาได้ตามหามาทั้งชีวิตกองอยู่ตรงหน้า แต่การที่จะได้มันมาคาดว่าคงไม่ง่าย
เขาจำได้ว่าเมื่อปีนั้นมหาเศรษฐีคนที่ประมูลแก้วนี้ไปได้ใช้เงินกว่า 300 ล้าน ปัจจุบันคาดว่าราคาของเพิ่มเป็นเท่าตัวแน่นอน เรื่องราคาไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ที่สำคัญคือคงไม่มีใครยอมเอาออกมาขายง่ายๆ
หลินเหว่ยเย่ครุ่นคิดวิเคราะห์อยู่เนิ่นนาน จากนั้นจึงถามว่า “ลูกพี่ได้มาอย่างนั้นหรือ! ยินดีด้วยนะครับ” หลงถิงพูดว่า “ผมสิควรจะยินดีกับคุณ ที่มีของสะสมเพิ่มอีกชิ้นหนึ่ง” เขาพูดจบก็เปิดกล่องไม้นั่นออก ภายในมีถ้วยไก่ในสมัยราชวงศ์หมิงอันแสนประณีตงดงามอีกทั้งยังเป็นใบที่สลักว่า《ภาพประกอบไก่》อันล้ำค่าที่สุด
เมื่อหลินเหว่ยเย่มองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน แววตาที่ไม่อาจบรรยายความรู้สึกนั้นได้คล้ายกับแม่ที่พบเจอลูกที่จากไปเวลาหลายปี คล้ายกับคนที่หิวจนใกล้จะขาดใจได้พบเข้ากับอาหาร
หลงถิงพูดว่า “เรื่อง《เถาจี้》ได้กล่าวเอาไว้ว่า การดื่มสุราชั้นเลิศมีเพียงถ้วยไก่เท่านั้นที่เหมาะสม คุณชื่นชอบในการดื่มชาเช่นนี้ใช้แก้วชั้นเลิศในการดื่มชาถึงจะเข้ากัน
แก้วน้ำชานี้ยอดเยี่ยมเสียจริง ครั้งที่ยกดื่มก็คล้ายกับดื่มเงินเข้าไปหลายล้าน
เพียงแต่เมื่อหลินเหว่ยเย่กะพริบตาก็ได้สติกลับคืนมาและเลือกที่จะหันความสนใจออกจากแก้วนั้น “พี่ครับ แก้วที่มีมูลค่ามากมายขนาดนี้ผมคงรับไว้ไม่ได้”
หลงถิงยื่นกล่องและแก้วนั้นไปให้เขาและพูดว่า “ต่อให้แพงเพียงใดก็เป็นเพียงแค่แก้ว ไม่อาจเทียบได้กับความรู้สึกที่พวกเราเคยมีให้ต่อกัน ผ่านทุกข์ผ่านสุขมาด้วยกันในตอนนั้น หลายปีมานี้ผมไม่เคยมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบคุณเลย สิ่งนี้ถือว่าเป็นของขวัญจากผมแล้วกัน”
คิดว่าหลินเหว่ยเย่จะเชื่ออย่างนั้นหรือ?
เขาผลักกล่องนั้นกลับไปให้หลงถิงแล้วพูดว่า “ลูกพี่ครับ หลายปีมานี้เราแต่ละคนต่างมีทางเดินเป็นของตัวเองและทุกคนล้วนมีชีวิตการเป็นอยู่ที่พึงพอใจแล้ว ของสิ่งนี้ลูกพี่นำกลับไปเถอะ”
หลงถิงพูดว่า “เอ่ หรือที่คุณไม่รับเอาไว้เพราะไม่มีราคาใช่หรือไม่?ถ้าคุณไม่ชอบผมเขวี้ยงทิ้งไปก็ได้นะ”
เขวี้ยงทิ้งอย่างนั้นเหรอ!?
หลินเหว่ยเย่เบิกตากว้างแล้วพูดว่า “ลูกพี่ นี่เป็นการตบหน้ากันชัดๆเลย”
หลงถิงรู้ดีว่าเขาต้องเสียดาย จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องของราคานั้นไม่สำคัญเลย ที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้ที่ชื่นชอบมีความเห็นว่าอย่างไร สำหรับคุณแล้วนี่อาจจะเป็นสิ่งของที่ล้ำค่า สำหรับผมที่ไม่มีความรู้เรื่องนี้แล้วรู้สึกว่ามันไม่ได้มีประโยชน์อะไร ในเมื่อแก้วใบนี้ได้เจอกับคุณแล้วก็อย่าให้ผมได้ทำลายคุณค่าของมันเลย”
หลินเหว่ยเย่ทำตัวไม่ถูกจริงๆ เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเนื่องจากเข้าใจดีว่าการที่รับมันไว้อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ยากต่อการจะถอนตัวออกมาแต่ว่า……
“ลูกพี่พูดออกมาตามตรงเถอะว่าต้องการให้ผมช่วยอะไร?” หลินเหว่ยเย่ถามหลงถิงออกมาตรงๆ
เขารู้จักนิสัยของหลงถิงดี
“คุณเป็นคนที่มีความสามารถแต่เก็บตัวเอาไว้หลายสิบปี ถึงเวลาที่จะออกมาให้สังคมได้รู้จักบ้างแล้ว ตอนนี้นักสะสมที่ดีมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ไว้ใจได้ พวกเราต้องการคนมีความสามารถอย่างคุณ ลุกขึ้นมาเถอะเรามาร่วมมือกัน”
หลินเหว่ยเย่ไม่ดื่มชาอีกต่อไป เขารู้สึกว่าน้ำชานี้ได้เปลี่ยนรสชาติไปแล้ว
“ลูกพี่ต้องการทำอะไร?”
หลงถิงตอบว่า “มีคนต้องการจะล้มล้างผม”
หลินเหว่ยเย่หัวเราะออกมา “ลูกพี่ล้อผมเล่นอยู่หรือไง?ใครกันที่กล้าล้มล้างเจ้าของ MBK ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ตลกจริงๆ!”
หลงถิงหยิบขนมใส่ปากแล้วเคี้ยวขนมนั้น เขาจำได้ว่าหยวนชูเฟินชอบขนมนี้มากที่สุดอีกทั้งไส้ที่เขาชอบก็คือไส้ฮอว์ธอร์นจีน
“คนๆนี้คุณรู้จักดี”
หลินเหว่ยเย่มองดูนาฬิกา ได้เวลากลับบ้านแล้ว เนื่องจากในวันนี้เขายังมีเรื่องอื่นต้องจัดการ
“ผมรู้จักเหรอครับ ใครกัน?!”
“ลูกชายผมเอง หลงเซียว” หลงถิงพูดอย่างเยือกเย็น
หลินเหว่ยเย่ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขบขันยิ่งนัก “ใครกันบ้างที่ไม่รู้ว่าหลงเซียวเป็นเสาหลักของ MBK เขาจะจัดการ MBK ของคุณเพื่ออะไร?ลูกพี่คิดมากไปเอง”
หลงถิงไม่อาจกินขนมนั้นต่อไปได้ เนื่องจากทุกครั้งที่เขากลืนลงไปก็รู้สึกคิดถึงหยวนชูเฟินขึ้นมา อีกทั้งความทรงจำเก่าๆได้ลอยเข้ามาในหัวของเขาทำให้เขารู้สึกไม่เป็นตัวเอง
“ถ้าผมพูดว่าเขาไม่ใช่ลูกชายในสายเลือดของผมล่ะ?” หลงถิงพูด
หลินเหว่ยเย่ตกใจมาก เขาถามออกมาว่า “อะไรนะ?หรือว่าชูเฟินกับผู้ชายคนอื่น……”
หลงถิงดื่มน้ำชาเข้าไป มันช่างขมขื่นคล้ายกับยาจีน “หลงเซียวเป็นลูกชายของมู่เส้าเอิน”
หา!!!
แก้วน้ำชาในมือของหลินเหว่ยเย่ตกลงสู่พื้น กลิ้งอยู่ 2-3 รอบ ส่วนที่ตกลงสู่พื้นนั้นแตกออกเป็นสองส่วน