ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 701
ตอนที่ 701 ไม่จีบเล่นไปทั่วได้ไหม
คุณหมอที่รักษาหลักของเกาหยิ่งจือแตะที่หน้าผากของเธอ ถอดหน้ากากอนามัยออก มองลงไปที่คนหน้าซีดอยู่บนเตียง และพูดด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่ “อันที่จริง สถานการณ์ของเกาหยิ่งจือไม่ค่อยดีเท่ากับผลการตรวจ”
คิ้วสวยของลั่วหานบิดเบี้ยวเป็นก้อนพันกัน “เป็นอย่างไรหรือ?”
คุณหมอถอนหายใจ “คุณลองคิดดู ถ้าร่างกายของเธอแข็งแรงเหมือนตัวเลขผลตรวจร่างกายจริงๆ เธอจะเป็นลมเพราะความโกรธหรือ? เว้นแต่ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ หัวใจจะหยุดเต้นชั่วคราวและเป็นลมไปเมื่อมีสิ่งกระตุ้น เธอไม่มีปัญหาด้านหัวใจ แต่เธอเป็นลมอย่างไม่มีสาเหตุ?”
“ไม่เคยได้ยินเหรอว่าโกรธจนเป็นลมเหรอ? เวลาคนเราโกรธมากๆการเต้นของหัวใจก็จะเร็วขึ้นและทำให้หยุดเต้นชั่วคราวได้เช่นกัน มันไม่น่าแปลก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งเลย คนปกติก็ต้องเจอกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงเหมือนกัน” ลั่วหานอธิบายด้วยในแง่มุมของคุณหมอ
แต่คุณหมอรักษาหลักกลับส่ายหัวและไม่เห็นด้วย “คุณไม่ใช่คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยา ไม่รู้ถึงเรื่องรายละเอียดหลายอย่างที่อยู่ข้างใน มีสถานการณ์ที่สัญญาณชีพของผู้ป่วยดูเหมือนจะปกติ แต่ร่างกายกำลังทรุดโทรมลง นั่นถึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ”
ลั่วหานไม่ได้เชี่ยวชาญทางด้านมะเร็งเนื้องอกมากนัก แต่เธอได้เช็คข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากมายเพราะอาการป่วยของหยวนชูเฟิน และเธอก็ถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญครึ่งคนแล้ว หยวนชูเฟินเป็นคนไข้ที่พิเศษคนหนึ่ง หรือว่าเกาหยิ่งจือก็จะเป็นแบบนั้นเช่นกันเหรอ?
“คุณหมายความว่า เธอไม่สามารถผ่าตัดได้หรือ? ตอนนี้เคมีบำบัดอยู่ในขั้นตอนที่สองของการรักษาแล้ว ถ้าเป็นไปได้ดี เธอก็จะสามารถผ่าตัดได้ในเดือนหน้า”
ก็คือหลังจากครึ่งเดือนต่อมา
คุณหมอรักษาหลักลังเลและดันแว่นที่ดั้งจมูก สีหน้าของเขาประหม่าเล็กน้อย “ฉันกลัวว่าเธอจะไม่สามารถลงจากเตียงผ่าตัดได้……คุณเป็นคุณหมอ คุณน่าจะรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร สมรรถภาพทางกาย และพลังงานในปัจจุบันของเธอ ไม่สามารถรองรับการผ่าตัดครั้งใหญ่ได้เลย”
หัวใจของลั่วหานรู้สึกเย็นลงจนสุดหลังจากได้ยินคำพูดนี้ เธอชะลอตัวลงและมองไปที่ผู้หญิงที่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ เห็นเธอนอนอยู่ที่นั่นหน้าซีดโดยช่วยอะไรไม่ได้ และทำอะไรไม่ได้เลย เธออาจถูกความตายมาจู่โจมได้ทุกเมื่อ ความเห็นอกเห็นใจของลั่วหานไม่สามารถถูกระงับได้
เธอมีความเกลียดชังต่อเกาหยิ่งมากมาย ความโกรธมากมาย ความคับข้องใจระหว่างคนทั้งสองเพียงพอที่จะทำให้เธอบีบคอเธอให้ตายได้แล้ว แต่ตอนนี้เธอถูกทรมานด้วยโรคร้าย เธอก็รู้สึกทนดูไม่ได้เลย
หัวใจของมนุษย์นั้น ช่างเป็นอะไรที่น่าแปลกประหลาดจริงๆ
ลั่วหานยิ้มอย่างขมขื่น หัวเราะกับตัวเอง และก็หัวเราะให้กับเกาหยิ่งจือด้วย
“พยายามรักษาเท่าที่จะทำได้ ทำให้เธอดีขึ้นมาโดยไม่คำนึงค่าใช้จ่ายใดๆ คือไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายใดๆ” ลั่วหานเน้นย้ำไปคำหนึ่ง พร้อมระบุว่าคุณหมอสามารถใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ทั้งหมดได้อย่างมั่นใจ และยังสามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ได้โดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายใดๆ
“ครับ อันที่จริงน้องชายของเธอก็เคยพูดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ว่า ในบางครั้ง เงินทองนั้นไร้ค่ามากจริงๆ ถ้าเทียบกับชีวิตแล้ว” คุณหมอไม่พูดอะไรอีกต่อไป แต่ความหมายก็ชัดเจนเพียงพอแล้ว
ลั่วหานถอนหายใจ และกดฝ่ามือของเธอลงที่หน้าท้องส่วนล่างของเธออย่างเบาๆ “พยายามอย่างเต็มที่ ฉันรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างมันไม่สามารถบังคับได้ แต่ว่าหน้าที่ของเราก็คือแย่งชิงชีวิตกลับคืนมาจากยมทูตไม่ใช่เหรอ?”
คุณหมอยิ้ม “ใช่ คุณหมอฉู่พูดถูก”
นางพยาบาลเปิดประตู และลั่วหานออกมาก่อน เกาจิ่งอานก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และแทบรอไม่ไหวแล้วดึงแขนเธอและถามอย่างเร่งด่วน “เป็นยังไงบ้าง? พี่สาวของผมตื่นหรือยัง?”
ลั่วหานกลัวว่าเขาจะกังวลมากเกินไป และไม่ได้พูดตรงๆ “ยังไม่ตื่นเลย แต่คงที่แล้ว คุณไม่ต้องกังวล”
เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่กังวล?
คุณหมอหลายคนออกมาจากด้านหลัง และผลักเกาหยิ่งจือออกมา ดวงตาของเธอปิดอยู่ และบนใบหน้าที่ซีดจนสามารถมองเห็นจุดฝ้าของเธอได้ และทรุดโทรมเหมือนจะหายจากโลกไปได้ทุกเมื่อ
เกาจิ่งอานไม่กล้าที่จะไปแตะต้องตัวเธอเลยด้วยซ้ำ เขาเงยหน้าขึ้นขอบคุณคุณหมอ และเดินตามเตียงผู้ป่วยไปที่ห้องผู้ป่วยทันที ลั่วหานไม่วางใจ และก็ตามไปที่ห้องผู้ป่วย
คุณหมออธิบายข้อควรระวังอย่างละเอียด และเกาจิ่งอานก็จดบันทึกอย่างระมัดระวัง โดยไม่กล้าที่จะประมาทเลยสักนิด
เมื่อผู้คนออกจากห้องผู้ป่วย เกาจิ่งอานนั่งข้างเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นห่มให้ดีๆ และยิ้มอย่างไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง “ในหนังสือนิยายความฝันในหอแดงมีความคิดเห็นเกี่ยวกับหวางซีเฟิ้งคำหนึ่ง ดูเหมือนจะเหมาะกับพี่สาวของผมมากนัก”
ลั่วหานมีความรู้เกี่ยวกับหนังสือทางด้านการแพทย์มากกว่า แต่ต้องให้อภัยเธอจริงๆ ที่รู้เรื่องนวนิยายไม่มากนัก “พูดว่าอย่างไร?”
เกาจิ่งอานยิ้มอย่างขมขื่น “พยายามอย่างมากที่จะฉลาด แต่สุดท้ายก็ต้องเสียชีวิตของตัวเองไป”
ไม่จำเป็นต้องค้นหาความคิดเห็นก็พอจะทราบถึงความหมาย
ลั่วหานตบไหล่ของเกาจิ่งอานเบาๆ และพูดด้วยความปลอบใจว่า “อย่าพูดไปทั่ว พี่สาวของคุณเป็นคุณหมอ เธอรู้วิธีการรักษาตัวดีกว่าคนไข้ทั่วไป และจะต้องไม่เป็นไรแน่นอน”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ”
ในเวลานี้ ประตูของห้องผู้ป่วยถูกคนเคาะสองครั้ง เกาจิ่งอานและลั่วหานหันไปมองพร้อมกัน และเห็นว่าคนที่มานั้นใส่เครื่องแบบตำรวจอยู่ นำโดยเฉินเจา ผู้ที่ตามหลังคือโจวจั่น
เฉินเจาเดินเข้าประตู ด้วยท่าทีที่เป็นมิตรมาก และเขาก็ไม่ได้ทำท่าทีที่เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณะออกมาเลย “เราได้รับโทรศัพท์ และบอกว่านักโทษ……คุณเกาเป็นลมอย่างกะทันหัน จึงมาเยี่ยมเธอสักหน่อย”
ลั่วหานและเกาจิ่งอานรู้อยู่ในใจว่า จุดประสงค์ของเฉินเจาไม่ได้ง่ายขนาดนั้นที่บอกว่าแค่มาดูสภาพร่างกายของเธอเท่านั้น เขาต้องการให้เกาจิ่งอานรับผิดชอบที่พาคนออกจากโรงพยาบาล
เกาหยิ่งจือเป็นนักโทษ และการประกันตัวเพื่อรักษาตัวของเธอก็ถูกจำกัดให้อยู่แค่ในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่เกาจิ่งอานกลับพาคนออกไป เขาอยากจะทำอะไรกันแน่? ส่งคนไปต่างประเทศเหรอ?
ทำให้คนไม่คิดมากก็ไม่ได้
เกาจิ่งอานยิ้มและพูด “หัวหน้าเฉินงานยุ่งมากแต่ละวันยังมาเยี่ยมพี่สาวผมด้วยตัวเอง ขอบคุณมาก”
โจวจั่นยืนอยู่ข้างหลัง และแอบมองไปที่ลั่วหานอย่างลับๆ ครั้งที่แล้วที่เขาเห็นเธออยู่ที่สถานีตำรวจ โจวจั่นก็มองตาค้างไปเลย เมื่อเห็นเธออีกครั้ง ในครั้งนี้ยังคงรู้สึกว่าเธอดูสวยมาก ดูดีกว่านางแบบและนางเอกคนดังด้วยซ้ำ
ไอไอไอ!
เฉินเจาตรวจดูอาการของเกาหยิ่งจือก่อน และยืนยันว่าเธอเกือบจะเสียชีวิตในอุบัติเหตุกะทันหันจริงๆ จึงปล่อยคนไข้ไว้ข้างๆก่อน และพูดกับเกาจิ่งอานว่า “คุณเกา เกรงว่าคุณคงจะต้องไปกับผมสักพักแล้วหล่ะ”
ลั่วหานขมวดคิ้ว “หัวหน้าเฉิน คุณจะเห็นแก่หน้าฉันไม่ได้เหรอ?”
เฉินเจายังคงค่อนข้างสุภาพต่อลั่วหาน อย่างไรก็ตามคนก็เป็นผู้หญิงของท่านเซียว “คุณหมอฉู่ เกรงว่าจะไม่สามารถให้หน้านี้ได้ เราต้องการความร่วมมือจากคุณเกา”
ลั่วหานกั้นอยู่ตรงกลางทั้งสองคน และปกป้องเกาจิ่งอานโดยไม่แสดงร่องรอยใดๆ “ดวงตาของหัวหน้าเฉินคมชัดจริงๆ ทำไม? ฉันหย่ากับหลงเซียว และไม่ได้เป็นคุณนายของตระกูลหลงอีกต่อไปแล้ว หน้าแค่นี้ก็ไม่มีแล้วเหรอ?”
“นี่……ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เฉินเจารู้สึกอายเล็กน้อย
ลั่วหานรู้ว่า ที่เกาจิ่งอานพาคนออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตในครั้งนี้จะว่ายังไงก็มีความผิดอยู่ ถ้าสืบสวนต่อไปมันจะส่งผลกระทบต่อเกาจิ่งอาน ดังนั้นทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กไป “หัวหน้าเฉินเป็นตำรวจอาชญากรมานานหลายปีแล้ว และดวงตาก็ต้องคมชัดเป็นพิเศษโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ยังมองไม่ออกเหรอว่า เราก็แค่ไปเดินเล่นเล่นสักหน่อย มันจะซับซ้อนอย่างที่คุณคิดสักที่ไหน? ฉันเป็นคนท้องคนหนึ่ง จะพาคนขึ้นไปบนฟ้าได้อย่างงั้นหรือ?”
หญิงตั้งครรภ์ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่แล้ว และเฉินเจาก็ต้องให้หน้ากับเธอบ้างจริงๆ ดังนั้นเขาจึงเตือนอย่างจริงจังว่า “คุณหมอฉู่ คุณเกา เกาหยิ่งจือเป็นนักโทษสำคัญของเรา คุณก็รู้ว่าเธอต้องรับผิดชอบอะไร ดังนั้นอย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”
ลั่วหานพยักหน้าและสัญญา “โอเคโอเค หัวหน้าใหญ่เฉินของฉัน บทเรียนในครั้งนี้ก็ใหญ่พอแล้ว ไม่ต้องกังวล!”
เฉินเจากล่าวด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ผมไปก่อนแล้ว”
ลั่วหานพยักหน้า และโบกมือให้โจวจั่น “สหายตัวเล็ก ฉันจำคุณได้ คุณเป็นคู่หูที่ดีของซิ่วหยา ใส่เครื่องแบบตำรวจแล้วหล่อมากๆ”
ใบหน้าของโจวจั่นแดงระเรื่อ และเขายิ้มเจื่อน “คุณหมอฉู่ยังจำผมได้เหรอครับ?”
เฉินเจากลอกตา “ยังไม่ไปเหรอ?”
โจวจั่นไม่กล้าล่าช้า และรีบเดินตามฝีก้าวเฉินเจาไป
ดวงตาของเกาจิ่งอานแทบจะหลุดออกมาข้างนอก “พี่สะใภ้ ปากของคุณเก่งมาก! คุณพูดจนให้ตำรวจยอมใจไปเลย เฉินเจาเป็นคนดื้อรั้นที่มีชื่อเสียง!”
ลั่วหานเหยียดคิ้วของเธอ และในที่สุดก็โล่งอก “คุณคิดว่ามันเป็นเพราะฉันปากเก่งจริงๆเหรอ พูดตรงๆเขาแค่เห็นแก่หน้าของหลงเซียว ฉันเป็นตัวอะไร? ฉันเป็นแค่จิ้งจอกที่ยืมพลังของเสือมาใช้เท่านั้น”
เกาจิ่งอานเดินไปดูข้างหลังเธออย่างอึ้งๆ ยังคิดว่าพี่ใหญ่มาแล้ว และหลังจากที่รู้ตัวก็ยิ้มและพูดว่า “พี่สะใภ้แม้ว่าหน้าของคุณจะไม่ใหญ่เท่าพี่ใหญ่ของผม แต่ทักษะในการจีบหนุมตำรวจเล่นในเมื่อกี้นี้มันไม่เบานะ แบบนี้คงไม่ค่อยดีมั้ง?”
ลั่วหานยกเท้าขึ้น และแตะลงที่ขาอ่อนของเกาจิ่งอาน “พูดไปทั่ว! ฉันจีบเขาแล้วเหรอ? ฉันแค่เบี่ยงเบนความสนใจของศัตรูเท่านั้น ไม่เช่นนั้นคุณคิดว่าเฉินเจาจะพาคนจากไปอย่างเร่งรีบขนาดนั้นเหรอ? นี่เป็นกลยุทธ์ เข้าใจไหม?
เกาจิ่งอานก้มตัวเหยียดขากางเกงอย่างไร้คำพูด อันที่จริงมันไม่มีฝุ่นเลย “เข้าใจแล้ว กลเม็ดความงาม ผมรู้”
ลั่วหานกล่าวว่า “เข้าเรื่องกัน สถานการณ์ของพี่สาวคุณไม่ได้ดีมากนัก คุณมีเวลาก็ใช้เวลากับเธอให้มากที่สุด นอกจากนี้ พี่สาวของคุณก็เป็นห่วงคุณมากที่สุดในตอนนี้ คุณควรแต่งงานเร็วๆ”
เกาจิ่งอานเกาผมของเขาเล็กน้อยอย่างเชื่องช้า “นี่…..ต้องให้ผมวางแผนอย่างช้าๆ”
“ช้าๆป้าแกสิ! คุณต้องเร่งรีบแล้ว!”
เกาจิ่งอานคิดไปคิดมา เร่งรีบเหรอ? แต่ด้วยนิสัยของโจวโร่หลิน เขาจะเร่งรีบมันได้อย่างไร?
——-
ช่วงเวลากลางคืน ก็มาถึงอย่างช้าๆ ดวงดาวบนท้องฟ้าสะท้อนบนผิวน้ำของแม่น้ำในเมืองเจียงเฉิง และตึกระฟ้าในย่านธุรกิจระดับไฮเอนด์ CBD ก็กระพริบด้วยแสงไฟ และพลิ้วไหวบนผืนน้ำที่ส่องประกายระยิบระยับ
ไป๋เวยใส่กระโปรงยาวผ่าสูง กระโปรงยาวสีกุหลาบปิดขายาวขาวของเธอ ร่องกระโปรงยาวไปถึงต้นขา ทำให้ดูเหมือนว่าคนทั้งคนของเธอถูกดึงจนสูงขึ้น
รองเท้าส้นสูงสิบเซนติเมตรคู่หนึ่ง พร้อมส้นเรียวที่เท้าของเธอ เธอแกว่งร่างไปมา ราวกับปีศาจที่เย้ายวนในยามค่ำคืน
ดิง!
รถถูกล็อค เธอหยิบกระเป๋าอยู่ในมือ ผมหยักศกยาวพาดอยู่ข้างหลัง ผมยาวสยายเบาๆที่หลัง และผิวของเธอก็ปรากฏขึ้นเล็กน้อย
รองเท้าส้นสูงมาถึงที่บันไดขั้นแรก มีคนสองคนในชุดดำก็เอื้อมมือมาขวางทางเธอ
ไป๋เวยเม้มริมฝีปากของเธอเล็กน้อย “ทำไมเหรอ? ฉันมาหาท่านเสิ่น พวกคุณกล้าขวางทางของฉันเหรอ? หากทำให้เรื่องสำคัญมันล่าช้าไป คุณจะรับผิดชอบไหม?
คนในชุดดำกล่าวว่า “ไป๋เวย ขอความร่วมมือกับการตรวจสอบของพวกเราด้วย”
เหี้ย!
ไป๋เวยบิดเอว และกลิ่นน้ำหอมบนร่างกายของเธอก็มีผลในการยั่วยวนจิตวิญญาณ “ตรวจสอบฉันเหรอ? ตรวจสอบยังไง? เห็นว่าฉันใส่เสื้อผ้าน้อย อยากจะถอดมันเหรอ? ฮ่าฮ่า ข้าไม่ได้มีอารมณ์ที่ดีขนาดนั้น! ไอ้บ้า ถอยไปซะ!”
ทันใดนั้นน้ำเสียงของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และเธอก็ปัดแขนทั้งสองออกอย่างแรง แล้วก้าวผ่านประตูเข้าไปด้วยเสียงส้นสูงที่ดัง
มีห้องโถงอยู่ด้านหน้า และเสิ่นเหลียวนั่งอยู่ตรงกลาง โดยเอามือวางบนไม้เท้า มองไปที่ไป๋เวยอย่างสบายๆ
“ในที่สุดคุณก็มาแล้ว” น้ำเสียงเย็นชามาก
ในเวลาเดียวกัน เขายังมองเห็นรูปร่างของไป๋เวย ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความเซ็กซี่และความงามของไป๋เวยนั้นยอดเยี่ยมที่สุด และผู้หญิงธรรมดาก็ไม่สามารถเทียบได้เลย
เขาชอบความร้อนแรงและความกระตือรือร้นของเธอ
หลังจากห่างหายไปนาน เธอดูเหมือนจะสวยขึ้นกว่าเดิมมาก และดวงตาของเสิ่นเหลียวก็มองค้างอยู่ครู่หนึ่ง
ไป๋เวยจงใจบิดฝีเท้าของเธอให้ดูเกินจริง และม้วนผมยาว “ใช่ ฉันกลัวว่าท่านเสิ่นจะรอนานเกินไป เลยฝ่าไฟแดงสองที่มาเลยทีเดียว”