ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 717
ตอนที่ 717 วันเวลากำลังจะหมดลง
สามวันหลังจากนั้น ณ โรงพยาบาลหวาเซี่ย
ผู้อำนวยการเฉินมาที่ห้องทำงานของลั่วหานด้วยตนเอง บอกยิ้มๆ “ลั่วหาน มีเรื่องอยากปรึกษาเธอหน่อย”
เห็นใบหน้าเป็นมิตรของผู้อำนวยการ ลั่วหานเองก็ยิ้มตอบกลับไป ลุกขึ้นให้ผู้อำนวยการเฉินนั่ง รินน้ำให้ผู้อำนวยการเฉินด้วยตัวเอง
ผู้อำนวยการเฉินห้ามเธอเอาไว้ บอกยิ้มๆ “ไม่ต้องไม่ต้อง เดี๋ยวผมทำเอง เดี๋ยวฉันทำเอง ตอนนี้เธอท้องอยู่ไม่สะดวก สามารถมาทำงานที่โรงพยาบาลได้ฉันก็ดีใจแล้ว ฮ่าๆ”
ร่องรอยสะสมจนแทบจะทำให้ดวงตาภายใต้กรอบแว่นของเขารวมเข้าด้วยกัน
ลั่วหานนั่งลง ไม่ได้เกรงใจอีก “ผู้อำนวยการเฉินอยากคุยอะไรกับฉันคะ”
ผู้อำนวยการเฉินนั่งอยู่ตรงหน้าเธอ วางกระดาษไว้บนโต๊ะ ขยับกรอบแว่นของตน “อันนี้…..ครั้งก่อนที่คุณหมอถังจะไป บอกว่าขอลาไม่กี่เดือน ผมก็ตอบตกลงแล้ว แต่ว่า ตอนนี้ที่โรงพยาบาลมีโครงการอยู่ไม่กี่หัวข้อ ผมลองคิดดูแล้ว นอกจากคุณหมอถังก็ไม่มีใครสามารถประคองมันได้ หึหึ ความจริงจากความสามารถของคุณเองก็ทำได้ แต่ตอนนี้คุณกำลังท้อง ผมคงให้คุณไปฝั่งห้องทดลองไม่ได้ ดังนั้น……”
ผู้อำนวยการเฉินหรี่ตาลง เห็นความหมายที่แฝงมานั้นความจริงมันชัดเจนอยู่แล้ว
ลั่วหานเข้าใจในทันที “ผู้อำนวยการเฉินอยากให้ฉันโน้มน้าวให้คุณหมอถังกลับมาทำโครงการนี้ใช่ไหมคะ”
ผู้อำนวยการเฉินทำอะไรไม่ถูก สองมือถูขา “ตอนนั้นผมตอบตกลงกับเขา เพราะคำนึงถึงความรู้สึกของเขา และไม่ได้อยากกดดันเขา แต่หัวข้อโครงการนี้เป็นสาธารณสุขของเมืองหลวงสั่งลงมา สั่งให้พวกเรารับ นี่เป็นสิ่งที่โรงพยาบาลหลายแห่งเฝ้ารอแต่ทำไม่ได้ ครั้งที่แล้วคุณกับคุณหมอถังทำรายการโทรทัศน์ผลตอบรับก็ไม่เลว คุณดูสิ ทำให้โรงพยาบาลมีโครงการมากมาย แต่….แต่คนที่มีความสามารถด้านหัวใจของเราไม่สามารถผูกมัดเอาไว้ได้ ผมก็ลำบากใจ” ผู้อำนวยการเฉินท่าทางลำบากใจ ฝากความหวังไว้ที่ลั่วหาน หวังว่าจะสามารถหาทางออกได้
กับเรื่องนี้ลั่วหานก็ไม่รู้เรื่อง ตอนที่ถังจิ้นเหยียนไปก็แน่วแน่ขนาดนั้น ถ้าตอนนี้ให้เขากลับมาก่อน เธอจะพูดยังไงดี
ผู้อำนวยการเฉินเอ่ยขอร้องอีก “ลั่วหาน ทำให้เต็มที่ ตอนนี้ฉันจนปัญญาแล้ว คนฝั่งสาธารณสุขมาขอคำอธิบายหลายรอบแล้ว แต่พวกเขาไม่ฟัง บอกว่าจากการตรวจสอบ มีเพียงโรงพยาบาลเราที่มีคุณสมบัติเหมาะสม”
ผู้อำนวยการเฉินยังคงกล่าวสุนทรพจน์ยืดยาวชื่นชม คนมีความสามารถ ผลการวิจัยของโรงพยาบาลหวาเซี่ย สรุปก็คือ โรงพยาบาลหวาเซี่ยจะต้องรับผิดชอบโครงการในครั้งนี้
ลั่วหานฟังจนมึนหัวไปหมด “ผู้อำนวยการคะ คุณให้โอกาสฉันได้คิดหน่อยได้ไหมคะ เดี๋ยวฉันจะลองคุยกับคุณหมอถังดูค่ะ”
“ได้ค่ะ ได้ค่ะ มอบหน้าที่นี้ให้เธอ ผมก็วางใจแล้ว ฮ่าๆ เธอทำงานต่อเถอะ มีเรื่องอะไรรีบบอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเกรงใจ”
ผู้อำนวยการเฉินเดินออกไปด้วยความเกรงใจ ฝั่งลั่วหานได้แต่ก้มหน้ากุมขมับ เธอไม่อยากทำให้ถังจิ้นเหยียนลำบากใจ
แต่ว่า…..สมองพลันสว่างวาบ ลั่วหานคิดอะไรออก
ออกจากประตูไปมุ่งตรงไปแผนกมะเร็งวิทยา
ลั่วหานไปพบหัวหน้าแผนก อีกฝ่ายมองเห็นลั่วหานก็มีท่าทางเกรงใจ
“คุณหมอฉู่ ลมอะไรพัดคุณมาที่แผนกมะเร็งวิทยา” หัวหน้าแผนกรินน้ำให้ฉู่ลั่วหาน เกรงใจราวกับปรนนิบัติบรรพบุรุษ
ลั่วหานกลับไม่ได้ดื่มชา ทว่าเอ่ยถาม “คุณช่วยเอากรณีป่วยของเกาหยิ่งจือมาให้ฉันดูหน่อยได้ไหมคะ”
หัวหน้าแผนกผลักกรอบแว่น “เกี่ยวกับเกาหยิ่งจือ ครั้งที่แล้วเธอเป็นลมคุณก็รู้ อาหารของเขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
หัวหน้าแผนกนำผลอาการป่วยยื่นให้ลั่วหาน เปิดภาพการถ่ายรังสีให้เธอดู “เซลล์มะเร็งได้แพร่กระจาย ตอนนี้นอกจากการผ่าตัดเพียงอย่างเดียวไม่สามารถช่วยชีวิตเธอได้แล้ว”
ลั่วหานสัมผัสได้ถึงมือที่สั่นเทาของตัวเอง เธอดูรายงานผลอาการป่วยและตัวเลขCTออก เกาหยิ่งจือไม่เพียงมีเซลล์มะเร็งแพร่กระจาย เกล็ดเลือดและฮีโมโกลบินของเธอผิดปกติ
ลั่วหานปิดลง “แบบนี้ เธอก็ไม่มีทางเข้ารับการผ่าตัดได้สิคะ”
หัวหน้าแผนกนั่งลง ผ่อนลมหายใจ “ไม่ใช่ว่าไม่มีทาง แต่ไม่มีความจำเป็น เซลล์มะเร็งกระจายไปทั่วแล้ว การผ่าตัดจะมีความหมายอะไรล่ะ เช่นเดียวกับเนื้องอก อาการป่วยบอกจะเปลี่ยนมันก็เปลี่ยน”
ลั่วหานใบหน้าซีดเซียวอย่างห้ามไม่อยู่ “เร็วขนาดนี้….เร็วมากเลย”
หัวหน้าแผนกได้แจ้งแพทย์ประจำตัวผู้ป่วยไปแล้ว คนหลังรู้ว่าฉู่ลั่วหานมาสอบถาม ไม่กี่นาทีก็รีบมาที่ห้องทำงานของหัวหน้าแผนก รีบสาวเท้าทำเวลา ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ
“คุณหมอฉู่ ฉันพึ่งมาจากเกาหยิ่งจือที่นั่น ตอนนี้เธออาเจียนหนักแล้ว ร่างกายอ่อนแอ”
ลั่วหานนั่งลงบนเก้าอี้ แผ่นหลังไร้เรี่ยวแรงไม่สามารถนั่งตรงได้ แหงนหน้าไปด้านหลัง ทำไมถึงได้เร็วขนาดนี้ เพราะอะไร พยาธิวิทยาล่ะ ให้ฉันดูหน่อย มันเกิดจากอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเนื้องอกนั่น ก็เริ่มจากทางอื่น คนคนนี้พวกคุณต้องรักษาอย่างสุดกำลัง”
เมื่อพูดถึงด้านหลัง น้ำเสียงของลั่วหานก็ดังขึ้น หัวใจเจ็บปวดขึ้นมากะทันหัน ทำให้เด็กในท้องปวดตามไปด้วย เธอลูบหน้าท้องเบาๆ เมื่อเจ็บครั้งนี้เธอพึ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ได้หวังให้เกาหยิ่งจือต้องตาย
หัวหน้าแผนกและแพทย์ประจำตัวผู้ป่วยผลักกรอบแว่นพร้อมกัน ทั้งสองตอบด้วยความรอบคอบหลังพิจารณา “คุณหมอฉู่ ช่วยเหลือคนไข้เป็นหน้าที่ของเรา แน่นอนว่าต้องทำให้สุดกำลังอยู่แล้ว แต่ว่า…..การแพทย์มีขีดจำกัด จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีการคิดค้นยารักษามะเร็งได้เลย”
เส้นเลือดบนหน้าผากของเธอปูดโปนและปวดหนึบ เธอเอ่ยฝืนๆ “ฉันจะไปดูเธอหน่อย”
หัวหน้าแผนกเห็นใบหน้าเธอซีดเซียว จึงเข้าไปประคอง “คุณหมอฉู่สีหน้าคุณไม่ค่อยดีเลย ไม่เป็นไรใช่ไหม คุณกำลังตั้งครรภ์ ต้องระวังเป็นพิเศษ”
“ฉันรู้ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ลั่วหานเดินไปหยุดอยู่ที่ด้านนอกห้องพักผู้ป่วยของเกาหยิ่งจือ มองผ่านกระจกเห็นเกาจิ่งอานนั่งอยู่ด้านใน เกาหยิ่งจือนอนอยู่บนเตียง กำลังพูดคุยกับเกาจิ่งอาน
เคาะประตูสองครั้งแล้วเดินเข้าไป เกาจิ่งอานรีบเว้นที่ว่างตรงกลางโซฟา
ด้านในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นเลือดผสมกับกลิ่นยา ได้กลิ่นแล้วอยากอาเจียนออกมา
สำหรับการมาของลั่วหาน เกาหยิ่งจือรู้สึกแปลกใจมากริมฝีปากขาวอ้าขึ้น “เป็นเธอหรอ”
เกาจิ่งอานรินน้ำให้ลั่วหานหนึ่งแก้ว “พี่สะใภ้ ดื่มน้ำครับ”
ลั่วหานพยักหน้า รับน้ำและสบสายตากับเกาหยิ่งจือ “อาการของคุณฉันรู้หมดแล้ว”
ดวงตาของเกาจิ่งอานแดงก่ำ อาจเป็นเพราะเมื่อสักครู่ที่เกาหยิ่งจืออาเจียนทำให้เขาเป็นห่วง
ท่าทางอ่อนแอของเกาหยิ่งจือทำให้คนปวดใจจริงๆตัวเธอเองเป็นผู้หญิงที่มีความเข้มแข็งและมีความภาคภูมิใจในตนเอง ถึงตายก็ไม่ยอมให้สงสารเธอ
“ฉันมีเวลาไม่มากแล้ว ใช่ไหมคะ” ใบหน้าของเกาหยิ่งจือไม่มีความทุกข์ ไม่รู้สึกผิด มีทั้งรู้สึกว่าชีวิตเขาจะอยู่ได้อีกไม่นาน มีทั้งรู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรมากเลยนอกจากไร้เรี่ยวแรง
ลั่วหานไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับไป “เกาหยิ่งจือ คุณคิดเยอะมากเกินไปแล้ว ถ้าคุณเลิกคิดมากคุณก็จะดีขึ้น”
เกาจิ่งอานมองเธอไม่ได้พูดอะไร
“คุณอยากพูดอะไรกับฉัน แสดงออกถึงความสงสารหรอ หรือจะแสดงให้ฉันเห็นว่าคุณใจกว้างมากแค่ไหน ดีกับศัตรูอย่างฉันมากแค่ไหน” เกาหยิ่งจือยิ้มหยัน สีหน้าซูบโทรมไม่มีชีวิตชีวา
ลั่วหานไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เธอแสดงออกมา “คุณให้ศาสตราจารย์ส้งออกใบมรณะบัตรปลอมให้ คุณคิดจะทำอะไร”
เมื่อเธอพูดแบบนี้ เกาจิ่งอานก็ตกใจ รีบขยับเข้าไปหาคว้ามือของพี่สาวเอาไว้ “พี่ พี่บ้าไปแล้วหรอ”
เกาหยิ่งจือราวกับถูกคนมองทะลุถึงแผนการสุดท้ายของเธอ แต่ตอนนี้เธอก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้ว “ฉันเดาออกตั้งนานแล้วว่าศาสตราจารย์ส้งจะบอกเรื่องนี้กับคุณ แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็จะบอกแล้วกัน ฉันอยากจะเปลี่ยนตัวตน อยากทำอะไรบางอย่าง”
เกาจิ่งอานกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “พี่จะทำอะไร ผมช่วยพี่แน่นอน พี่ทำอะไรออกไปมรณะบัตรปลอม เปลี่ยนตัวตน เหอะ”
ลั่วหานจ้องมาใบหน้าที่ผ่านทุกข์สุขมากมายมาด้วยท่าทางสงบนิ่ง “เรื่องอะไร ฆ่าคน คุณอยากฆ่าใคร”
ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษของเกาหยิ่งจือมีความรู้สึกขึ้นมา เธอตกใจที่ลั่วหานรู้ชัดเจนขนาดนั้น
ลั่วหานหัวเราะ “ดูเหมือนว่าฉันจะทายถูกนะ งั้นฉันจะพูดให้ชัดเจนกว่านี้ คุณอยากฆ่าน้าและอาของคุณ และคุณยังอยากฆ่าโม่หรูเฟยด้วย”
ดวงตาของเกาหยิ่งจือพลันหรี่แคบลง กลายเป็นดวงตาดำมืด “เหอะ”
เกาจิ่งอานเข้าใจแล้ว แต่เขารับมันไม่ได้
ลั่วหานวิเคราะห์ต่อ “ตั้งแต่วันนั้นที่คืนงานเลี้ยงคุณรู้ว่าตระกูลโม่เป็นคนฆ่าพ่อแม่ของคุณ คุณก็อยากแก้แค้นคืน ดังนั้นคุณเลยเข้าใกล้โม่หรูเฟย คุณช่วยเธอ ก็เพื่อให้เธอเชื่อใจคุณ เป้าหมายของคุณคือยืมมือเธอทำลายตระกูลโม่ ถูกไหม”
คำพูดเลือดเย็น เมื่อลั่วหานเป็นคนพูดออกมามันกลับอบอุ่นไม่ได้มีความโกรธแค้นเลยสักนิด
เกาจิ่งอานกำหมัดแน่น กัดฟันเอ่ย “พี่ ความแค้นนี้ผมจะจำมันเอาไว้ ผมไม่มีวันลืม ตอนนี้โม่ล่างคุนล้มละลายแล้ว เขากลายเป็นคนไร้ประโยชน์ พี่ยังกังวลกับเขาเรื่องอะไร”
“ไม่เหมือนกัน เขาทำให้พ่อกับแม่ต้องตาย เขาก็ต้องตาย ฉันจะบอกอะไรนายให้นะจิ่งอาน การล้มละลายมันเป็นเพียงของนอกกาย ฉันไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ฉันต้องการชีวิตของเขา ฉันอยากให้โม่ล่างคุนได้ชดใช้ แค่กแค่กแค่ก แค่กแค่ก “
เกาหยิ่งจือพูดอย่างตื่นเต้นต่อมาเธอกลับไอขึ้นมา ไอจนเตียงสั่นไปทั้งเตียง เธอปิดปาก เพียงเอามือออก กลับมีเลือดสีดำเต็มมือไปหมด
“พี่ ไม่ต้องพูดแล้ว ชีวิตของโม่ล่างคุนผมจะช่วยพี่เอาคืนมา ผมจะยิงเขา” เกาจิ่งอานลูบหลังเกาหยิ่งจือ ดีขึ้นสักพักเธอถึงหยุดไอ
ลั่วหานรีบใช้ทิชชูเช็ดเลือดที่มือของเธอออก
เป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจหญิงสาวที่สุด ไม่ได้หลอกลวงกันเลย
“เกาหยิ่งจือ การแก้แค้นมีหลายวิธี ฆ่าคนไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นแบบนี้อีก เขาไม่ตาย บางทีเธออาจจะไม่เหลือชีวิตอยู่แล้วก็ได้” ลั่วหานทิ้งกระดาษทิชชูที่มีสีแดงลงไปยังถังขยะ
เกาหยิ่งจือนอนลงไป ใบหน้ามีสีแดงเล็กน้อย “ตอนนี้โอเคแล้ว ฉันใกล้จะตายแล้ว ฆ่าเขา ฉันจะได้ตายอย่างสงบ”
“วิธีโง่ๆ” ลั่วหานอดไม่ได้ด่าออกไป เธอไม่เข้าใจความโกรธแค้นที่ไร้หลักการแบบนี้จริงๆ
“ใช่ ฉันมันโง่ ฉันรู้ว่าฉันโง่ แต่ฉันไม่มีวันตายต่อหน้าเขา ถึงฉันต้องตาย ก็จะดึงเขามาด้วย คนคนนี้ เขาต้องตาย”
มือของเกาหยิ่งจือกำผ้าห่มแน่น หลังมือบางราวกับท่อนไม้เห็นเส้นเลือดได้อย่างชัดเจน แถมยังมีรอยฟกช้ำอยู่ เป็นจุดเป็นจุด
ลั่วหานไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับหญิงสาวที่ไร้สติ จึงเอ่ยถาม “เกาหยิ่งจือ คุณไม่มีความรักเลยสักนิดหรอ การมีชีวิตอยู่ต่อไปของคุณมีเพียงความแค้นหรอ”
คุณลองถามเกาจิ่งอานสิ ไปถามพ่อแม่คุณที่หลุมศพดู พวกเขามองคุณยังไง คุณจะไปเจอพ่อแม่คุณแบบนี้หรอ ฉันจะบอกอะไรคุณให้นะเกาหยิ่งจือ พวกเขาไม่มีวันให้อภัยคุณ”