ประธานเฟิง ฉันไม่รักนายอีกแล้ว - ตอนที่ 142
บทที่ 142 ความสงสัย ความคลางแคลงใจ ความไม่รู้
“ฉันรู้ว่าเดิมที่คุณควรจะแต่งงานกับเธอไปแล้วเมื่อสามปีก่อน แต่พวกคุณไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ซึ่งเรื่องนี้มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันไม่สนใจว่าความสัมพันธ์ของพวกคุณจะลึกซึ้งมากแค่ไหน จะมีโซ่ทองคล้องใจกันกันมากเท่าไหร่ ตราบใดที่ฉันยังเป็นนายหญิงเฟิง คุณต้องรักษาระยะห่างกับเธอ”
แม้ว่าการแสดงออกที่ดูใหญ่โตของลั่วมั่นจะดูสมเหตุสมผลก็ตาม แต่การกระโดดโลดเต้นด้วยความโกรธกับความพยายามที่จะรักษาตรรกะนั่นช่างดูน่ารัก จนทำให้เฟิงเฉินอดไม่ได้ที่จะถามอะไรเพิ่มเติม
“ก่อนหน้านี้มีผู้หญิงตั้งมากมาย แต่ไม่เห็นเธอใส่ใจมากขนาดนี้เลย”
สายตาของลั่วมั่นช่างลึกซึ้ง “ถ้าคุณอยากกลับไปหาอดีต ฉันก็ยินดีจะปล่อยคุณไป”
คิ้วของเฟิงเฉินผูกกันเป็นปมพลางอ้าปากค้าง คำพูดของเธอหมายถึง การกลับไปอยู่กันแบบภายนอกสุกใส แต่ข้างในกลับเป็นโพรงเหมือนเมื่อในอดีต เขายังคงเสพสุขอยู่ข้างนอกบ้าน ส่วนเธอก็เป็นแม่ม่ายที่อยู่แต่บ้าน เป็นนายหญิงเฟิงที่งามสง่า
เฟิงเฉินแทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่
“ฉันอธิบายไปแล้วนี่ พวกผู้หญิงพวกนั้น。”
“เวินน๋อนไม่เหมือนกับพวกเธอ คุณเองก็รู้อยู่แก่ใจ”
ลั่วมั่นแอบกำมือแน่น ทุกครั้งที่พูดถึงเวินน๋อน ในใจก็มีปมบางอย่างที่ไม่สามารถข้ามผ่านได้ แน่นอนว่าผู้หญิงคนนั้นแตกต่างจากพวกผู้หญิงที่พัดเข้ามาและก็พัดผ่านไปเหมือนสายลม ผู้หญิงด้วยกันมักจะมองออกถึงความตอแหลของเธอ แต่ผู้ชายก็อย่างนี้แหละ ยิ่งนับประสาอะไรกับผู้ชายที่ติดหนี้เธออีก
ต่อให้ไม่มีใครบอกเธอก็พอจะรู้ว่าที่เวินน๋อนไปจากเมืองเจียงในตอนนั้น สาเหตุก็คงหนีไม่พ้นพ่อแม่ของเฟิงเฉิน
เฟิงเฉินขมวดคิ้วแน่นและคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อกำลังจะเอ่ยปากก็คิดขึ้นมาได้ว่าไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ลั่วมั่นก็ไม่เต็มใจที่จะเชื่อ เขาจ้องมองผู้หญิงตรงหน้าอยู่นานก่อนจะค่อยๆเอ่ยปาก
“มั่นมั่น ทำไมเธอถึงคิดว่าตลอดสามปีที่ผ่านมาเราไม่มีความสุขกันเลยล่ะ”
ลั่วมั่นคิดไม่ถึงว่าจู่ๆเขาจะถามประโยคนี้
หากจะพูดถึงสาเหตุ ชนวนเกิดจากคืนวันแต่งงาน เมื่อเขารู้ว่าเธอเคยเข้ารับการผ่าตัดซ่อมแซมเยื่อพรหมจารี เสียงฟ้าร้องที่เกรี้ยวกราดในคืนนั้นยังคงร้องคำรามและมันยังเป็นฝันร้ายของเธอจวบจนถึงทุกวันนี้
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เฟิงเฉินพูดถึง
“ความสงสัย ความคลางแคลงใจและความไม่รู้ เพื่อแลกกับสามปีที่เราทรมานมาด้วยกัน”
ลั่วมั่นนิ่งอึ้ง ไม่คาดคิดว่าเฟิงเฉินจะพูดเช่นนี้กับตัวเอง
“ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อไม่นานมานี้เกิดเรื่องขึ้น ในสายตาของฉันเธอก็คือยัยคุณหนูเอาแต่ใจ เพื่อประโยชน์ของครอบครัวและอนาคตที่สดใสของตัวเอง เธอถึงได้มาเป็นนายหญิงเฟิง ไม่ว่าฉันจะเสียดสีเธอยังไงเธอก็ไม่ยอมไปง่ายๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมีจุดประสงค์อื่น ฉันไม่เชื่อว่าในความเย็นชาของฉันตลอดสามปี จะมีผู้หญิงคนไหนยังอยู่เคียงข้างและจริงใจกับฉัน”
ลั่วมั่นนิ่งเงียบ
สามปีมานี้ ต่อหน้าผู้คนเธอคือนายหญิงเฟิงที่สวยงามและสง่า แต่ลับหลังพวกเขาเธอคือผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้ง ทุกๆวันต้องมองดูสามีของตัวเองกอดจูบอยู่กับผู้หญิงอื่น เธอตื่นขึ้นมากลางดึกและร้องไห้ไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
แต่สิ่งที่เฟิงเฉินพูดมาก็ไม่ผิด เพราะที่เธอยังอยู่เคียงข้างเขา เธอมีจุดประสงค์อื่นจริงๆ
บริษัทลั่วซื่อต้องการความช่วยเหลือจากเขา
“จุดประสงค์ที่เธอยังอยู่เคียงข้างฉันคืออะไร” เฟิงเฉินมองไปที่เธอ เป็นสายตาที่กำลังหัวเราะเยาะตัวเขาเอง
“ฉัน……” เสียงของลั่วมั่นแหบพร่า ราวกับยากเกินกว่าจะเอ่ยปาก
“ฉันเชื่อว่าตลอดสามปีที่ผ่านมาที่มีเธออยู่เคียงข้าง ไม่ใช่เพราะเธอรักฉัน” เฟิงเฉินพูดต่อประโยคของเธอ “แต่สามปีนี้มันไม่สำคัญ ฉันชอบที่จะเห็นผลลัพธ์มันมากกว่า ในเมื่อตอนนี้เธอรักฉันแล้ว เรื่องหยุมหยิมพวกนั้นอย่าเอามาเป็นประเด็นเลย แล้วเธอล่ะ”
ความหมายของประโยคนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าจะสื่อว่าเรื่องราวในอดีตนั้นไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะเรื่องที่เธอมีจุดประสงค์อื่นที่จะอยู่กับเขา หรือเรื่องที่เวินน๋อนจะใช้วิธีอะไรก็ตามแต่สุดท้ายก็ต้องไปจากเมืองเจียงอยู่ดี ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเรื่องราวในอดีตที่ไม่มีความหมาย
จู่ๆลั่วมั่นก็รู้สึกผิดราวกับเป็นเพราะคำพูดของเฟิงเฉินที่ว่า สองสามวันมานี้เธอเป็นคนสร้างปัญหาอย่างไร้เหตุผลอย่างไรอย่างนั้น หน้าของเธอร้อนผ่าว
“ใครบอก…ใครบอกว่าตอนนี้ฉันรักคุณไม่ทราบ คุณนี่มันหลงตัวเองชะมัด”
“ไม่ใช่หรือไง” เฟิงเฉินโค้งริมฝีปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มขี้เล่น “นายหญิงเฟิง เรื่องในใจก็เคลียร์กันจบแล้ว ตอนนี้ได้เวลาคิดแล้วว่าจะไปจิบชายามบ่ายกับฉันไหม”