ประธานเฟิง ฉันไม่รักนายอีกแล้ว - ตอนที่ 275
บทที่ 275 อย่างมากก็แค่ชอบสวมใส่เสื้อผ้าของเพศตรงข้าม
“ไม่น่าเป็นไปได้นะ” ลั่วมั่นขมวดคิ้ว “คนรับใช้ในคฤหาสน์เฟิงล้วนได้รับการคัดเลือกจากผู้ดูแลบ้านทั้งสองในแต่ละขั้นตอนแล้วก็ลงทะเบียน และเข้าออกด้วยบัตรใบหนึ่ง ทั้งยังรู้จักซึ่งกันแล้ว จะมีผู้ชายโผล่เข้ามาแอบอ้างโดยที่ไม่มีใครรู้ได้อย่างไรกัน”
“ถ้าหากว่าเดิมเขาเป็นคนรับใช้ของคฤหาสน์เฟิงล่ะ?” น้ำเสียงของกวนเส้าหยู้นั้นลึกซึ้งมีนัยยะ
ลั่วมั่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถามต่อว่า “อะไรที่เรียกว่าเดิมก็เป็นกัน?”
กวนเส้าหยู้กำลังจะตอบคำถาม แต่ว่าหางตากลับเหลือไปเห็นเล่อสวี้ที่อยู่อีกด้าน เธอไม่ได้เอ่ยแทรกขึ้นมาครู่หนึ่งแล้ว จึงเลิกคิ้วในทันที “ไม่สู้ให้ประธานเล่อมาวิเคราะห์สักหน่อย ถึงอย่างไรผมก็เป็นคนที่ไม่รู้อะไร”
นี่หมายความว่าเขาใส่ใจต่อคำพูดเมื่อครู่ของเล่อสวี้มากแค่ไหน ไม่อาจลืมเลือนได้มาจนถึงตอนนี้ จำเป็นต้องโต้กลับให้ได้”
เล่อสวี้ถูจมูก คล้ายกับว่าไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากการยั่วยุ โค้งตัวจ้องมองคนที่อยู่ในคลิปวิดีโอ เอ่ยอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “มีความเป็นไปได้นี้”
กวนเส้าหยู้มองเห็นด้วยความประหลาดใจแวบหนึ่ง คล้ายกับไม่เชื่อว่าเธอจะสามารถวิเคราะห์ออกมาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
“มีผู้ชายบางคนที่รู้สึกลึกๆว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการสวมเสื้อผ้า การสนทนา หรือว่าด้านไหนๆก็ล้วนคล้ายกับผู้หญิง เขาไม่ถือว่าเป็นผู้ชายที่แต่งกายเป็นผู้หญิง เพราะปกติเขาก็แต่งตัวแบบนี้อยู่แล้ว เขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง อย่างมากสุดก็แค่ชอบสวมใส่เสื้อผ้าของเพศตรงข้าม”
ตอนที่เล่อสวี้ตรวจสอบบันทึกรายชื่อของคนรับใช้ ก็เทียบกับสัญญาว่าจ้าง ถ้าหากว่านี่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ก็คงถูกเธอปัดออกตั้งแต่แรก ข้อมูลไม่อาจปลอมแปลงได้ แต่ว่าคนสามารถทำได้
ในตอนแรกที่ตรวจหญิงรับใช้นั้น นอกจากหางตามีไฝเม็ดหนึ่งแล้ว ก็ยังมีความพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ วันนั้นหญิงรับใช้ที่ลั่วมั่นได้พบในสวนดอกไม้ของคฤหาสน์เฟิงนั้นมีพละกำลังมาก
ลู่จิ่งจูมีกระถางดอกกล้วยไม้ที่บอบบางต้องคอยประคบประหงมอยู่กระถางหนึ่ง วัสดุที่ใช้ทำกระถางดอกไม้นั้นมีความพิเศษ ภาชนะที่มองดูแล้วไม่ใหญ่ แต่ความจริงแล้วมีน้ำหนักถึง 20 กว่ากิโลกรัม วันนั้นลั่วมั่นเห็นกับตาว่าหญิงรับใช้คนนั้นยกขึ้นมาด้วยท่าทางสบายๆ
ถ้าหากว่าเดิมเธอก็เป็นผู้ชายแล้วล่ะก็ อย่างนั้นทั้งหมดนี่ก็สามารถอธิบายได้หมดแล้ว
“แต่ว่าคนแบบนี้คงจะไม่ผ่านการประเมินผลทดสอบคนรับใช้ของคฤหาสน์เฟิง” จู่ๆลั่วมั่นก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
การคัดเลือกคนรับใช้ในคฤหาสน์เฟิงเข้มงวดเป็นอย่างมาก ถ้าหากว่าเป็นคนที่มีนิสัยพิเศษอะไร ก็ไม่น่าจะเข้ามาได้
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ กวนเส้าหยู้กำลังจะพูด แต่เล่อสวี้กลับเอ่ยต่อเงียบๆประโยคหนึ่งว่า
“นั่นก็สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนแล้วว่า เขามีเส้นสาย”
เส้นสายนี้ ก็คือโอกาสในการสืบเรื่องราวไปตามเบาะแสนี้
ลั่วมั่นขมวดคิ้วก่อน แต่ก็พยักหน้าเล็กน้อยคล้ายกับว่ากำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่ เป็นเช่นนี้จริงๆ ถ้าหากว่าเข้ามาด้วยเส้นสาย อย่างนั้นก็ยิ่งสอดคล้องกับเงื่อนไขในการทำคดีนี้แล้ว
“อย่างนั้นตอนนี้พวกเราควรจะลงมือจากคนรับใช้คนนี้”
“ข้อมูลนั้นผมได้มาไว้ในมือแล้ว” กวนเส้าหยู้ที่อดกลั้นมานานสองนาน ในที่สุดก็เห็นโอกาสที่จะพูดสักประโยค คราวนี้เขาก็ไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับเล่อสวี้อีกแล้ว รีบหยิบแฟ้มเอกสารเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ภายในแฟ้มนั้นมีสัญญาว่าจ้างและประวัติส่วนตัวอยู่
“คนคนนี้ชื่อกู้หมิ่น เข้าไปเมื่อสามปีก่อน ตอนที่คฤหาสน์เฟิงรับสมัครคนรับใช้ชุดใหม่”
“คนที่สัมภาษณ์เขาคือลุงกู้หรือ” ลั่วมั่นเห็นหมายเหตุเงื่อนไขบนสัญญาแล้ว ก็ตะลึง “กู้หมิ่นเป็นอะไรกับลุงกู้หรือ”
“หลานชาย”
กวนเส้าหยู้เอ่ยต่อ
“บ้านเดิมของลุงกู้อยู่ที่หมู่บ้านในชนบทของหนิงโจว ตอนนี้พวกเราเห็นว่าคนแบบกู้หมิ่นนี้เป็นคนแปลกไปบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นในหมู่บ้านชนบทมีการอนุรักษ์นิยมของชาวบ้านด้วย ถ้าหากว่าผมเดาไม่ผิดล่ะก็ กู้หมิ่นมีเรื่องขัดแย้งกับคนในครอบครัว สามปีก่อนก็หนีมาที่เมืองเจียงแล้ว ลุงเหอรับเขาเอาไว้ ให้เขาได้อยู่ในคฤหาสน์เฟิง ช่วยตัดแต่งดอกไม้ใบหญ้าอะไรพวกนี้”
“เขามีปัญหาอะไรกับตระกูลเฟิงหรือไม่”
“ตอนนี้ดูแล้วไม่มี” กวนเส้าหยู้เอ่ย “อีกทั้ง เพราะว่าเขามีความเอาใจใส่ดูแลดอกไม้ใบหญ้าทางด้านนี้ไม่เลว คุณป้าเฟิงจึงให้ความสำคัญในตัวเขามาตลอด ให้ดูแลสวนดอกไม้แห่งนั้นโดยเฉพาะ โดยไม่ยอมให้เขาทำงานอื่นๆ เงินเดือนก็ได้มากกว่าผู้อื่นเช่นกัน