ประธานเฟิง ฉันไม่รักนายอีกแล้ว - ตอนที่ 67
บทที่ 67 เป็นถึงประธานบริษัท แต่กลับมีพฤติกรรมเหมือนพวกลักขโมย
เล่อสวี้คล้ายกับว่าใช้ความอดทนที่มีอยู่ทั้งหมดไปแล้ว
“ประธานลั่ว ขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่มีความสามารถนั้น คุณไปหาคนอื่นเถอะค่ะ”
บนใบหน้าของเธอไม่มีท่าทางที่บ่งบอกว่าฉันรู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย
ลั่วมั่นเอ่ยเนิบๆว่า
“ถ้าหากฉันพูดว่า ฉันสามารถทำให้เธอกลายเป็นรองผู้อำนวยการของฝ่ายขายกลุ่มที่ 2 ได้ล่ะ”
คิ้วเล่อสวี้ขมวดเป็นปมลึก ความเฉยชาบนใบหน้าที่มีมาตลอดเปลี่ยนเป็นหม่นหมองทันที แต่ยังคงปฏิเสธอย่างแน่วแน่
“ไม่จำเป็นค่ะ”
อยู่ในการคาดการณ์
หนึ่งปีก่อนหน้านี้ จ้าวหยางได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายขายกลุ่มที่ 2 และในเวลาเดียวกันนั้นเล่อสวี้ก็เป็นฝ่ายยื่นเรื่องลาออก คนอื่นไม่รู้เรื่องราวในนั้น แต่จากฝ่ายเฟิงเฉิน เธอสืบมาได้ว่าระหว่างสองเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกัน
ถ้าหากไม่ใช่เพราะจ้าวหยางจงใจขัดขวางมาตลอดหนึ่งปี แย่งความดีความชอบของผู้อื่นมากองไว้กับตัวเอง เดิมคนที่จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการนั้นเป็นอีกคนหนึ่ง
เพื่อคนคนหนึ่ง ทำตัวเองจนบาดเจ็บไปทั้งตัว ตัวเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน
ใบหน้าของลั่วมั่นมีแววเยาะเย้ยตัวเองพาดผ่าน แต่ก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า
“อย่างนั้นฉันก็พูดได้เพียงแค่ เสียใจเป็นอย่างมากที่ไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับคุณก่อน การอนุมัติคำร้องได้ถูกส่งให้กับฝ่ายบุคคลแล้ว อย่างเร็วล่ะก็ วันนี้ตอนบ่ายก่อนเลิกงานก็จะมีประกาศลงมาแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เล่อสวี้ก็เผยความรู้สึกประหลาดใจออกมา ในเวลาสั้นๆไม่กี่วินาที บนใบหน้านั้นเปลี่ยนแปลงไปมาไม่แน่นอน
เงียบอยู่นาน เธอก็สงบจิตสงบใจใหม่อีกครั้ง “ขอบคุณในความหวังดีของประธานลั่วนะคะ ฉันไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรแล้วล่ะก็ ฉันขอตัวก่อนค่ะ”
เอ่ยจบ เธอก็หมุนตัวเดินไปเปิดประตูห้องทำงาน โดยไม่รอคำตอบของลั่วมั่น
ตอนที่เธอหมุนตัวไปนั้น รอยแผลสีแดงชัดบนคอก็ตกอยู่ในสายตาของลั่วมั่น ดูจนเธอตัวสั่นเทิ้ม
“เล่อสวี้” ลั่วมั่นเรียกเธอให้หยุด สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พลางเอ่ยว่า “คนที่รักคุณจริงๆจะไม่ตบตี หักปีกของคุณ ภายใต้คำอ้างที่บอกว่ารักคุณ”
เงาร่างของเล่อสวี้ชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงเปิดประตูเดินออกไป
แผ่นหลังนั้นดูรีบร้อนลนลานอยู่บ้าง
ก่อนเลิกงานตอนบ่าย ประกาศเลื่อนตำแหน่ง โยกย้ายตำแหน่งในเดือนนี้ก็ถูกแจ้งให้กับทุกๆฝ่ายทราบ
ลั่วมั่นยุ่งกับการแก้ไขแผนกลยุทธ์จึงไม่ได้สนใจเวลาด้านนอก ตอนที่เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าดังขึ้นถึงได้พบว่าท้องฟ้าด้านนอกมืดแล้ว
“ฮัลโหล มีเรื่องอะไรหรือ”
“ผมรอคุณอยู่ที่ลานจอดรถ” ตอนที่ได้ยินเสียงนั้น ถึงได้รู้ตัวว่าเป็นเฟิงเฉินที่โทรศัพท์มา
จึงชะงักไปเล็กน้อย
“ฉันยังมีจุดที่ยังแก้ไม่เสร็จ ไม่อย่างนั้นคุณกลับไปก่อนเถอะ อีกครู่หนึ่ง ฉันจะเรียกรถกลับไป”
“ถ้าลงมาภายในห้านาทีล่ะก็ ประสิทธิภาพในการวางแผนกลยุทธ์ของคุณจะมีความสำเร็จมากขึ้น โดยที่ลงแรงเพียงแค่เล็กน้อย”
ลั่วมั่นสีหน้าตะลึง
ลานจอดรถใต้ดินบริษัทH.Y. เพราะเลยเวลาเลิกงานมานานมากแล้ว ภายในลานจอดรถจึงว่างเปล่า
ลั่วมั่นเปิดประตูข้างที่นั่งคนขับรถอย่างแผ่วเบา และขึ้นรถ พลางถามว่า
“อยู่ที่ไหนหรือ”
เฟิงเฉินหันไปเหลือบมองที่ไกลๆนั้นแวบหนึ่ง
ลิฟต์โดยสารC ไกลๆที่ถูกขวางด้วยซองจอดรถสองซอง สามารถมองเห็นชายหญิงคู่หนึ่ง คนหนึ่งเดินนำหน้า คนหนึ่งเดินตามหลังได้อย่างเลือนราง รูปร่างของฝ่ายชายสูงใหญ่มาก หน้าตาหล่อเหลา เพียงแต่ว่าก้าวเดินอย่างเร่งรีบ สีหน้าตึงเครียดเป็นอย่างมาก เงาดำที่เดินตามหลังนั้นเดินตามมาอย่างช้าๆ กระทั่งทำให้คนมีความรู้สึกว่าจงใจอืดอาด
คนที่อยู่ด้านหน้าคือผู้อำนวยการฝ่ายขายกลุ่มที่ 2 จ้าวหยาง คนที่อยู่ด้านหลัง แน่นอนว่าต้องเป็นเล่อสวี้
“พวกเขาล้วนเลิกงานพร้อมกันทุกวันหรือ” ลั่วมั่นกดเสียงต่ำ
มุมปากเฟิงเฉินโค้งขึ้น “ถ้าหากว่าเป็นแบบนี้จริงๆ สองปีมานี้ไม่เคยถูกใครพบเจอ จะต้องมีโชคมากเลยนะ”
ทุกวันตลอดช่วงเวลากลางคืนของบริษัทH.Y.ล้วนมีคนเลิกงาน โดยเฉพาะฝ่ายสื่อดิจิทัล ไม่มีช่วงเวลาแน่นอนที่สามารถจะหลบเลี่ยงจากเพื่อนร่วมงานได้
“อย่างนั้นวันนี้คุณรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะเลิกงานพร้อมกัน” ลั่วมั่นอดถามต่อไม่ได้
ดีร้ายอย่างไรเฟิงเฉินก็เป็นประธานบริษัทคนหนึ่ง มีฐานะเป็นถึงประธานบริษัท แต่กลับทำพฤติกรรมเหมือนพวกลักขโมยแบบนี้เป็นเพื่อนเธอ คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ