ประธานเฟิง ฉันไม่รักนายอีกแล้ว - ตอนที่ 69
บทที่ 69 การแสดงละครของคู่สามีภรรยาท่านประธาน
“ไม่ต้อง…….”
จ้าวหยางเอ่ยอย่างตะลึง “ผมทำเอง”
“นี่คือ?” ลั่วมั่นก็ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเขาเก็บจริงๆ เพียงแค่เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “แฟนสาวของผู้อำนวยการจ้าวหรือ หน้าตาสวยมากเลยนะคะ!”
จ้าวหยางไม่รู้ว่าภาพเหตุการณ์เมื่อครู่กับเล่อสวี้นั้นตกอยู่ในสายตาของลั่วมั่นหรือไม่ ดังนั้นตอนนี้ถึงได้กระอักกระอ่วนมาก ไม่รู้ว่าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับดี
ลั่วมั่นกำลังจะประชดประชันสักสองประโยค แต่ไหล่กลับถูกจับเอาไว้
“ลั่วมั่น คุณเดินเร็วเกินไปแล้ว”
เฟิงเฉินกดไหล่ของเธอเอาไว้เงียบๆ เป็นสัญญาณให้เธออย่าบุ่มบ่าม
“ประธานเฟิง……” จ้าวหยางตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม รีบเก็บรูปกองนั้นแล้วลุกขึ้น ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยความลนลาน
เฟิงเฉินไม่เหลือบมองด้านข้าง ท่าทางจริงจัง เอ่ยเสียงขรึม
“ผู้อำนวยการจ้าวก็ทำงานล่วงเวลาจนดึกขนาดนี้ ทุ่มเทมาก”
“ไม่ ไม่ขนาดนั้นครับ เป็นสิ่งที่สมควรทำอยู่แล้ว คุณกับประธานลั่วก็ทำงานจนดึกขนาดนี้ ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน”
“เธอเพิ่งจะรับช่วงต่อฝ่ายขายเลยค่อนข้างยุ่ง เลิกงานดึกดื่นไม่ค่อยปลอดภัย ผมก็แค่อยู่เป็นเพื่อนเท่านั้นเอง คุณก็อย่ายุ่งกับการทำงานมากไป มีเวลาก็อยู่เป็นเพื่อนแฟนสาวให้มากๆ”
จ้าวหยางผงกศีรษะตาม “ประธานเฟิงยังดูแลครอบครัวได้ ทั้งๆที่งานยุ่งรัดตัว พวกเราควรจะหัดเอาอย่างคุณครับ”
ลั่วมั่นกลับฝืนยิ้มเจื่อน “คำพูดของผู้อำนวยการจ้าว หมายความว่า ที่จริงแล้วครอบครัวไม่ได้สำคัญไปกว่าธุรกิจหรือ”
จ้าวหยางยิ้มขออภัย “ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับ ประธานลั่วเข้าใจผิดแล้ว ผมพูดว่าประธานเฟิงกับประธานลั่วเป็นสามีภรรยาที่รักกันหวานซึ้ง เป็นแบบอย่างให้กับพวกเรา ควรจะเป็นแบบนี้”
“ผู้ชายมักจะมีเรื่องของการสังสรรค์ ล้วนเพื่องาน ยากที่จะหลีกเลี่ยงโอกาสในการเล่นสนุกเป็นบางครั้งบางคราวได้” น้ำเสียงของเฟิงเฉินสบายๆ
สีหน้าของลั่วมั่นกลับขรึมลง
“เล่นสนุกเป็นบางครั้งคราวหรือ เกรงว่าจะแกล้งเล่นละครจนกลายเป็นเรื่องจริงล่ะมั้ง”
จ้าวหยางเหงื่อแตกพลั่ก คราวนี้ควรจะคล้อยตามใครกันล่ะ
เมื่อเห็นว่าจ้าวหยางตกใจจนหน้าซีด แทบจะหายใจไม่ออก กระทั่งหายใจเสียงดังก็ไม่กล้า ทั้งสองคนเพิ่งจะแสดงละครกันเอง ลั่วมั่นจึงโยนประโยคหนึ่งไว้ “ฉันเรียกรถกลับไปแล้วกัน คุณก็เล่นสนุกเป็นบางครั้งคราวกับละครของคุณไปเถอะค่ะ”
เธอเดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่กลัวเกรงสิ่งใด
สักพักหนึ่ง เฟิงเฉินก็ตามออกมา และตามขึ้นไปบนรถแท็กซี่
รถขับออกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว จู่ๆก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ลั่วมั่นหัวเราะกลิ้งไปกลิ้งมา จนเซลงบนไหล่ของเฟิงเฉิน
“กลั่นแกล้งคนอื่น ทำให้คุณมีความสุขขนาดนี้เลยหรือ”
“กลั่นแกล้งคนอื่นนั้นไม่แน่นอน แต่กลั่นแกล้งผู้ชายเลวๆ ฉันมีความสุขมาก” ลั่วมั่นเอ่ยอย่างมีเหตุผล
โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ใครบางคนถูกบังคับให้ร่วมมือด้วยแล้ว
“อย่าได้ใจเกินไป ถ้าเมื่อครู่คุณหลุดเรื่องของเล่อสวี้ออกมา เกรงว่าเรื่องราวหลังจากนี้คงจะจัดการไม่ได้ง่ายๆแบบนี้แล้ว”
ถ้าไม่ใช่ว่าเขารีบมาให้ทันเวลา ลั่วมั่นที่มีความคิดจะออกหน้าให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาสาวจะทำเรื่องอะไรออกมาก็ไม่อาจรู้ได้
พูดถึงตรงนี้แล้ว เธอก็เบนสายตาไป เอ่ยถามขึ้นมากะทันหันว่า
“ในมือของเล่อสวี้มีภาพที่จ้าวหยางมีชู้เยอะขนาดนี้ได้อย่างไรกัน คงไม่ได้พิมพ์ออกมาเองหรอกนะ”
เฟิงเฉินก้มหน้า ปิดบังแววตาทั้งรักและทะนุถนอมบางๆนั้นเอาไว้ “ใครจะรู้กัน”
จากนั้นก็ยืนมือออกไปจับข้อเท้าข้างหนึ่งของเธอเอาไว้ในความมืด
ลั่วมั่นตะลึงค้าง ตอนที่เท้าถูกสวมเข้าไปในรองเท้าแล้ว ถึงได้สติกลับคืนมา เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณช่วยฉันหิ้วรองเท้ามาตลอดเลยหรือ”
ความจริงแล้วเมื่อครู่ก็ยืมเสียงหัวเราะมาอำพรางความกระอักกระอ่วนของตัวเองมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนที่จ้าวหยางก้าวออกไปก่อน เธอก็รู้ตัวว่า ตัวเองเดินเท้าเปล่า ทั้งหมดล้วนฝืนอดทนเอาไว้
“อืม”
ท่าทางที่เฟิงเฉินสวมรองเท้าให้เธอนั้นอ่อนโยนมาก ยังไม่ลืมที่จะเคาะเศษดินและฝุ่นที่เท้าให้เธอด้วย เธอหดเท้ากลับอย่างเขินอายเล็กน้อย แต่กลับถูกเขาฝืนเอาไว้ ท่าทีนั้นไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ
“ลั่วมั่น”
“หือ” เธอได้สติคืนมา
“คุณรู้ไหมว่า สถานที่ใดไม่สวมรองเท้า”
ลั่วมั่นชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยอย่างลังเลว่า
“แอฟริกาหรือ ค่ายผู้ลี้ภัยหรือ”