ประธานเฟิง ฉันไม่รักนายอีกแล้ว - ตอนที่ 74
บทที่ 74 นัดหมายที่เต็มไปด้วยการเฝ้ารอ
“ลองดูค่ะ ลองดู ฉันคิดว่าชุดนี้ดีค่ะ”
ภายใต้การเร่งของแม่บ้านหลี ลั่วมั่นก็สวมชุดนั้นแล้ว ยืนพิจารณาตัวเองอยู่หน้ากระจก คล้ายกับว่าไม่รู้จักคนคนนั้น การออกแบบของชุดคล้องคอทำให้ไหล่ของเธอผอมบางเป็นพิเศษ อ้อนแอ้นแต่ไม่สูญเสียความเซ็กซี่
“ดูยิ่งใหญ่เกินไปหน่อยหรือไม่” ลั่วมั่นลังเลเล็กน้อย
เพียงแค่บอกเฟิงเฉินว่าจะกินข้าวมื้อหนึ่ง สวมชุดเดรสปกติก็น่าจะพอแล้ว
“ไม่หรอกค่ะ คุณชายเห็นแล้วจะไม่สามารถละสายตาไปได้แน่นอน คุณผู้หญิงคะ คุณเชื่อฉันเถอะค่ะว่าชุดนี้”
ลั่วมั่นเปลี่ยนความคิดแม่บ้านหลีไม่ได้ อีกด้านหนึ่งก็เฝ้ารอปฏิกิริยาในตอนที่เฟิงเฉินเห็นเธอแต่งกายแบบนี้อย่างเลือนราง ถึงอย่างไรเธอก็สวมเสื้อผ้าสไตล์เซ็กซี่แบบนี้น้อยมาก
ตอนบ่ายสี่โมง ลั่วมั่นไปยืมแมวเหมียวที่คลินิกรักษาสัตว์ กลัวว่าจะทำให้เสียเวลา จึงถือกรงแมวไปจองร้านอาหารด้วย
เที่ยวบินของเฟิงเฉินล่าช้า เป็นข้อความที่เธอได้รับก่อนช่วงเวลากลางวัน
“เที่ยวบินรอบบ่ายโมง บ่ายสี่โมงถึงจะถึงเมืองเจียง”
แม้ว่าเที่ยวบินจะล่าช้า ในใจของเธอก็ยังรู้สึกดีใจอย่างควบคุมไม่อยู่ คล้ายกับว่าแต่งงานกันมาสามปี นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิงเฉินรายงานตารางการเดินทาง เหมือนกับสามีภรรยาทั่วไปแบบนั้น
นึกถึงคืนวันที่พวกเขาสนิทสนมกัน เหมือนกับว่าในที่สุด การยืนหยัดในการฟันฝ่าอุปสรรคของเธอก็สำเร็จ ได้มีความสุข และชีวิตได้เดินกลับสู่เส้นทางปกติเสียที
เธอรักเฟิงเฉินมานานแล้ว มากกว่าระยะเวลาที่เฟิงเฉินรู้ไปไกลมาก
สนามบินเมืองเจียง สายไปสองชั่วโมงเมื่อเทียบกับเวลาที่คาดการณ์เอาไว้ เที่ยวบินมาถึงเมืองเจียงก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว
ท้องฟ้าด้านนอกนั้นมืดแล้ว
เฟิงเฉินเพิ่งจะลงจากเครื่องบิน มอบหมายให้หลี่สู้รอกระเป๋าสัมภาระ และถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้ เดินออกไปยังทางออกสนามบินเองคนเดียวอย่างเร่งรีบ พลางโบกเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง
“คนขับ ร้านอาหารParis Night ”
ภาพหน้าจอบนโทรศัพท์มือถือในตอนเปิดเครื่องค่อยๆปรากฏขึ้น ตามการติดเครื่องยนต์ของคนขับรถ หลังลงจากทางด่วนสนามบิน โทรศัพท์เพิ่งจะเปิดเครื่อง ก็ได้รับสายโทรศัพท์จากเบอร์โทรแปลกหน้าเบอร์หนึ่ง
เขากดปุ่มรับสาย เสียงอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูกดังมาจากอีกฟากหนึ่ง
“เฟิงเฉิน ตอนนี้คุณยุ่งไหม”
เสียงที่คุ้นหูทำให้เฟิงเฉินคิ้วขมวด เพียงแต่เหม่อลอยเป็นระยะเวลาสั้นๆ เขาก็ถามกลับว่า “คุณมีเบอร์โทรศัพท์มือถือของผมได้อย่างไร”
ทางด้านนั้นก็มีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังขึ้นมากะทันหัน
“มีมาตลอด เพียงแค่ไม่กล้าโทรเท่านั้น เฟิงเฉิน ตอนแรกไม่ใช่ว่าฉันใจร้ายจริงๆนะ”
เฟิงเฉินถูกเสียงร้องไห้รบกวนจนอารมณ์เสียแปลกๆ แต่ก็เป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นมาจริงๆ จึงเปลี่ยนหัวข้อถามไปว่า
“นี่มันเรื่องอะไรกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ฉันเพิ่งจะกลับมาจากต่างประเทศ ตอนนี้อยู่ที่สนามบิน เรียกรถไม่ได้ ฉันรู้ว่าเป็นการละลาบละล้วง แต่ฉันหาคนอื่นมาช่วยฉันไม่ได้จริงๆ คุณมารับฉันได้ไหม”
เธอเอ่ยถึงเรื่องเมื่อสามปีก่อน เดิมเฟิงเฉินยังรู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้าง แต่ประโยคนี้ทำให้เขามีสติขึ้นมา มองนาฬิกาข้อมือครั้งหนึ่ง น้ำเสียงราบเรียบมาก
“ผมเพิ่งจะมาจากสนามบิน ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ ทางนั้นยังมีรถ”
“เฟิงเฉิน ฉันไม่……..”
“ตู๊ด………”
หลังจากตัดสายโทรศัพท์ไป ภายในรถก็เงียบกริบเป็นเวลานานมาก
สักพักหนึ่ง
คนขับรถก็พิจารณามองเขาผ่านกระจกมองหลังแวบหนึ่ง “ตอนนี้สนามบินไม่แน่ว่าจะมีรถ พวกเราล้วนเปลี่ยนกะในตอนหกโมง คนอีกกะหนึ่งยังไม่มานะ”
แววตาของเฟิงเฉินสั่นไหวเล็กน้อย บีบโทรศัพท์มือถือแน่น
ร้านอาหาร
“คุณผู้หญิง ต้องการสั่งอาหารไหมครับ”
บริกรถามอย่างอ้อมค้อมว่าต้องการสั่งอาหารหรือไม่หลายครั้งแล้ว
ลั่วมั่นมองนาฬิกา ทุ่มครึ่งแล้ว
“ขอโทษด้วยนะคะ ยังมีคนที่มาไม่ถึง รออีกหน่อยค่ะ”
บริกรพยักหน้า ยังคงสุภาพและมีมารยาท “ไม่เป็นไรครับ ผมจะเติมน้ำให้คุณ”
“อืม ขอบคุณค่ะ”
ทิวทัศน์ยามค่ำคืนเมืองเจียงนอกบานหน้าต่าง แสงไฟยามค่ำคืนเพิ่งถูกเปิด ก็ส่องสว่างให้กับค่ำคืนนี้ทั้งคืนได้แล้ว แต่คนที่มองดูอยู่นั้นกลับจิตใจว่างเปล่า ลั่วมั่นถอนสายตากลับมาอย่างหงุดหงิด
โต๊ะข้างๆเรียกนักบรรเลงไวโอลินมา เล่นเพลงวันเกิด คนทั้งครอบครัวเฉลิมฉลองวันเกิดให้กับลูกสาวตัวน้อย
เธอเท้าคางมองไป รู้สึกอิจฉาอยู่บ้า